รีวิว Queen Cleopatra คลีโอพัตราผิวดำที่เล่าเรื่องในมุมมองใหม่ ไม่ WOKE อย่างที่คิด
Queen Cleopatra
Summary
โดยรวมเป็นสารคดีคลีโอพัตราที่แสดงมุมมองใหม่เรื่องเชื้อชาติได้ดี ไม่ได้เป็นแนว WOKE ยัดเยียดให้ผู้ชมดูแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ และยังนำเสนอเรื่องราวประวัติเกมแย่งชิงอำนาจทางการเมืองได้สนุก เข้าใจง่าย โดยมีประเด็นเรื่องระบอบตัวแทนของโรมที่ขัดแย้งกับระบอบการปกครองแบบสมมุติเทพของอียิปต์ ที่กลายมาเป็นสงครามใหญ่กลืนชาติ สิ้นสุดยุคฟาโรห์ของอียิปต์ที่มีคลีโอพัตราเป็นคนสุดท้าย ซึ่งผู้ชมที่สนใจประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
Overall
7.5/10User Review
( vote)Pros
- สารคดีคลีโอพัตราเวอร์ชั่นคนผิวดำ
- เล่าเรื่องสนุก เข้าใจง่าย
- งานโปรดักชั่นลงทุนสูง
Cons
- ไม่ค่อยแสดงรายละเอียดฉากรบให้เห็นชัดเจนมาก
Queen Cleopatra ซีรีส์สารคดี Netflix 4 ตอนจบ สร้างโดย Jada Pinkett Smith (ภรรยาของวิลล์ สมิธ) เรื่องราวของ คลีโอพัตรา ผู้หญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ในเวอร์ชั่นของนักประวัติศาสตร์สายนิยมแอฟริกา ที่อ้างว่า ไอยคุปต์ปกครองโดยอารยธรรมของคนผิวดำ และชาวอียิปต์โบราณส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ คลีโอพัตราจึงน่าจะเป็นคนผิวดำเช่นกัน ซีรีส์เรื่องนี้จึงเป็นการเปิดมุมมองใหม่ต่อคลีโอพัตตาให้ผู้ชมในโลกได้รับทราบกัน
รีวิวสารคดี Queen Cleopatra Netflix
ซีรีส์ยังเล่าเรื่องทุกอย่างเป็นไปตามประวัติศาสตร์ปกติ เริ่มจากขึ้นมาครองราชย์โดยการแต่งงานกับน้องชาย ซึ่งเป็นไปตามพิธีของอียิปต์ที่เชื่อว่าต้องมีทั้ง ไอซิสกับโอไซริส เป็นเสมือนเทพเจ้าชายกับหญิงปกครองประชาชน แต่แล้วก็มีการทรยศหักหลังในหมู่พี่น้อง ทำให้คลีโอพัตราต้องหนีจากเมืองไป ก่อนที่จะไปเชื่อมสัมพันธ์กับจูเลียส ซีซาร์ ทำให้เธอสามารถกลับมาครองบัลลังค์ได้สำเร็จ และเริ่มจัดการพี่น้องของตนให้หมด ซึ่งก็นำมาสู่จุดจบในตอนท้าย ที่แม้ว่าเธอจะปกครองอียิปต์จนเจริญรุ่งเรือง แต่ก็แพ้ภัยในเรื่องการเมืองที่เลือกข้างผิดพลาด กลายเป็นฟาโรห์คนสุดท้ายของอียิปต์
เนื้อเรื่องในซีรีส์เล่าเรื่องโดยการแบ่งตอนเป็นช่วงศัตรูสำคัญของคลีโอพัตรา โดย 3 ตอนแรกคือปัญหาการแก่งแย่งชิงบัลลังค์กับน้องของเธอ ที่มี น้องชาย 2 คน น้องสาว 1 คน ซึ่งซีรีส์เล่าเรื่องให้เห็นถึงความโหดร้ายของเธอที่พยายามสั่งฆ่าน้องแต่ละคน แม้จะโดนเนรเทศไปนอกเมืองแล้วก็ยังเป็นภัยต่อเธอในอนาคต ซึ่งความโหดร้ายนี้ถือเป็นเรื่องปกติในสมัยนั้น เพราะถึงเธอไม่ทำ น้องของเธอก็จะพยายามหาทางฆ่าเธอเช่นกัน เหมือนเป็นกฎธรรมชาติ เพื่อให้การปกครองเป็นไปอย่างราบรื่น
