รีวิว My Daemon (Netflix) เซ็ตติ้งโลกคนเกลียดสัตว์ประหลาดด้วยเนื้อเรื่องแบบทื่อๆ
My Daemon
Summary
สรุปเป็นแอนิเมชั่นผลงานของญี่ปุ่นร่วมกับไทยที่ออกมาพอใช้ได้ ในฉากต่อสู้มีความแปลกจากสกิลของตัวสัตว์ประหลาดที่แตกต่างกันไปในแต่ละตอน งานแอนิเมชั่นก็ลื่นไหลมีดีไซน์ที่แปลกตาไปจากทั่วไป แต่ที่ทำได้ไม่ดีเลยคือการเล่าเรื่องประเด็นการเกลียดสัตว์ประหลาดที่ออกมาทื่อๆ มากและก็พยายามเอามาเป็นตัวไขปริศนาตอนจบแบบง่ายๆ ที่ไม่ทำให้อินในจุดนี้เลยสักนิดครับ
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- ผลงานแอนิเมชั่นทีมงานไทยร่วมกับเนื้อเรื่องของญี่ปุ่น
- ฉากแอ็กชั่นการต่อสู้ของสัตว์ประหลาด
- มีพากย์ไทย
Cons
- เซ็ตติ้งโลกคนเกลียดสัตว์ประหลาดแบบทื่อๆ
- เนื้อเรื่องตรงไปตรงมาทื่อๆ มาก
My Daemon แอนิเมชันซีรีส์ Netflix 13 ตอนจบ โดยผู้สร้างชาวญี่ปุ่น Hirotaka Adachi ที่มีผลงานแอนิเมชั่นชื่อ Exception โคลนปีศาจ ลายเส้นโดยโยชิทากะ อามาโน นักวาดในตำนานที่มีผลงานจากเกมไฟนอลแฟนตาซี (อ่านรีวิวคลิกที่นี่) แต่เรื่องนี้เป็นฝีมือทีมงานไทยจาก Igloo Studio เล่าเรื่องราวของโลกอนาคตหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ ผงรังสีทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตประหลาดขึ้นในโลกมากมาย เรียกกันว่า ดีมอน วันหนึ่ง เด็กชาย เคนโตะ ได้มาพบกับ Anna และตัดสินใจเก็บมันมาเลี้ยงจนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการผจญภัยในโลกที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
รีวิว My Daemon (ไม่สปอยล์)
ซีรีส์ของผู้สร้าง Hirotaka Adachi ที่ก่อนหน้านี้ใน Exception ก็เป็นเรื่องราวของปีศาจผสมไซไฟในแง่มุมแปลกประหลาดคล้ายๆ กันคือ สิ่งมีชีวิตหน้าตาน่าเกลียดนั้นเป็นศัตรูจริงหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังเล่นประเด็นเดียวกัน แต่เป็นโลกที่เต็มไปด้วย “ดีมอน” เป็นปีศาจในรูปแบบสัตว์ประหลาดที่มนุษย์เกลียดกลัวและก็พยายามหาทางกำจัดมันมาตลอด มีแค่เด็กน้อยตัวเอกของเรื่องที่รัก Anna และดูแลเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อนรัก แต่ก็กลายเป็นภัยอันตรายจากความแตกต่างของเขา และมีการประกาศตามล่า Anna จากความสามารถพิเศษของมัน ที่สามารถเก็บสิ่งของไว้ในตัวได้เหมือนมีหลุมดำอยู่ในตัว ซึ่งความสามารถนี้สามารถกลายเป็นภัยร้ายกับโลกได้ และก็มีปมปริศนาซ่อนอยู่ในตัวของ Anna ด้วย
