รีวิว Oxygen ผลงานจาก อเล็กซานเดอ อาจา ที่ไม่ระทึกขวัญเท่าไหร่ แต่สดใหม่ชวนว้าว! (ไม่มีสปอยล์แม้แต่น้อย)
Oxygen ออกซิเจน
สรุป
หนังที่บทเต็มไปด้วยการครีเอทไอเดียสดใหม่ ไม่ใช่หนังทุนต่ำ แม้จะดูเป็นแนวอย่างนั้นจากพล็อตการติดในที่จำกัด เรื่องราวดูชวนงงในช่วงชั่วโมงแรก แต่ว้าวในช่วงเฉลยครึ่งหลัง เพียงแต่อย่าคาดหวังว่าเป็นหนังสยองขวัญหรือมีฉากระทึกขวัญอะไรมากมาย แม้ผู้กำกับของเรื่องนี้คือ อเล็กซานเดอ อาจา ที่ทำแต่แนวนั้นมาตลอด กลับกลายเป็นแนวไซไฟจริงจังมากกว่าที่คิดครับ
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- พล็อตติดในที่จำกัดแบบใหม่ที่พาคนดูไปไกลกว่าที่เคยดูมาทั้งหมด
- ฉากระทึกขวัญในข้อจำกัดแบบหนังไซไฟที่ต้องสมเหตุผลให้มากที่สุด
- ทุกอย่างในเรื่องคือแมสเสจคำใบ้ที่เชื่อมโยงกันหมด
- โปรดักชั่นช่วงหลังสวยล้ำ
- จบแบบลงตัวเคลียร์เรื่องราวได้ดีไม่มีให้ผิดหวัง
- การแสดงของนางเอกคนเดียวหลักๆ ทั้งเรื่องที่เอาอยู่
- มีตัวละครที่มาแต่เสียง AI. ช่วยคุยตอบโต้กับนางเอก
- มีเสียงพากย์ไทย
Cons
- ฉากระทึกขวัญน้อยมากแทบไม่มีในชั่วโมงแรก ไปอยู่ช่วงหลัง แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร
- หน้าหนัง ตัวอย่าง ชื่อผู้กำกับที่โปรโมทนำชวนให้คนดูเข้าใจแนวหนังผิด จนอาจจะผิดหวังถ้าต้องการมาดูอะไรเลือดสาด ระทึกขวัญ
- ชั่วโมงแรกเต็มไปด้วยปริศนาเต็มไปหมดจนอาจจะเบื่อๆ บ้าง
- ปริศนาสำคัญของตัวนางเอกบางอย่างในเรื่องเดาได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรก
ออกซิเจน (Oxygen) เธอตื่นมาในแคปซูลโดยไร้ความทรงจำ มีชีวิตอีกแค่ 90 นาทีจากอ็อกซิเจนที่เหลืออยู่ภายใน เธอต้องจำให้ได้ว่าตัวเองเป็นใครเพื่อเอาตัวให้รอด ภาพยนตร์ฝรั่งเศสจากผู้กำกับเลือดสาดอย่าง อเล็กซานเดอ อาจา (ดูโปรเจ็กต์เล็กๆ เหมือนหนังเน็ตฟลิกซ์ แต่ที่จริงคือตั้งใจเป็นหนังโรงมาก่อนเกิดปัญหาโควิดและมาอยู่ในมือเน็ตฟลิกซ์เต็มตัวภายหลัง)
ตัวอย่าง Oxygen ออกซิเจน
หนังจำกัดพื้นที่ติดอยู่ในแคปซูลต้องหาทางออกให้ได้ก่อนอากาศจะหมดลง ฟังดูพล็อตคล้ายๆ หนังเก่าในอดีตเรื่อง Buried (2010) ที่ติดอยู่ในโลงถูกฝังทั้งเป็น แต่สำหรับเรื่องนี้ไปไกลกว่านั้นมากด้วยการเป็นหนังไซไฟเต็มขั้น จากฝีมือของ Christie LeBlanc ผู้เขียนบทหน้าใหม่เป็นหนังเรื่องแรกของเธอ และส่งต่อให้ผู้กำกับแนวสยองขวัญทุนต่ำชื่อดัง อเล็กซานเดอ อาจา ที่มีผลงานอย่าง The Hills Have Eyes (ชื่อไทยโชคดีที่ตายก่อน), Piranha 3D, Crawl คลานขย้ำ หนังจระเข้กินคนที่ติดอยู่ในเมืองที่พายุโหมกระหน่ำจนน้ำท่วม และเรื่องนี้ก็เป็นผลงานกำกับเรื่องต่อมา ซึ่งไอเดียของอ็อกซิเจนที่เล่นกับพื้นที่จำกัดก็เหมาะเจาะกับสไตล์งานของผู้กำกับคนนี้เป็นอย่างดี แต่ก็ทำให้ความคาดหวังจากแฟนหนังสยองขวัญผิดหวังไปด้วย เมื่อหนังเรื่องนี้คือแนวไซไฟจริงจังมากกว่าแนวระทึกขวัญจากหน้าหนังหรือพล็อตที่ถูกวางเอาไว้เป็นอย่างมาก
ตัวหนังเล่าเรื่องของนางเอก (นำแสดงโดยเมลานี โลรองต์) ที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับจำอะไรไม่ได้เลย แม้แต่ชื่อของตัวเอง โดยมีตัวละครอีกตัวที่มาแต่เสียงเป็น AI. ของแคปซูลชื่อ มิโล ให้เสียงโดย Mathieu Amalric ดาราดังที่เคยแสดงเป็นตัวร้ายของเจมส์บอนด์ภาค Quantum of Solace ซึ่งนางเอกใช้มิโลเป็นตัวช่วยค้นหาทุกอย่างในระบบที่อาจจะช่วยให้เธอออกจากแคปซูลนี้ได้ ซึ่งใช้มิโลเป็นตัวช่วยกับตัวเชื่อมนางเอกไปยังโลกข้างนอก ผ่านการสื่อสารทางเสียงโทรหาบุคคลอื่นที่คิดว่าจะช่วยเธอได้อย่าง ตำรวจ คนรัก การเข้าดูโซเชียลมีเดียของตัวเธอเอง หรือแม้แต่การขอให้มิโลช่วยประเมินกับแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระบบของแคปซูล ซึ่งมิโลเองก็มีทั้งส่วนที่ทำได้กับข้อจำกัดที่ไม่อาจทำได้ อย่างการเปิดแคปซูลตามที่นางเอกขอ ซึ่งบทถูกคิดมาเป็นอย่างดีเป็นเหตุเป็นผลว่าทำไม มิโลถึงทำสิ่งนี้ได้ และทำไมถึงทำไม่ได้ ในตอนแรกอาจจะดูไม่สมเหตุผลแปลกๆ อยู่บ้าง ต้องรอเรื่องเฉลยในภายหลังทุกอย่างจะเคลียร์และเข้าใจได้หมด
อีกส่วนที่นำเรื่องราวออกไปนอกแคปซูลได้คือ ภาพความทรงจำปริศนาที่แวบเข้ามาเรื่อยๆ ตั้งแต่นางเอกตื่นขึ้นมาทันที เป็นส่วนปมปริศนาหลักที่พาให้ผู้ชมได้เห็นเรื่องราวนอกแคปซูล เป็นระยะๆ ซึ่งก็เป็นทางออกที่ฉลาดของเรื่องทำให้เรื่องดูไม่น่าเบื่อติดอยู่ในที่เดิมๆ แต่การมาของภาพในอดีตในเรื่องนี้ไม่ได้ถูกเล่าเพื่อเคลียร์ปมโดยตรง กลับเป็นการหลอกล่อคนดูไปพร้อมกับลวงนางเอกไปด้วยกัน เมื่อการตื่นขึ้นมาของเธอพร้อมอ็อกซิเจนที่เหลือน้อยในที่จำกัดถูกทำให้คิดในอีกมุมได้ว่า เธออาจจะสับสน สมองเธออาจจะสร้างภาพเหล่านี้ขึ้นมาเองด้วยก็ได้ ยิ่งการที่ต้องทำร้ายตัวเองเจ็บๆ เพื่อให้ความทรงจำกลับมาด้วยยิ่งแปลกประหลาด และความทรงจำของนางเอกก็มักจะวนๆ อยู่กับ ลีโอ ที่เธอเข้าใจว่าเป็นคนรัก กับการเห็นหนูทดลองกลายพันธ์น่าเกลียด ที่หนูพวกนี้กลายมาเป็นภาพหลอนเหมือนจริงสุดๆ อยู่ในแคปซูลนี้หลายครั้งด้วย
ช่วงชั่วโมงแรกของเรื่องเต็มไปด้วยปริศนา มากกว่าแนวระทึกขวัญ ตั้งแต่การตื่นของนางเอกที่แปลกประหลาด นางเอกเป็นใคร ใครที่จับนางเอกมาใส่ในแคปซูล ยุคสมัยที่นางเอกอยู่คือช่วงไหน ตำรวจที่นางเอกติดต่อคือใครกันแน่ และความทรงจำกับคนรักและการทดลองทางวิทยาศาสตร์กับหนูที่แวบเข้ามาเรื่อยๆ คืออะไรกันแน่ ทั้งหมดนี้อาจจะทำให้คนดูสับสนงุนงงจับต้นชนปลายเรื่องไม่ถูก และอาจจะรู้สึกว่าเหมือนเดาแนวทางหนังได้ ดูไม่ได้แปลกใหม่สักเท่าไหร่ ยิ่งคนดูหนังสไตล์นี้มาด้วยยิ่งทำให้พยายามเดาเรื่องให้ได้ก่อนเฉลยด้วย จนครบชั่วโมงแรกก็มาถึงช่วงเฉลยความลับสำคัญของเรื่อง ซึ่งจากนี้ไปนี่คือหนังแนวไซไฟจริงจังเข้มข้น ถึงเนื้อหาอาจจะไม่ได้สดใหม่ แต่พอนำมารวมกับพล็อตการติดในที่จำกัด ทำให้เรื่องหลังจากนี้ดูเข้าใจเป็นเหตุเป็นผลหายงงทันที แต่ตัวเรื่องก็เหลือเวลาอีกเกินครึ่งชั่วโมง ซึ่งทำให้เห็นเลยเนื้อเรื่องหลังจากนี้ยังมีอะไรเล่าอีกมาก
หลังจากเรื่องเคลียร์ปมใหญ่สุดไป ช่วงท้ายนี่คือการเอาตัวรอดจากที่จำกัดจริงๆ ไม่ใช่ช่วงที่มาเน้นปริศนาอะไรมากมายแบบตอนแรก ตัวหนังก็เหมือนได้เวลาใส่ฉากระทึกขวัญเข้ามาสักที จากตอนแรกที่แทบไม่มีเลย อันเป็นจุดบอดที่สุดของเรื่องจากความเข้าใจผิดในสไตล์ผู้กำกับ อเล็กซานเดอ อาจา กับหน้าหนังตัวอย่างที่ตัดมาเป็นแนวระทึกขวัญมากกว่าไซไฟ แต่เราก็เข้าใจได้ว่าถ้าจะขายเรื่องนี้ให้คนดูก็ต้องเน้นแบบนี้แหละ ซึ่งการมาของฉากระทึกขวัญช่วงหลังถือว่าโอเคเลยกับไอเดียสิ่งของน่ากลัวที่มีอยู่ในแคปซูลนั้น รวมถึงฉากแหวะนิดๆ อย่างการทำร้ายตัวเองเพื่อแลกกับการรอดชีวิต แต่อย่าพึ่งไปคาดหวังว่าจะเป็น Saw หรือโหดเลือดสาดอะไรขนาดนั้นนะครับ เพราะหนังเรื่องนี้ยังคงต้องรักษาธีมไซไฟไว้เต็มที่ เพราะส่วนนี้คือบทสรุปจบของเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างลงตัว อาจจะรู้สึกดีเกินไปด้วยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น (ที่จริงผู้เขียนไม่ชอบตอนจบแบบนี้สักเท่าไหร่ อยากให้จบลงแบบปลายเปิดทิ้งเรื่องราวไว้คิดต่อมากกว่า)
นี่เป็นหนังที่บทเต็มไปด้วยการครีเอทไอเดียสดใหม่ ไม่ใช่หนังทุนต่ำ แม้จะดูเป็นแนวอย่างนั้น เรื่องราวชวนงงกับชวนว้าวไปพร้อมกัน ไม่แปลกใจเลยที่คะแนนเรื่องนี้ถึงพุ่งมากในสื่อต่างประเทศ เอาว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