รีวิว National Treasure: Edge of History ภาคต่อเป็นซีรีส์ที่ยังคงอารมณ์เดิมไว้ได้ครบในงบจำกัด
National Treasure: Edge of History
Summary
ซีรีส์ที่เล่าเรื่องเชื่อมต่อตัวละครบางส่วนกับเวอร์ชั่นหนัง 2 ภาคก่อน โดยเป็นกลุ่มตัวเอกวัยรุ่นใหม่ สไตล์ดูเด็กลง แต่ทันสมัยไฮเทคกว่ามากมาย แล้วก็ยังคงกลิ่นอายอารมณ์การหาสมบัติในยุคใหม่แบบเดิมไว้ได้ครบถ้วน (โปรดิวเซอร์ยังเป็น Jerry Bruckheimer คนเดิม) แต่ด้วยความที่เป็นซีรีส์ สเกลงานสร้างจึงอาจจะจำกัดจำเขี่ยเรื่องงบจนทำให้หลายๆ อย่างบทพยายามเขียนให้ทีมตัวเอกต้องเจอกับอะไรที่ดูเว่อร์เกินตัว แต่กลับจบลงแบบง่ายๆ เหมือนตัดจบ โดยเฉพาะตอนจบสุดท้ายที่ทุกอย่างดูเบาแบบตัดจบง่ายเกินจนน่าผิดหวังพอสมควร แต่ถ้าใครเป็นแฟนเวอร์ชั่นหนังมาก่อนก็แนะนำว่าควรค่าแก่การดูครับ เพราะนี่ยังมีโอกาสจะเป็นซีรีส์ที่เชื่อมไปยังโครงการหนังภาค 3 ที่กำลังจะเกิดขึ้นจริงต่อไปด้วยครับ
Overall
7/10User Review
( vote)Pros
- เชื่อมต่อตัวละครจากเวอร์ชั่นหนังทั้ง 2 ภาค
- คงกลิ่นอายอารมณ์การหาสมบัติในยุคใหม่แบบเดิมไว้ได้อยู่
- เครื่องมือไฮเทคขึ้นตามยุคสมัย
- ผสมเรื่องรักวัยรุ่นลงไปกำลังดี
- นางเอกแม็กซิกันดูดีมีเสน่ห์
- พาร์ท FBI มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง
- มีพากย์ไทย
Cons
- งบจำกัดทำให้ตัดจบเรื่องง่ายๆ หลายครั้ง
- ตอนจบทุกอย่างเบาๆ ง่ายๆ
- กลุ่มตัวเอกหลายครั้งเก่งจนเว่อร์เกินระดับนักศึกษาไปมาก
- ใส่ประเด็นนางเอกเป็นผู้อพยพไว้ตอนแรกหนักแต่หลังๆ เบาจางหายไป
National Treasure: Edge of History เป็นซีรีส์ Disney+ แนวแอ็คชั่นผจญภัยหาสมบัติ 10 ตอนจบ สานต่อเชื่อมเรื่องราวจากภาพยนตร์ชุด National Treasure และภาคต่อ โดยมีโปรดิวเซอร์คนสำคัญ Jerry Bruckheimer คนเดียวกัน เป็นเรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นที่เก่งเรื่องแก้ปริศนาได้มาพบเจอกับร่องรอยของสมบัติแพนอเมริกันจากยุคอินคา มายา แอซเท็ก มารวมกัน พวกเขาจึงออกตามหาสมบัติที่เชื่อมโยงไปถึงความลับของพ่อแม่ที่ซ่อนไว้ในอดีต
รีวิว National Treasure: Edge of History (ไม่สปอยล์)
ซีรีส์นี้นำแสดงโดย Lisette Olivera นักแสดงหน้าใหม่มารับบท Jess Valenzuela นางเอกของเรื่อง โดยมี Catherine Zeta-Jones รับบทเป็น Billie Pearce ตัวร้ายหลักที่ตามหาสมบัติชิ้นเดียวกัน มี Justin Bartha กลับมารับบทบาทเดิม Riley Poole คู่หูพระเอกเวอร์ชั่นก่อนที่กลายมาเป็นนักเขียน และยังมีบทของ FBI Sadusky ได้นักแสดง Harvey Keitel กลับมารับบทเดิมปรากฏตัวในตอนแรก นี่จึงเป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องต่อเนื่องจากเวอร์ชั่นหนังที่กำลังเตรียมงานสร้างภาค 3 กันอยู่ และมีแว่วๆ ว่านิโคลัสเคจจะกลับมาเล่นด้วย ผู้ชมที่เป็นแฟนหนังชุดก่อน 2 ภาคจึงไม่ควรพลาดการรับชมเรื่องนี้ จากการวางโครงเรื่องราวแบบขยายจักรวาลหนังมาซีรีส์เหมือนมาร์เวล ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ในอนาจักรของดิสนีย์ด้วยจึงน่าจะเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
