playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Rebel Ridge (Netflix) แอ็กชั่นฮีโร่สายพิราบที่แตกต่างจากฮีโร่โชว์ออฟเรื่องอื่นทั้งหมด!

Rebel Ridge

Summary

หนังแอ็กชั่นฮีโร่ทหารลึกลับที่มาช่วยเมืองเล็กๆ จากแก๊งตำรวจชั่วที่ฟังดูก็น่าเบื่อแล้ว แต่เรื่องนี้กลับแตกต่างด้วยการสร้างคาแรกเตอร์ตัวเอกตรงข้ามฮีโร่โชว์ออฟเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด ด้วยการให้เขาเป็นคนสายพิราบ ยึดถือกฏเจรจาแบบประนีประนอมหาทางออก เพื่อให้ตัวเองรอดชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยไม่แคร์ว่าตัวเองจะเสียเปรียบหรือถูกกระทำ แม้แต่ถูกมองว่าเป็นคนเอาตัวรอดก็ไม่สน ไม่ใช่ฮีโร่ที่จะมาช่วยใคร ทำให้เรื่องดูลึกสมจริงโดยมีปูมหลังชีวิตที่ค่อยๆ เผยรองรับการกระทำของเขา แต่ก็ไม่ได้เผยมาทั้งหมดให้ผู้ชมคิดต่อเอง ทุกฉากที่เขาต้องปะทะกับตำรวจจึงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่น่าอึดอัดเหมือนจะระเบิดได้ตลอดเวลา แต่ก็มีทางรอดออกไปได้เสมอ แต่พอต้องเอาคืนก็ใส่ฉากแอ็กชั่นที่ ‘น้อยแต่ดี’ ออกมาได้อย่างน่าประทับใจ แม้แต่ตัวละครรองๆ ก็มีมิติบทบาทที่สำคัญกับเรื่องมากจนน่าประหลาดใจที่หนังเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วนขนาดนี้ครับ แนะนำว่าไม่ควรพลาดมาก และน่าจะเป็นหนังที่ทำภาคต่อได้อีกเพราะเรื่องยังทิ้งปริศนามากมายไว้อยู่ครับ

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • แอ็กชั่นฮีโร่สายเจรจาเอาตัวรอดในบรรยากาศกดดัน
  • ตัวละครมีมิติความเป็นมนุษย์สูงทุกคน
  • พระเอก Aaron Pierre ลงตัวกับบทมาก
  • ฉากแอ็กชั่นน้อย แต่สมเหตุผลดี
  • หนังไม่เผยมากเน้นให้คิดตามทุกอย่าง
  • เล่าถึงปัญหาโครงสร้างตำรวจอเมริกาในเมืองเล็กๆ
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • เรื่องข้อกฏหมายอเมริกาหนังเล่าไวมีความซับซ้อนพอสมควรจนดูอาจจะไม่เข้าใจ
  • ตอนจบเกือบปลายเปิดทิ้งเรื่องไว้ให้ถกเถียงกันต่ออาจจะไม่เหมาะกับผู้ชมที่ชอบจบแบบสำเร็จรูป

 

ADBRO

Rebel Ridge เรเบลริดจ์ ผ่าเมืองอยุติธรรม ภาพยนตร์ Original Netflix แนวแอ็กชั่นดราม่าทริลเลอร์ เรื่องราวของอดีตนาวิกโยธินที่ต้องต่อสู้ฝ่าวงจรคอร์รัปชันในเมืองเล็กๆ เมื่อความพยายามในการประกันตัวญาติของเขาลุกลามกลายเป็นการเผชิญหน้าอย่างรุนแรงกับหัวหน้าตำรวจท้องถิ่นที่พยายามใช้อำนาจทุกทางจัดการเขาให้ได้
Rebel Ridge (2024) on IMDb

 

รีวิว Rebel Ridge เรเบลริดจ์ (ไม่สปอยล์)

หนังจากผู้กำกับ Jeremy Saulnier ที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากนัก ผลงานล่าสุดคือกำกับซีรีส์ทรูดีเทคทีฟ ซีซั่น 4 สองตอน แต่เรื่องนี้คือผลงานที่ทั้งเขียนบทและกำกับเอง โดยเตรียมถ่ายทำตั้งแต่ปี 2020 แต่ติดทั้งโควิดและมีปัญหาจากนักแสดงนำ จอห์น โบเยก้า ที่แสดงสตาร์วอร์ในบทฟินน์ ถอนตัวเองออกจากโครงการทั้งหมด ทำให้เรื่องหยุดชะงักไปนาน จนได้ Aaron Pierre ยอดฝีมือคนหนึ่งมาแสดงแทน ซึ่งเขาก็รับบทนี้ได้อย่างไม่มีที่ติทั้งการแสดงเสน่ห์ที่ออกมา และรูปร่างที่สูงถึง 1.9 เมตร ในบทอดีตนาวิกโยธินที่มีอดีตลึกลับ จนอาจจะเป็นการให้กำเนิดตัวละครฮีโร่ที่จะมาเป็นแฟรนไชน์สร้างภาคต่อได้สบายๆ เลย

 

เรื่องราวของตัวเอก Terry Richmond นั้นแทบจะเหมือนซีรีส์ Jack Reacher ในซีซั่น 1 ไม่มีผิด ว่าด้วยอดีตนาวิกโยธินที่ปั่นจักรยานเข้าเมืองเล็กๆ เพื่อจะไปประกันตัวให้ญาติ แต่กลับเจอตำรวจสายตรวจหาทางเล่นงานเขาด้วยข้อหาประหลาดๆ แต่เขาก็พยายามทำตามกฏหมายเป็นพลเมืองที่พร้อมยอมรับอำนาจหน้าที่ตำรวจ แม้ว่าจะรู้สึกถูกกระทำเกินจริงก็ตาม แต่กลายเป็นว่ายิ่งเข้าทางฝ่ายตรงข้ามที่เล่นไม่หยุดและส่งผลให้สุดท้ายเขาก็ต้องหาทางทวงคืนความยุติธรรมด้วยตัวเอง โดยมีตำรวจทั้งเมืองเป็นศัตรูไป 

สิ่งที่เรื่องนี้ทำได้ยอดเยี่ยมมากคือ การวางหลักกฏเกณฑ์ให้ตัวเอกเป็นทหารที่พยายามทำตามกฏทุกอย่าง โดยที่ไม่พยายามโชว์ความเก่งกาจอะไรออกมาเลย นิสัยของเขาแทบจะตรงข้ามกับ Jack Reacher ที่เน้นตัวใหญ่ยักษ์ ขี้อวดโชว์ออฟเท่ๆ ตลอดเวลาไม่ให้ใครมาข่มได้ แต่เทอร์รี่กลับยินยอมให้โดนข่มเหง พยายามประนีประนอมฝ่ายตรงข้ามทุกทาง แม้ตัวเองใกล้ถึงขีดสุดของความอดทนก็ยังยื่นข้อเสนอที่ตัวเองเสียเปรียบให้ฝ่ายตรงข้ามเปิดทางออกให้เขา (ทั้งๆ ที่สู้กันเขาก็น่าจะชนะ) เพียงเพื่อจุดหมายที่เขาต้องการ และยินยอมถอยออกไปจากเมืองที่รุมกินโต๊ะเขา โดยที่เขาก็รู้ว่าตำรวจพวกนี้เป็นแก๊งชั่วช้าที่ทำร้ายคนอื่นมานาน เทอร์รี่ก็พร้อมจะหาทางออกไปโดยไม่สนใจจะแก้ไขปัญหานี้ให้ใคร แม้คนที่ขอร้องเขาจะเป็นนักกฏหมายที่พยายามช่วยเขาในคดีประกันตัวญาติที่เป็นต้นเรื่องก็ตาม ซึ่งนี่คือความแปลกใหม่ของคาแรกเตอร์ในบทนี้ที่สมจริง ดิ่งลึกแตกต่างจากตัวละครฮีโร่เรื่องอื่นๆ โดยที่ไม่ได้ตั้งใจเป็นแนวแอนตี้ฮีโร่เลยด้วยซ้ำ และมีเหตุผลรองรับจากตัวตนในอดีตที่ทำให้เขาเลือกวิธีการแบบนี้  ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้ตัวตนของเขาดูเป็นคนตรงข้ามกับฮีโร่แนวโชว์ออฟทั้งหลาย 

และด้วยวิธีการเดินเรื่องแบบสายพิราบหาทางออกเอาเปอร์เซ็นต์รอดชีวิตให้ได้มากที่สุด ทำให้บรรยากาศของเรื่องดู “ตึงเครียด อึมครึม น่าอึดอัด” ในทุกฉากที่เขาต้องปะทะคารมกับตำรวจพวกนี้ ก่อนที่จะค่อยๆ กลับมาเอาคืนบางช่วงด้วยวิธีการที่คิดดีแล้วก่อนลงมือและก็ทำได้จริง สลับกับการเล่นจิตวิทยาการเจรจาหลอกล่อ ฉากบู๊ในเรื่องจึงไม่ได้มีเยอะ หลักๆ มีเพียงแค่ 2 ฉากเท่านั้น แม้แต่ฉากไคลแม็กซ์การปะทะกับตำรวจทั้งกองก็ยังไม่ใช่การยิงฆ่าบู๊กระหน่ำตามสไตล์หนังแนวนี้ที่ถึงเวลานี้ต้องยิงฆ่าไม่เลือกแล้ว แต่เทอร์รี่ก็ยังหาวิธีจัดการแบบเพลย์เซฟให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บน้อยที่สุดอยู่ดี (ฉากรุนแรงที่สุดในเรื่องคือการหักแขนคู่ต่อสู้เท่านั้น) ทำให้เรื่องถูกวางอยู่บนมิติของความสมจริงมากสุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ใช่ยิงฆ่าคนเท่าไหร่ก็ได้แล้วไม่ผิดแบบฮีโร่ศาลเตี้ยเรื่องอื่นๆ 

สิ่งที่เรื่องทำได้ดีมากอีกอย่างคือ หนังเปิดมาโดยไม่มีการเล่าถึงปูมหลังชีวิตของเทอร์รี่ให้ผู้ชมได้รู้เลยสักนิด แล้วค่อยๆ เติมเต็มใส่รายละเอียดลงไปเรื่อยๆ ให้ผู้ชมค่อยๆ ได้รู้จักเขาผ่านประวัติที่ตำรวจสืบค้น ผ่านการติดต่อกับคนรู้จักของเขาที่เป็นร้านอาหารจีนปริศนา ซึ่งทุกอย่างผู้ชมต้องปะติดปะต่อกันเอง หนังเรื่องนี้พยายามใช้วิธีการเล่าแบบไม่เปิดเผยตรงๆ ทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนถึงฉากจบก็ยังใช้วิธีเดียวกัน ซึ่งทำให้เรื่องดูลึกลับและน่าติดตามว่าเขาเป็นใคร และเรื่องก็ไม่ได้เผยให้เห็นอดีตทั้งหมด แต่เป็นชีวิตปัจจุบันมากกว่า ซึ่งน่าจะมีการเก็บบางส่วนไว้ทำต่อได้ อย่างร้านอาหารจีนที่เขาไปเกี่ยวข่องและพึ่งพาตลอดเรื่อง โดยไม่รู้เลยว่าเขาทำงานอะไรที่นี่ และที่นี่มีความลับอะไรอยู่บ้าง ทำให้ชีวิตตัวตนของเทอร์รี่ยังดูลึกลับอยู่ค่อนข้างมากตั้งแต่ต้นจบจบเรื่อง และน่าจะสร้างภาคต่อได้ไม่ยากเลยครับ


นอกจากนี้แล้วตัวละครรองๆ ในเรื่องนี้ก็ยังมีมิติที่ลึกกว่าแค่เป็นบทสมทบ สาวนักกฏหมายที่เป็นเหมือนนางเอกของเรื่องก็มีปมปัญหาชีวิตที่เกี่ยวพันถึงเรื่องลูกกับการทำงานที่นี่ ซึ่งหนังได้จับเอาปัญหาของเธอมาเป็นตัวการทำให้เทอร์รี่ต้องละทิ้งกฏที่เขายึดถือใช้มาตลอด และหาทางเอาความยุติธรรมกลับคืนมาเพราะรู้ว่าไม่เคลียร์ไม่ได้แล้วเรื่องนี้จะติดตามตัวเขาไปตลอด ซึ่งทำให้เรื่องค่อยๆ ขยายลงลึกจากปัญหาส่วนตัวกับแก๊งตำรวจ กลายเป็นปัญหาโครงสร้างตำรวจของอเมริกาที่พยายามปรับแล้วแต่ก็ยังแก้ไขไม่ได้ จนทำให้ตำรวจในเมืองนี้ต้องรวมกันมาเอาตัวรอดกันเองด้วยวิธีที่แนบเนียนผ่านระบบขั้นตอนกระบวนการทางกฏหมายอเมริกา ซึ่งตรงนี้เรื่องค่อนข้างซับซ้อนอยู่บ้าง แต่ถึงตามไม่ทันก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดครับ

ในส่วนของตำรวจเองก็ไม่ใช่มีแต่คนชั่ว เรื่องยังพยายามเผยให้เห็นว่ามีตัวละครลึกลับที่คอยช่วยฝ่ายเทอร์รี่อยู่ ซึ่งหนังฉลาดตรงไม่เผยให้เห็นว่าเป็นใคร และยังทำให้ตัวเอกเทอร์รี่เองก็เข้าใจผิดได้เหมือนมนุษย์ปกติ ไม่ใช่พระเอกที่ฉลาดวางแผนดักไว้ล่วงหน้าไว้หมดแล้วอย่างเรื่องอื่นๆ ซึ่งซีนเฉลยตัวละครนี้ในเรื่องถือว่าหักมุมชวนช็อคอยู่เหมือนกัน เพราะมันแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ มาก และยังมีฉากหักมุมซ้ำต่อจากนั้นไปอีก ซึ่งเป็นฉากจบที่ต้องชวนคิดติดหัวว่าหลังจากนี้เรื่องจะเป็นยังไง แต่ก็พอจะเข้าใจได้ ซึ่งผู้ชมก็คงเอาไปถกเถียงกันต่อไปครับ 

 

สรุป หนังแอ็กชั่นฮีโร่ทหารลึกลับที่มาช่วยเมืองเล็กๆ จากแก๊งตำรวจชั่วที่ฟังดูก็น่าเบื่อแล้ว แต่เรื่องนี้กลับแตกต่างด้วยการสร้างคาแรกเตอร์ตัวเอกตรงข้ามฮีโร่โชว์ออฟเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด ด้วยการให้เขาเป็นคนสายพิราบ ยึดถือกฏเจรจาแบบประนีประนอมหาทางออก เพื่อให้ตัวเองรอดชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยไม่แคร์ว่าตัวเองจะเสียเปรียบหรือถูกกระทำ แม้แต่ถูกมองว่าเป็นคนเอาตัวรอดก็ไม่สน ไม่ใช่ฮีโร่ที่จะมาช่วยใคร ทำให้เรื่องดูลึกสมจริงโดยมีปูมหลังชีวิตที่ค่อยๆ เผยรองรับการกระทำของเขา แต่ก็ไม่ได้เผยมาทั้งหมดให้ผู้ชมคิดต่อเอง ทุกฉากที่เขาต้องปะทะกับตำรวจจึงเต็มไปด้วยอารมณ์ที่น่าอึดอัดเหมือนจะระเบิดได้ตลอดเวลา แต่ก็มีทางรอดออกไปได้เสมอ แต่พอต้องเอาคืนก็ใส่ฉากแอ็กชั่นที่ ‘น้อยแต่ดี’ ออกมาได้อย่างน่าประทับใจ แม้แต่ตัวละครรองๆ ก็มีมิติบทบาทที่สำคัญกับเรื่องมากจนน่าประหลาดใจที่หนังเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วนขนาดนี้ครับ แนะนำว่าไม่ควรพลาดมาก และน่าจะเป็นหนังที่ทำภาคต่อได้อีกเพราะเรื่องยังทิ้งปริศนามากมายไว้อยู่ครับ

 

รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!