รีวิว Reality Z ซีรีส์ซอมบี้เรียลลิตี้โชว์สุดง่อยของ Netflix
Reality Z
สรุป
ซีรีส์ซอมบี้ที่พล็อตดูแปลกใหม่น่าสนใจ แต่บทกลับเป็นการหนีซอมบี้แบบเชยๆ ตัวสกิลความสามารถซอมบี้ก็เป็นไปตามสูตรยุคเก่าเริ่มแรก ไม่มีอะไรใหม่ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แถมยังอ่อนแอกว่าปกติที่ควรจะเป็น ผสมกับการกระทำไม่สมเหตุผลของตัวละครที่ออกแนวโง่ฉับพลันจากบทที่วางไว้กะให้ตลก จึงกลายเป็นหนังซอมบี้ที่น่าผิดหวังเอามากๆ แม้ช่วงใกล้จบจะพอมีเรื่องแนวเสียดสีเรียลลิตี้โชว์จริงจัง แต่ก็ไม่พอที่จะกู้ความน่าผิดหวังหลายอย่างในเรื่องนี้ได้ครับ
Overall
5/10User Review
( votes)Pros
- พล็อตแนวเสียดสีเรียลลิตี้โชว์ออกตลกๆ หน่อย
- รีเมคจากเรื่อง Dead Set แล้วต่อเติมเพิ่มเรื่องมา
- ตัวละครตายเยอะแบบคาดเดาได้ยากว่าใครจะรอด
- เมคอัพซอมบี้ดูสยองขวัญผ่านมาตรฐาน
Cons
- การกระทำของตัวละครที่ไม่สมเหตุผลบ่อยมาก
- ครึ่งแรกเดินเรื่องซอมบี้แบบเก่าค่อนข้างธรรมดาไป
- ซอมบี้มีจุดอ่อนด้อยมากเกินกว่าปกติ
- ตัวละครหลักตายง่าย ตายบ่อยจนดูไร้ค่า คนดูไม่รู้สึกผูกพัน
- ดนตรีประกอบไม่เข้ากับเรื่องจนน่ารำคาญ
- องค์ประกอบหลายอย่างในเรื่องดูทุนต่ำจนรู้สึกได้
Reality Z ซีรีส์ซอมบี้ Netflix จากประเทศบราซิล ที่รีเมคจาก Dead Set ซีรีส์ซอมบี้ประเทศอังกฤษเมื่อปี 2008 เนื้อเรื่องเกี่ยวกลุ่มผู้แข่งขันรายการเรียลลิตี้โชว์แนวบิ๊กบราเธอร์ ที่ไม่รู้ว่าโลกภายนอกถูกซอมบี้บุกกลืนเมืองไปหมดแล้ว
ตัวอย่าง Reality Z
บทความไม่มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญ
เรื่องนี้รีเมค Dead Set จากต้นฉบับมีแค่ 5 ตอนเท่านั้น ใน Netflix จึงนำมาเพิ่มขยายเป็น 10 ตอน ตัวเรื่องช่วงแรกเหมือนกัน แต่ถูกปรับเปลี่ยนเพิ่มเนื้อหาให้มากขึ้นในครึ่งหลัง ซึ่งตัวต้นฉบับถือว่าทำได้ดีพอตัว แต่ด้วยความที่เรื่องเก่ามากแล้ว พอมาเป็นเวอร์ชั่นใหม่นี้หลายๆ อย่างกลับไม่ถูกพัฒนาขึ้น เหมือนยังวนอยู่ในยุคหนังซอมบี้เก่าๆ จนกลายเป็นซีรีส์ซอมบี้ที่เชยล้าสมัยเอามากๆ ยิ่งถ้าเทียบกับไม่นานนี้ที่มี “เวตาล” ซีรีส์ซอมบี้จากอินเดีย เรื่องนั้นจะเห็นว่าบทและรายละเอียดของซอมบี้ถูกปรับฉีกแตกต่างออกไปมากมาย ซอมบี้ในปัจจุบันไม่ใช่แค่วิ่งเร็ว มันต้องมีอะไรมากกว่านี้ถึงจะทำให้คนรู้สึกแปลกใหม่ได้บ้าง ไม่ใช่จำเจอยู่กับมุกเดิมๆ กัดแล้วติดเชื้อแบบเก่าๆ อีกต่อไปแล้ว
เรื่องนี้ไม่ใช่แนวสยองขวัญโดยตรงมาตั้งแต่เวอร์ชั่นก่อนแล้ว ตัวเรื่องถูกวางไว้เป็นแนวตลกเสียดสีรายการทีวีเรียลลิตี้โชว์ดังสมัยก่อนในยุคที่พึ่งเริ่มมีอะไรแบบนี้ พอหยิบเอาบทย้อนยุคไป 10 กว่าปี ตัวเรื่องจึงไม่ได้แปลกใหม่อะไรนัก แต่สำหรับคนที่ไม่เคยดูแนวซอมบี้ตลกๆ ก็อาจจะรู้สึกแปลกใหม่ได้บ้าง ซึ่งก็มีช็อตขำๆ กับการกระทำของตัวละครที่หมกหมุ่นอยู่กับความนิยมจากทางบ้าน ไม่ก็เรื่องชู้สาวในบ้านนี้ที่เรียกว่า “โอลิมปัส” ที่จำลองมาจากเทพกรีกโบราณ ให้ผู้เข้าแข่งขันแต่งตัวเป็นแนวเทพมาใช้ชีวิตด้วยกัน และก็สร้างบ้านนี้ไว้ให้อยู่ได้ด้วยตนเองยาวๆ จากพลังงานแสงอาทิตย์และน้ำที่มีใช้ได้เหลือเฟือ พร้อมอุปกรณ์เครื่องใช้อำนวยความสะดวกในบ้านครบครันแบบรายการเรียลลิตี้โชว์ดีๆ ซึ่งเรื่องก็เอาจุดนี้แหละมาผูกว่าที่นี่เลยกลายเป็นฐานที่มั่นชั้นดีกว่าที่อื่น เพราะเป็นที่ปิดอยู่ได้ด้วยตนเองพร้อมมีกล้องวงจรปิดสอดส่องดูได้ทุกซอกทุกมุม ตัวละครในเรื่องจึงลงหลักปักฐานที่นี่พร้อมใช้เครื่องส่งสัญญาณทีวีออกอากาศให้คนภายนอกได้รับรู้เหตุการณ์ไปในตัว (ยังมีคนดูอยู่จริงๆ ด้วย)
นอกจากกลุ่มผู้เข้าแข่งขันในบ้านโอลิมปัสแล้ว เรื่องยังแบ่งเล่าถึงกลุ่มตัวละครด้านนอกที่เป็นผู้ให้กำเนิดสถาณที่แห่งนี้ด้วย ซึ่งคนเป็นแม่คือเจ้าของรายการเก่าที่ถูกไล่ออก และเมื่อเกิดซอมบี้บุกเมืองจึงหวนกลับไปกับลูกชายเพื่อหวังใช้โอลิมปัสเป็นฐานที่มั่นเอาชีวิตรอดเช่นกัน ซึ่งระหว่างทางก็จะต้องผจญภัยไปเจอกับกลุ่มตัวละครอื่นอีก อย่างนักการเมืองดัง ตำรวจปราบจราจล ที่ตอนนี้กลายเป็นโจรปล้นน้ำมัน แต่เรื่องก็วางให้ทุกคนด้านนอกมุ่งหน้ามาที่โอลิมปัสทั้งหมด และก็คาดเดาไม่ได้ว่าใครเป็นตัวละครหลักกันแน่ เพราะเรื่องค่อนข้างฆ่าตัวละครทิ้งระหว่างทางบ่อยครั้งเหมือนกัน
ที่จริงโครงเรื่องนี้ถือว่าแปลกแหวกแนวเลยทีเดียว แต่ตัวเรื่องกลับไม่สามารถครีเอทอะไรให้แปลกใหม่ได้มากกว่าหนังซอมบี้ที่มีอยู่เกลื่อน ตัวเรื่องครึ่งแรกยังวนเวียนกับพล็อตซอมบี้ในแบบเดิมๆ ซึ่งถ้าใครดูหนังซอมบี้มาประจำก็คงเฉยๆ แถมยังจะรู้สึกขัดใจกับการกระทำโง่ๆ ของตัวละครอย่างไม่น่าเชื่อ ยกตัวอย่าง จู่ๆ ก็มีตัวละครหนึ่งคิดว่าซอมบี้เป็นมิตรเชื่องๆ พยายามจะเข้าไปจับมือด้วย ทั้งๆ ที่ทั้งกลุ่มก็ห้าม ไม่ก็มีเพื่อนโดนกัดแล้วหวังดีจะรักษา ก็ปล่อยไว้จนโดนกัดซะเอง แถมไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่มีเรื่องแบบนี้ ยังมีตัวละครอื่นทำซ้ำแบบเดียวกันต่อมาอีก เหมือนผู้สร้างยังอยู่ในยุคสมัยที่พึ่งเริ่มมีหนังซอมบี้ที่บทแนวหวังดีจะรักษาเพื่อนนี่มันล้าสมัยไปแล้ว
ครึ่งแรกจึงเหมือนกำลังนั่งดูหนังซอมบี้ยุคเก่าๆ แบบแค่พอดูผ่านๆ ได้ ครึ่งหลังถึงค่อยมีอะไรแปลกใหม่ด้วยการใช้อุปกรณ์ในบ้านโอลิมปัสให้เป็นประโยชน์กับการฆ่าซอมบี้ และก็ทำออกมาด้วยมุมกล้องจากในห้องคอนโทรลกับภายในบ้านคู่กันในฉากเดียว เหมือนเรากำลังดูพวกเรียลลิตี้โชว์ผ่านเบื้องหลังห้องควบคุม และก็ต่อด้วยการเสียดสีเรียลลิตี้โชว์แบบเรียลจริงๆ ด้วยการให้พวกที่อยู่ในโอลิมปัสกลายเป็นเหมือนพระเจ้าในยุคซอมบี้ล้างโลก มีอำนาจคัดเลือกสมาชิกใหม่ที่เหลือรอดจากภายนอกมาสร้างโลกใหม่ และก็คิดพวกเกมทดสอบหาทางคัดคนออกจากบ้านโอลิมปัส ซึ่งช่วงนี้แหละที่เรื่องค่อยดูสนุกขึ้นมาจริงจังหน่อย แต่ด้วยความที่ดันมาตอนใกล้จบ ตัวเรื่องจึงไม่เหลือเวลาให้ปูทำอะไรได้อีกแล้ว นอกจากรีบๆ ตัดจบเรื่องแบบไม่ค่อยเข้าท่า ด้วยการให้ตัวละครหลายตัวตายแบบไร้ค่าและไม่สมเหตุผลเอามากๆ ก่อนทิ้งปมตอนจบไว้สักนิดเผื่อทำต่อ แต่ก็ไม่ได้ชวนอึ้งหรือน่าติดตามอะไรเลยจริงๆ
ข้อเสียเรื่องตัวละครโง่ๆ ที่ว่ามาด้านบนถ้ามองว่านี่เป็นหนังตลกสยองขวัญก็อาจจะแถๆ ได้ว่าตั้งใจทำให้ตลกก็พอได้ แต่สิ่งที่ต้องใช้คำว่าแย่จริงๆ ในเรื่องนี้คือ ความอ่อนด้อยของซอมบี้ในเรื่องนี้แพ้อะไรโง่ๆ อย่างตกบ่อน้ำพุตื้นๆ กลับลุกไม่ขึ้น เป็นจุดอ่อนของซอมบี้ที่เรียกว่างี่เง่าที่สุดที่เคยมีมาเลย แถมแค่เอาอะไรแทงหัวหรือตัดโดนหัวตรงไหนก็ได้ตายสนิททุกตัว หัวซอมบี้ในเรื่องก็เปราะบางเหมือนแตงโม ใช้อะไรก็แทงทะลุได้ง่ายๆ ไปหมด เรื่องจึงกลายเป็นซอมบี้ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย แต่ตัวละครในเรื่องก็ยังกรี๊ดกร๊าดกลัวซอมบี้พวกนี้อยู่ตลอด ทั้งๆ ที่ฆ่าไปเป็นเบือด้วยวิธีเดิมๆ ซอมบี้เองก็เหมือนพวกง่อยเปลี้ยไม่ค่อยมีแรงแบบเรื่องอื่นในยุคใหม่ พังสิ่งกีดขวางอะไรไม่ค่อยได้ ออกแนวออกันทุบประตูอยู่ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง ยังดีที่เมคอัพค่อนข้างดี เน้นแหวะลากไส้ออกมากินบ่อย (บ่อยมากด้วย) จึงมีความน่ากลัวแบบหนังซอมบี้หลงเหลืออยู่ให้พอเชื่อว่านี่เป็นหนังสยองขวัญติดมาไม่ใช่แค่แนวตลกจากการกระทำโง่ๆ ของตัวละครในเรื่องที่มีเยอะเหลือเกินครับ