สำหรับผู้ชมที่ไม่เคยดู National Treasure มาก่อนก็หาดูได้ในดิสนีย์+ แม้เป็นหนังปี 2004 กับ 2007 ก็ยังไม่ถือว่าเชยอะไร ผู้เขียนเองก็พึ่งมาดูเหมือนกันหลังจากพลาดไม่ดูมาตั้งนาน จุดเด่นของเรื่องคือเป็นการหาสมบัติในโลกยุคใหม่ ต่างจากพวกอินเดียน่าโจนส์ คือเบาะแสร่องรอยต่างๆ จะซ่อนอยู่ในโลกปัจจุบันทั่วไปตามที่ต่างๆ สาธารณะหรือที่ปิด ซึ่งทำให้เรื่องราวสามารถกระโจนไปยังที่ต่างๆ ทั้งในอเมริกาและนอกอเมริกาได้ง่ายๆ แต่ตัวสมบัติและกลไกต่างๆ จะไม่หวือหวาเว่อร์ๆ แบบอินเดียน่าโจนส์ คือแทบไม่มีเรื่องเหนือธรรมชาติมาเกี่ยวข้องสักนิด
ซึ่งโครงสร้างของต้นฉบับก็ถูกถ่ายทอดมาในซีรีส์ได้อารมณ์แบบเดียวกัน โดยในเรื่องนี้เป็นการหาสมบัติที่ 3 อารยธรรมรวมตัวกันซุกซ่อนไว้ แล้วเป็นเรื่องเล่าตำนานที่ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นจริง โดยมีตัวเอกเจสที่ได้รับมรดกสร้อยห้อยคอสัญลักษณ์ของผู้ปกป้องสมบัติมาเป็นตัวเดินเรื่อง และก็ผจญภัยไปในทั่วอเมริกาไปจนถึงเม็กซิโก มีร่องรอยของปริศนาตามที่ต่างๆ สมัยใหม่เกี่ยวข้องกับคนสำคัญของอเมริกาเหมือนเดิม อย่างเอลวิส อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งตัวเรื่องก็ผูกโยงร้อยเรื่องราวโดยอิงข้อมูลจริงผสมลงไปแล้วแต่งเติมเพิ่มสีสันให้สอดคล้อง ดูเป็นทฤษฎีสมคบคิดว่าคนดังเหล่านี้เกี่ยวข้องได้ยังไง ซึ่งตัวเรื่องผูกร้อยเรื่องราวพวกนี้ได้ดีไม่แพ้เวอร์ชั่นหนังเลย เรียกว่าใครที่ชอบเรื่องนี้มาก่อนก็ต้องชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยากแน่นอน โดยเฉพาะการอิงกับเรื่องราวเก่า การปรากฎตัวของตัวละครชุดเก่า ที่มาร่วมกับกลุ่มตัวละครใหม่ไขปริศนาในบางตอนสั้นๆ ด้วย
นอกจากนี้โครงสร้างการช่วยกันไขปริศนาแบบหนัง ที่จะเห็นว่าตัวพระเอกก็ไม่ได้เก่งหรือรู้ไปหมด ลูกทีมคนที่ตามมาด้วยก็มีส่วนช่วยแก้ปริศนาได้หลายอย่าง ในซีรีส์ก็ยังคงเรื่องราวการร่วมกันแบบนี้ไว้ โดยให้เจสเป็นตัวเอกหลักมีความเชี่ยวชาญการกลไกปริศนาต่างๆ กับประวัติศาสตร์ มีเพื่อนเป็นสาวผิวดำที่เก่งคอมพิวเตอร์คอยช่วยเปิดทาง แฮ็กระบบ ติดตามร่องรอยต่างๆ มีความไฮเทคใช้เทคโนโลยีทันสมัยต่างๆ เข้ามาช่วยมากกว่าสมัยก่อนที่ยังไม่มีมือถือ และเพื่อนคนที่เหลือก็มีความสามารถเสริมสองคนนี้เป็นทีมสนับสนุนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวต่างกัน และขาดใครไม่ได้เลย ซึ่งบางครั้งภารกิจก็ระดับน้องๆ มิชชั่นอิมพอสซิเบิลเลยทีเดียว อย่างการเข้าไปโจรกรรมของในพิพิธภัณฑ์ การแหกคุก แม้ตัวละครทั้งหมดจะเป็นแค่นักศึกษาก็ตาม แต่ตัวเรื่องก็ผลักดันพวกเขาให้เป็นทีมที่มีความสามารถเกินหน้าผู้ใหญ่ ระดับเดียวกับเวอร์ชั่นหนังเลย ซึ่งอาจจะดูเว่อร์นิดๆ แต่ตัวเรื่องก็ใส่เหตุผลกับตัวช่วยมาให้คนดูยอมรับได้
ตัวเรื่องยังมีการเพิ่มเส้นเรื่องตัวละคร FBI ที่เวอร์ชั่นหนังอาจจะเป็นแค่บทคนไล่ล่าแบบจางๆ ออกไม่กี่ฉากเพราะหนังมีเวลาแค่ชั่วโมงกว่า แต่พอเป็นซีรีส์ตัวละครนี้จึงเป็นบทยาวแบบเต็มๆ มีเรื่องราวของตัวเองชัดเจน โดยเป็น FBI สาวมือหนึ่งที่เคยทำงานผิดพลาด แล้วต้องมาตามไล่จับกลุ่มของเจสที่ถูกใส่ร้ายว่าเป็นฆาตกร แต่เธอไม่เชื่อว่าพวกนี้กระทำจริง และพยายามค้นหาว่าทำไมพวกเขาถึงเข้าไปเกี่ยวพันกับคดีต่างๆ โดยบังเอิญ ซึ่งเธอเป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นบทที่ฉลาดไม่ใช่บท FBI โง่ๆ โดนหลอกได้ง่ายๆ แบบก่อนเลย
และด้วยความที่ซีรีส์เจาะกกลุ่มวัยรุ่นจึงขาดไม่ได้ที่จะมีเรื่องรักๆ มาเกี่ยวข้อง ซึ่งตัวเรื่องก็ผูกบทให้คนในทีมมีปิ๊งจับคู่กันแบบแรกๆ ไม่ได้คิดรักกัน แต่ผ่านการผจญภัยเฉียดตายมาจึงค่อยๆ เผยความในใจ และก็มีเรื่องรัก 3 เส้าของเจสกับหนุ่ม 2 ตัวเอกสองคน ซึ่งตัวเรื่องก็หยอดความสัมพันธ์ให้คนหนึ่งเป็นคนที่เธอเติบโตมาด้วย และคอยช่วยเหลือรับหน้าแทนเธอตลอด เพราะสถานะที่เธอยังเป็นผู้อพยพเข้ามายังไม่ได้เป็นพลเมืองอเมริกันเต็มตัว ส่วนอีกคนเป็นหลานของซาดัสกี้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องภายหลังจากปู่ของเขาตาย และต้องการพิสูจน์การตายของปู่ว่าเกี่ยวข้องกับสมบัติที่เจสกำลังตามหา ซึ่งตัวเรื่องมีช่วงสลับให้น้ำหนักของสองคนนี้กลับไปมาว่าเจสจะเลือกใคร มีลุ้นเบาๆ ตลอดเรื่องครับ
จุดด้อยของเรื่องนี้หลักๆ ก็คงเป็นเรื่องการเป็นซีรีส์ที่ทุนไม่สูงมากพอจะทำอะไรหลายๆ อย่างได้แบบหนังใหญ่ หลายครั้งบทเขียนให้เจอฉากวิกฤติหนักๆ แต่กลับให้ทางออกง่ายๆ เพื่อที่จะไม่ต้องมาทุ่มทุนสร้างมาก ซึ่งตอนสุดท้าย (ตอน 10) จะกลายเป็นตอนที่ดรอปเรื่องนี้สุด เพราะหลายอย่างที่ปูมาทั้งเรื่องกลับมาตัดจบง่ายๆ ทั้งสมบัติที่ซ่อนอยู่ ตัวร้าย หรือแม้แต่เรื่องความรักของเจสก็ตัดบทให้จบง่ายๆ ไปเลย ซึ่งเป็นการหาทางลงของเรื่องแบบน่าผิดหวังอยู่เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ตลอดเรื่องมีบทที่ทำอะไรหลายอย่างได้ดีกว่านี้ครับ
ตัวเรื่องจบแบบสมบูรณ์ในเรื่องราวการหาสมบัติแพนอเมริกัน ก่อนทิ้งท้ายเปิดเรื่องไว้ว่ามีทำต่อซีซั่น 2 ได้อีก ซึ่งผู้ชมที่ชอบหนังมาก่อนยังไงก็ไม่ควรพลาดดูซีรีส์ชุดนี้จริงๆ แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นสเกลที่เล็กลงกว่าหนังในระดับหนึ่งก็ตามครับ