เนื้อเรื่องเน้นเป็นแนวแอ็กชั่นมากกว่าดราม่า ด้วยความการเซ็ตติ้งโลกนี้ให้มีนักล่าค่าหัวที่มีลักษณะแบบเดียวกับเกมโปเกมอน มีผู้ที่ใช้ความสามารถพิเศษจากการควบคุมดีมอนหาเงินและก็ตามล่าตัวเอกอยู่ทุกตอน ซึ่งในแต่ละตอนก็จะนำเสนอนักล่าแต่ละคนที่มีความสามารถพิเศษแตกต่างกันไป อย่าง ศัตรูที่ล่องหนได้ เปิดประตูมิติได้ หรือสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่เท่าตึก แล้วก็ให้ตัวเอกได้ต่อสู้โดยใช้ความสามารถของ Anna ในแบบใช้สมองกับกลยุทธช่วยกันสู้พร้อมกับช่วยเหลือปลดปล่อยดีมอนเหล่านั้นจากการควบคุม โดยตัว Anna เองก็จะมีวิวัฒนาการร่างกายกับการต่อสู้เพิ่มไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นถล่มโลกได้เลย แต่เนื้อเรื่องก็ทำให้พลังนี้กลายเป็นสิ่งที่มาช่วยเหลือโลกแทน ซึ่งก็เป็นพล็อตเรื่องธรรมดามากไปหน่อย แต่ในฉากการต่อสู้ก็ถือว่าทำได้ดีพอตัวเลย และก็มีความรุนแรงสูงอยู่เกินกว่าเด็กเล็กดูได้ (เรต 16+)
ด้วยความที่เรื่องนี้เล่าเรื่องตรงไปตรงมาทื่อๆ มาก (ต่างกับ Exception ที่เรื่องเป็นแนวปรัชญาลงลึกกว่า) เป็นความพยายามสร้างโลกด้วยประเด็นการเหยียดรูปลักษณ์ภายนอก ให้มีตัวเอกที่มีจิตสำนึกที่ดีตรงข้ามกับทุกคน จึงทำให้เรื่องดำเนินไปแบบไม่เป็นธรรมชาติ มีความขัดแย้งกันเองอยู่ตลอด อย่างนักล่าที่เลี้ยงสัตว์เหล่านี้ไว้แต่กลับไม่รู้สึกผูกพันใดๆ เลย แล้วก็ยังใช้งานแบบทารุณ แต่กลับไม่เข้าใจว่าทำไมมีคนแบบเคนโตะกับ Anna เกิดขึ้นมาในโลกนี้ได้ ซึ่งมันดูฝืนความรู้สึกมาก และยังทำให้ตัวละครมนุษย์ในเรื่องกลายเป็นคนโหดร้ายกันไปหมด แม้แต่เด็กเล็กๆ ก็ไม่เว้น แล้วสัตว์ประหลาดก็มีความสามารถพิเศษช่วยมนุษย์ได้มากมาย แต่กลับถูกเล่าเหมือนเป็นแค่สัตว์เลี้ยงไว้ใช้งานทั่วไปเท่านั้น แถมองค์กรร้ายในเรื่องดันชื่อ “องค์กรสันติภาพ” ก็ยังทำแต่เรื่องสวนทางกับชื่อ แม้แต่บอสที่ก่อตั้งองค์กรมาก็แค่เกลียดพวกสัตว์ประหลาดแค่นั้น ทำให้ประเด็นดราม่าในเรื่องนี้เข้าขั้นแย่มาก แม้จะพยายามใช้ประเด็นนี้เพื่อปูไปสู่การจบเรื่องแบบแฮปปี้เอนดิ้งให้ทั้งหมดอยู่ร่วมกันได้ก็ตามครับ
ในส่วนของงานแอนิเมชั่นจากทีมไทยถือว่าทำออกมาได้ดีเลย โดยมี Nat Yoswatananont (ณัฐ ยศวัฒนานนท์) หนึ่งในผู้กำกับ 9 ศาสตามาคุมทีม ซึ่งลายเส้นตัวละครหลักและสัตว์ประหลาดในเรื่องก็ดูแตกต่าง แต่ตัวละครหลายๆ ตัวก็ยังเป็นแพทเทิร์นแบบแอนิเมชั่น 3D ทั่วไปของ Netflix อยู่ด้วย แต่เนื้อเรื่องทั้งหมดอยู่ในญี่ปุ่น ก็เลยทำให้เป็นส่วนผสมของไทยกับญี่ปุ่นร่วมกัน
สรุปเป็นแอนิเมชั่นผลงานของญี่ปุ่นร่วมกับไทยที่ออกมาพอใช้ได้ ในฉากต่อสู้มีความแปลกจากสกิลของตัวสัตว์ประหลาดที่แตกต่างกันไปในแต่ละตอน งานแอนิเมชั่นก็ลื่นไหลมีดีไซน์ที่แปลกตาไปจากทั่วไป แต่ที่ทำได้ไม่ดีเลยคือการเล่าเรื่องประเด็นการเกลียดสัตว์ประหลาดที่ออกมาทื่อๆ มากและก็พยายามเอามาเป็นตัวไขปริศนาตอนจบแบบง่ายๆ ที่ไม่ทำให้อินในจุดนี้เลยสักนิดครับ