playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว No One Will Save You ระทึกจากแนวเอเลี่ยน+ผี+สัตว์ประหลาดรวมกัน แต่ตอนจบอิหยังวะ!

No One Will Save You

Summary

สรุปนี่เป็นหนังที่มีไอเดียที่ดีมากในการหยิบจับเอาแนวเอเลี่ยนลงมาจับมนุษย์ปกติดั้งเดิม แล้วเปลี่ยนให้เป็นฉากสยองขวัญแบบผี+สัตว์ประหลาดได้อย่างน่าตื่นเต้นตลอดทั้งเรื่อง แต่การเอาปมบาดแผลในจิตใจนางเอกมาเล่นเป็นแก่นหลัก เพื่อทำให้หนังแทบไม่มีบทพูดเลย แล้วต้องให้ผู้ชมทำความเข้าใจเรื่องนี้เองจากคำใบ้ต่างๆ ดูไม่ค่อยเมคเซนส์ ทำให้ผู้ชมเข้าใจยากไป จนถึงฉากจบที่ออกแนวหลุดจากธีมที่ทำมาทั้งเรื่องไปเลย ทำให้กลายเป็นหนังที่แค่พอดูเอาสนุกได้ แต่ไม่ได้ดีอย่างที่ควรจะเป็นครับ 

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • แนวเอเลี่ยน+ผี+สัตว์ประหลาดรวมกัน
  • ระทึกตื่นเต้นได้ตลอดเรื่อง
  • งาน CG ทำได้ดีแม้เป็นหนังทุนต่ำ

Cons

  • หนังแทบไม่มีบทพูดและพยายามบอกใบ้ให้ผู้ชมคาดเดามากไป
  • ฉากจบที่หลุดธีมตอนแรกไปเลย

 

ADBRO

No One Will Save You หนังสตรีมมิ่งของค่าย Hulu ที่ Disney+ ได้สิทธิมาฉายในระบบอีกที เป็นเรื่องราวของหญิงสาวที่อยู่บ้านคนเดียวแล้วต้องพบกับเอเลี่ยนบุกรุกเข้ามาในบ้าน ก่อนพบว่าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่แค่เธอเพียงคนเดียว
No One Will Save You (2023) on IMDb

 

รีวิว No One Will Save You (ไม่สปอยล์)

หนังไซไฟทุนเล็กน้อยๆ ถึงปานกลาง 22.8 ล้านเหรียญของผู้กำกับ Brian Duffield (ก่อนนี้เขียนบท The Babysitter กับ Love and Monsters) และเล่นกับไอเดียมนุษย์ต่างดาวบุกเมืองได้อย่างน่าสนใจ โดยใช้แนวเอเลี่ยนลักพาตัวทั่วไปที่นิยมทำให้เอเลี่ยนรูปร่างตาโต สูงผอม แต่เปลี่ยนให้เป็นฉากสยองขวัญแบบพวกหนังผี หนังสัตว์ประหลาด โดบค่อยๆ เผยให้เห็นตัวลางๆ ทีละนิดจนเห็นเต็มตัว มีฉากเล่นซ่อนแอบ ฉากการจู่โจมต่อสู้กันในบ้านเป็นหลัก (มีฉากนอกบ้าน แต่ก็อยู่ในระแวกรอบๆ บ้าน) ซึ่งไอเดียนี้ใช้ได้ดีเลยกับสเกลทุนต่ำของเรื่องนี้ มันทำให้หนังดูลึกลับ น่าตื่นเต้น เหมือนเป็นหนังผีหลอกที่เปลี่ยนมาเป็นเอเลี่ยน โดยมีฉากแบบข้าวของลอยได้ ทีวีเปิดเอง โทรศัพท์ใช้การไม่ได้ และเอเลี่ยนก็มีท่าทางแบบหนังผีในปัจจุบันที่เดินหรือคลานในสภาพผิดปกติได้อีกด้วย 

นอกจากนั้นเรื่องนี้ถูกเซ็ตฉากไว้ในเมืองชนบทที่บ้านแต่ละหลังห่างไกลกัน ทำให้สามารถใช้ไอเดียการเล่นไล่จับนี้ได้โดยสะดวก และยังทำให้เหตุการณ์หลังจากนั้นกลายเป็นว่าในเมืองนี้ก็มีความผิดปกติเปลี่ยนไปแบบ Body Snatchers หนังเอเลี่ยนยึดร่างมนุษย์ ซึ่งเป็นการรวมไอเดียหนังดังหลายเรื่องเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี และก็ทำออกมาได้อารมณ์น่าตื่นเต้นได้ตลอดเรื่องด้วย

 

งาน CGI ฉากเอเลี่ยนหลายขนาด มีตัวปกติ ตัวเล็ก ตัวใหญ่สูงเท่าบ้าน แสงจากจานบิน ฉากจานบินว่อนในเมือง ทั้งหมดถูกทำออกมาดูดีในระดับหนังทุนต่ำได้อย่างน่าพอใจ

แต่ปัญหาของเรื่องนี้ที่ใหญ่โตเลยก็คือ การพยายามรวมเอาแนวปมชีวิตของตัวเอกที่พูดได้ แต่ไม่พยายามให้มีบทพูดออกมาเลยสักนิด โดยหนังมีแค่บทพูดของเธอออกมาเพียงไม่กี่คำ แม้แต่เสียงหวีดร้องตกใจยังแทบไม่มี (แต่นักแสดง Kaitlyn Dever เธอเล่นได้ดี) แล้วพยายามสื่อสารด้วยสิ่งของรูปภาพ จดหมาย สุสาน บ้านตุ๊กตา ให้ผู้ชมพยายามปะติดปะต่อเรื่องเองว่าเธอมีความผิดในใจคืออะไร ซึ่งมันค่อนข้างทำให้แนวทางเอเลี่ยนผีหลอกออกนอกทางในหลายครั้ง อย่างเอเลี่ยนไปหยิบภาพถ่ายเธอมาดูอย่างสนใจ ซึ่งผู้ชมก็คงเริ่มงงว่าเอเลี่ยนมาสนใจทำไม? และยังเอาประเด็นนี้มาใช้เป็นทางออกสุดท้ายของเรื่อง ที่ดูแล้วเชื่อว่าทุกคนคงงงๆ กันหมดกับฉากจบอิหยังวะ ซึ่งแม้ผู้เขียนไม่งงกับไอเดียฉากจบ แต่ก็สงสัยว่าทำไมไม่ยอมจบเรื่องในจุดที่น่าจะจบได้ดีกว่านี้หลายครั้ง อย่างจบแบบโดนสวมร่างแล้วตกใจตื่นฝันหรือจริง เป็นต้น 

สรุปนี่เป็นหนังที่มีไอเดียที่ดีมากในการหยิบจับเอาแนวเอเลี่ยนลงมาจับมนุษย์ปกติดั้งเดิม แล้วเปลี่ยนให้เป็นฉากสยองขวัญแบบผี+สัตว์ประหลาดได้อย่างน่าตื่นเต้นตลอดทั้งเรื่อง แต่การเอาปมบาดแผลในจิตใจนางเอกมาเล่นเป็นแก่นหลัก เพื่อทำให้หนังแทบไม่มีบทพูดเลย แล้วต้องให้ผู้ชมทำความเข้าใจเรื่องนี้เองจากคำใบ้ต่างๆ ดูไม่ค่อยเมคเซนส์ ทำให้ผู้ชมเข้าใจยากไป จนถึงฉากจบที่ออกแนวหลุดจากธีมที่ทำมาทั้งเรื่องไปเลย ทำให้กลายเป็นหนังที่แค่พอดูเอาสนุกได้ แต่ไม่ได้ดีอย่างที่ควรจะเป็นครับ 

 

 

ติดตามอ่านรีวิวเรื่องอื่นในดิสนีย์+ ได้ที่นี่

Including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!