รีวิว Queen Sono (Netflix) สายลับสาวเดือด เลือดแอฟริกา
Queen Sono
สรุป
นี่เป็นหนังสายลับที่มีเนื้อเรื่องเข้มข้นเป็นเอกเทศในดินแดนแอฟาริกา โลกของคนผิวสีที่ถูกคนขาวเข้ามากอบโกยช่วงชิงทุกอย่างไป และก็แทรกแซงเข้าไปถึงการเมืองควบคุมประเทศ ทำให้ “ควีน โซโน” มีเนื้อหาที่เข้มข้นน่าติดตามไม่น้อย รวมถึงฉากแอ็กชั่นที่เดือดดิบพอตัวกับหนังสายลับผู้หญิง แต่หนังอาจจะพลาดตรงเปิดมาสามตอนแรกดูหลายๆ อย่างไม่เข้าที่เข้าทางกับฉากแอ็กชั่นที่ดูหน่อมแหน้มมากไปจนตอนแรก ก่อนที่จะเริ่มสนุกและดุเดือดจริงจังในภายหลัง
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- บทการเมืองเข้มข้นโยงใยถึงปัญหาหมักหมมของประเทศแอฟาริกา
- ฉากแอ็กชั่นดิบๆ บู๊ตัวๆ มากกว่าการใช้ปืน
- ความรักในเรื่องทำออกมากำลังดีมีความสำคัญกับเรื่องหลัก
- องค์กรตัวร้ายที่อยู่บนดินแบบถูกกฏหมาย
- ปมทางจิตของนางเอกมีส่วนช่วยให้เรื่องราวน่าสนใจในมุมของสายลับไม่สมบูรณ์แบบ
- เรื่องแค่ 6 ตอนสั้น ใช้เวลารับชมไม่นานนัก
Cons
- ช่วง 3 ตอนแรกดูไม่เข้าที่เข้าทาง ฉากแอ็กชั่นหน่อมแหน้มจนดูจืดๆ ไม่สมจริงแบบช่วงหลัง
- อุปกรณ์ไฮเทคในเรื่องดูธรรมดาไป (แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้มาแบบสายลับเว่อร์ๆ)
- มีความไม่สมเหตุผลในเรื่องอยู่ประปราย
- ตัวละครในทีมนางเอกบางคนดูไม่ค่อยสำคัญกับเรื่อง
Queen Sono สายลับพันธ์ทมิฬ หนังสายลับผู้หญิงที่เรื่องราวเกิดในแอฟาริกา “ควีน โซโน” มือหนึ่งของหน่วยงานสายลับ ที่กำลังถูกภัยคุกคามรอบด้านทั้งการก่อการร้าย และการแทรกแซงของชาติตะวันตกที่เป็นภัยแฝงเร้นครอบงำประเทศที่ประชากรยากจนติดอันดับต้นๆ ของโลก
ตัวอย่าง Queen Sono ควีน โซโน สายลับพันธ์ทมิฬ
หนังสายลับที่ตัวเอกเป็นผู้หญิงผิวสีเคยมีมาบ้าง แต่สำหรับเรื่องนี้ต่างไปตรงที่ตัวเอก “ควีน โซโน” สังกัดหน่วยงาน “SOG” ที่เป็นแบบเดียวกับ CIA ของอเมริกา มีหน้าที่หาข่าว สืบหาล้วงความลับทุกๆ อย่างและจัดการมันก่อนจะเป็นภัยมาถึง “สาธารณรัฐแอฟริกาใต้” ทำให้เธอเป็นสายลับในโลกของชาวแอฟาริกันที่มีบริบทแวดล้อมแตกต่างจากที่เคยมีมาในเรื่องอื่น แม้ว่าหน้าหนังตัวอย่างอาจจะทำให้พาลคิดไปว่านี่คือ เจมส์ บอนด์ เวอร์ชั่นผู้หญิงก็ตามที แต่บอกเลยว่าไม่ใช่ และก็มีเรื่องราวที่เข้มข้นในแนวทางแตกต่างออกไปมาก
เรื่องราวของควีนเริ่มเหมือนเป็นปริศนากับการตายของแม่เธอตั้งแต่ยังเด็ก โดยแม่ของเธอเป็นผู้นำการชุมชุมประท้วงใหญ่เพื่อให้ได้มาซึ่งอิสระภาพของชาวแอฟาริกาตัวจริง โดยคดีเกิดขึ้นมาเหมือนกับว่าแม่ของเธอถูกพวกเหยียดผิวฆ่า และคนร้ายก็ถูกจับเข้าคุกมานานจนเกือบจะได้รับการปล่อยตัวเพราะแก่ชรา และนั่นเองเป็นจุดเริ่มของการตามหาความจริงเรื่องการตายของแม่ โดยควีนในปัจจุบันได้มาสังกัดอยู่หน่วย SOG และก็เป็นสายลับมือหนึ่งของที่นี่ ที่มาพร้อมกับทีมสนับสนุนช่วยเหลือด้วยอุปกรณ์ไฮเทคที่แอบเวอร์นิดๆ แต่ไม่ถึงขั้นโม้แตกแบบเจมส์ บอนด์ และ SOG ก็กำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มก่อการร้ายใหม่ที่เปิดตัวมาเพื่อปลดปล่อยแอฟาริกาออกจากการแทรกแซงของชาติตะวันตก
นี่เป็นหนังสายลับผู้หญิงที่เดือดและเข้มข้นจริง แต่ว่ากว่าจะเข้าเรื่องเข้มข้นที่ว่าก็ปาไปท้ายๆ ตอน 3 แล้ว โดยปัญหาของช่วงแรกคือหนังเสียเวลาอ้อมๆ โดยไม่บอกคนดูไปตรงๆ ว่าเรื่องราวหลักจริงๆ คือการตามสืบคดีแม่ของเธอที่ตายไป แล้วทำให้เธอเห็นภาพติดตาหลอนมาตลอดเวลาถ้าเกิดเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจเธอ ซึ่งปมทางจิตของนางเอกมีส่วนช่วยให้เรื่องราวน่าสนใจในมุมของสายลับมือหนึ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ และต้องซ่อนความลับนี้ไว้กับตัวมาตลอด แล้วเรื่องช่วงแรกก็เดินเรื่องไปในโทนหนังสายลับแอ็กชั่นหน่อมแน้มๆ ออกจะเหมือนหนังตลกเบาๆ มีช่วงการใช้ชีวิตปกติของควีนที่ดูเรื่อยเปื่อยพอสมควร แม้จะเป็นการปูปมเล็กๆ เพื่อนำมาใช้ตอนหลัง แต่ด้วยความยืดยาวของช่วงแรกทำให้เป็นอะไรที่น่าเบื่อมากพอสมควร ถ้าเทียบกับหนังสายลับดังๆ เรื่องอื่น แม้แต่ตัวร้ายเองก็แทบไม่ได้โชว์ความร้ายกาจอะไรให้เห็นนัก
แต่ว่าพอพ้นช่วง 3 ตอนแรกที่ว่าแล้วเหมือนหนังเข้าที่เข้าทางขึ้นมาทันที เรื่องราวย้อนกลับไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ของควีนก่อนที่จะเข้าทำงานในหน่วย SOG แล้วก็ใช้เวลาปูเรื่องเต็มๆ 1 ตอนทำให้เห็นที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมด ที่เข้มข้นโยงใยมาถึงปัจจุบันได้อย่างน่าติดตามเลยทีเดียว และก็จัดแอ็กชั่นดิบๆ มาให้คนดูลืมฉากแอ็กชั่นหน่อมแหน้มในช่วงแรกไปเลย หลังจากนี้หนังเหมือนเข้าโหมดวอร์เต็มตัว ไม่ใช่แค่กับการสืบคดีการตายของแม่เธอ แต่ยังมีศึกใหญ่กับองค์กรร้ายระดับประเทศที่หวังขยายอิทธิพลไปทั่วแอฟาริกา โดยโยงใยเกี่ยวพันกับการเมืองและปัญหาความยากจนของประชาชกรในทวีปนี้อย่างเข้าท่า ไม่ได้โม้แบบหนังสายลับอื่นๆ มีความเป็นไปได้และน่าสนใจตรงที่องค์กรร้ายที่ว่านี่ไม่ได้มาแบบลับๆ แต่มาแบบเปิดเผยหน้ามีกฏหมายคุ้มครองการทำงานทุกอย่าง นั่นทำให้งานของ SOG ที่แม้จะรู้เบื้องลึกก็ทำอะไรไม่ได้ และแม้แต่ในตัว SOG เองก็ยังมีวาระซ่อนเร้นที่ต้องให้ควีนตามสืบองค์กรตัวเองอีกชั้นด้วยเหมือนกัน
ด้วยความที่เป็นหนังสายลับนางเอกก็เลยต้องมีผู้ช่วยที่ก็มาเป็นทีมคล้ายๆ แบบมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ลแต่สเกลเล็ก หลักๆ คือมีแฮ็กเกอร์ที่คอยตามประกบส่งข้อมูลรวมถึงให้อุปกรณ์ไฮเทคไว้ค่อยช่วยนางเอกในแต่ละภารกิจ แม้ว่าอุปกรณ์พวกนี้จะดูธรรมดา แต่ถ้ามองว่าเรื่องนี้เน้นไปที่แอฟาริกาที่ยากจน แล้วก็ไม่ได้้เป็นหนังสายลับเน้นเว่อร์ๆ แบบเจมส์ บอนด์ ก็ทำให้พอมองข้ามไปได้
นอกจากนี้หนังยังมีเรื่องราวความรักเล็กๆ กับเพื่อนสมัยเรียนรวมอยู่ด้วย พอให้คนดูคิดจินตนาการว่าเธอแอบมีซัมติงอะไรกับคนนี้หรือเปล่า แต่ด้วยสถานะหน้าที่สายลับทำให้เธอกลายเป็นคนที่พร้อมจะหายตัวทิ้งเพื่อนได้ตลอดเวลา และก็เปิดเผยให้ใครรู้ไม่ได้ ทำให้เรื่องรักในเรื่องดูรันทดนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมาฉุดให้เรื่องเสียเวลาแต่อย่างไร และหนังก็ใช้เรื่องราวความรักมาเป็นประเด็นสำคัญหลังเปิดเผยอดีตที่แท้จริงของเธอ ทำให้เกิดการยืนคนละขั้วกับคนรักอีกคนที่สำคัญมากกับเรื่องนี้ และปมตรงนี้ยังช่วยส่งเสริมให้เรื่องราวน่าติดตามมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อต้องเลือกระหว่างความรักกับอุดมการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างมองว่าถูกต้องในมุมของตัวเอง
คนรักฝังใจของควีนคือตัวร้ายอีกคนในเรื่องนี้ที่มีอุดมการณ์หวังปลดปล่อยแอฟาริกาจากคนผิวขาวที่เข้ามาแทรกแซง
จุดเด่นของเรื่องนี้จริงๆ คือ บริบทปัญหาการเมืองแบ่งแยกเชื้อชาติในแอฟาริกาที่เข้มข้น ทำให้ฝ่ายตัวร้ายกำเนิดขึ้นมาได้โดยชอบธรรม เมื่อเทียบกับฝั่งนักการเมืองทุจริตตัวร้ายตัวจริงที่ถูกปกป้องโดยรัฐ และกับความอยุติธรรมที่ควีนได้รับ แต่กลับต้องปกป้องพวกนี้โดยหน้าที่ ทำให้เรื่องนี้มีโครงสร้างเรื่องราวสายลับการเมืองที่เข้มข้นและเข้ากับแอฟาริกามากๆ และก็เหมาะที่ตัวเอกจะเป็นสายลับหญิง เพราะเรื่องราวมีความเกี่ยวพันกับความละเอียดอ่อนในจิตใจของผู้หญิงหลายๆ อย่างจนเป็นปมเด่นที่แตกต่างจากตัวเอกชายปกติ
นี่เป็นหนังสายลับที่มีเนื้อเรื่องเข้มข้นเป็นเอกเทศในดินแดนแอฟาริกา โลกของคนผิวสีที่ถูกคนขาวเข้ามากอบโกยช่วงชิงทุกอย่างไป และก็แทรกแซงเข้าไปถึงการเมืองควบคุมประเทศ ทำให้ “ควีน โซโน” มีเนื้อหาที่เข้มข้นน่าติดตามไม่น้อย รวมถึงฉากแอ็กชั่นที่เดือดดิบพอตัวกับหนังสายลับผู้หญิง แต่หนังอาจจะพลาดตรงเปิดมาสามตอนแรกดูหลายๆ อย่างไม่เข้าที่เข้าทาง รวมถึงฉากแอ็กชั่นที่ดูหน่อมแหน้มมากไปจนอาจจะปิดไปก่อนที่จะเริ่มสนุกในภายหลัง
หนังมีแค่ 6 ตอนจบสั้นๆ ไม่ยาวมากเพื่อต่อซีซั่น 2 ที่ถูกวางปิดท้ายไว้น่าติดตามมาก ในแบบที่เห็นเลยว่าคงไม่มีช่วงเวลาพูดพร่ำทำเพลงอะไรแบบซีซั่นแรกนี้อีกแล้วครับ