ส่วนตอนสุดท้ายคือศัตรูจากโรม กองทัพของออคเตเวีย ผู้สืบทอดอำนาจของจูเลียส ซีซาร์ ที่ถูกลอบสังหารและเป็นศัตรูกับ มาร์ค แอนโทนี แม่ทัพที่กุมอำนาจครึ่งหนึ่งของโรมไว้ และพบรักแต่งงานกับคลีโอพัตรา ซึ่งกลายเป็นเกมการเมืองที่จุดชนวนให้โรมใช้เป็นข้ออ้างรบกับอียิปต์ และนำมาสู่การล่มสลายของอารยธรรมอียิปต์ในเวลาต่อมา
การดำเนินเรื่องทำออกมาได้สนุก ลื่นไหล งานโปรดักชั่นลงทุนสูง สามารถจำลองประวัติศาสตร์เรื่องราวของคลีโอพัตราออกมาให้เข้าใจได้ง่ายๆ มีรายละเอียดเล็กๆ ที่เล่าออกมาได้แตกต่างจากเวอร์ชั่นอื่นๆ ที่ทำออกมา อย่างจุดจบของคลีโอพัตราที่ไม่ได้ใช้งูเห่ากัด และนำเสนอประเด็นเรื่อการเมืองการปกครองเป็นหลัก ซึ่งคลีโอพัตราเป็นนักการเมืองสายการฑูต ไม่ใช่นักรบ และมีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าของอียิปต์ มองตัวเองเป็นสมมุติเทพ ซึ่งขัดแย้งกับระบอบการปกครองแบบตัวแทนของโรมที่ฟังเสียงประชาชนเป็นหลัก การที่คลีโอพัตราพยายามเชื่อมสัมพันธ์กับโรม ก็เลยเป็นชนวนเหตุที่ลามไปสู่เกมการเมืองขัดแย้งจนทำให้ จูเลียส ซีซาร์ ถูกลอบสังหาร และยังนำมาสู่การล่มสลายของอียิปต์ในภายหลังด้วย
ส่วนประเด็นเรื่องการเปลี่ยนสีผิวคลีโอพัตราเป็นคนผิวดำนั้นแทบไม่มีปัญหาใดๆ เลยกับเนื้อเรื่องปกติในประวัติศาสตร์ เพราะประเด็นนี้มีข้อถกเถียงมาก่อนแล้วเกี่ยวกับเชื้อชาติของคลีโอพัตราที่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าแม่ของเธอคือใคร ในเรื่องเองก็มีเกริ่นถึงจุดนี้แค่ตอนเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ได้นำเรื่องสีผิวมาใช้เป็นประเด็นหลักในเรื่อง ตัวนักแสดง Adele James ก็มีความสวย มีเสน่ห์ในแบบสาวผิวดำดูกลมกลืนไปกับเรื่องราวชาวอียิปต์ที่มีคนผิวดำตามปกติอยู่แล้ว
โดยรวมเป็นสารคดีคลีโอพัตราที่แสดงมุมมองใหม่เรื่องเชื้อชาติได้ดี ไม่ได้เป็นแนว WOKE ยัดเยียดให้ผู้ชมดูแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ และยังนำเสนอเรื่องราวประวัติเกมแย่งชิงอำนาจทางการเมืองได้สนุก โดยมีประเด็นเรื่องระบอบตัวแทนของโรมที่ขัดแย้งกับระบอบการปกครองแบบสมมุติเทพของอียิปต์ ที่กลายมาเป็นสงครามใหญ่กลืนชาติ สิ้นสุดยุคฟาโรห์ของอียิปต์ที่มีคลีโอพัตราเป็นคนสุดท้าย ซึ่งผู้ชมที่สนใจประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง