รีวิว After Life ชีวิตเศร้าบัดซบที่ไม่จบเพราะต้องเลี้ยงหมา
After Life
สรุป
ซีรีส์ที่เรื่องราวตั้งใจให้ราบเรียบเหมือนชีวิตจริงที่เป็นไปได้มากสุดว่าถ้ามีคนที่คิดแบบนี้ ตั้งใจใช้ชีวิตแบบเชี่ยๆ นี้ ชีวิตของเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งก็กลายมาเป็นความตลกเสียดสีสังคมแบบเรียลๆ อาจจะไม่ได้ดีสุดๆ แต่ก็มีอะไรลึกๆ ติดหัวให้ประทับใจได้อยู่เหมือนกันครับ
Overall
7.5/10User Review
( vote)Pros
- ตลกเสียดสีชีวิตจริงในสังคมที่คนมักไม่พูดออกมา แต่ตัวเอกเรื่องนี้ไม่แคร์
- เรื่องราวดราม่าราบเรียบแบบตั้งใจ แต่มีอะไรแฝงอยู่เสมอ
- มุมมองกับชีวิตแบบใหม่ๆ ทั้งดีและร้ายผสมกัน
- ชาวเมืองที่สร้างเรื่องแปลกๆ เพื่อให้เป็นข่าวท้องถิ่นดูพิลึกๆ แต่ก็มีคนแบบนี้จริงๆ
- สำรวจโลกการทำงานของนักข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ถึงยุคเสื่อมถอยในปัจจุบัน
Cons
- เรื่องออกโทนราบเรียบมากไปจนคนดูอึดอัดได้
- ชีวิตวนลูปทำงานกลับบ้านเลี้ยงหมาแทบทุกตอนดูจำเจพอสมควร
- น้องหมาน่ารักแต่มีบทบาทน้อยไปหน่อย
After Life ซีรีส์ Netflix สั้นๆ 6 ตอนความยาว 20 กว่านาที เรื่องราวของชายสูงวัยที่สูญเสียภรรยาไปจากโรคมะเร็ง จนทำให้เขากลายเป็นคนบัดซบกับทุกคนที่พบเจอ
ตัวอย่าง After Life
บทความไม่มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญของเรื่อง
ซีรีส์ที่มาแนวเงียบๆ แต่ดี การันตีด้วยคะแนนโหวตเฉลี่ย IMDB 8.4 แต่ต้องขึ้นเตือนกันก่อนว่า นี่เป็นซีรีส์ที่เดินเรื่องเรียบง่าย ออกจะธรรมดามากๆ จนดูน่าเบื่อได้ แต่ในความเรียบง่ายธรรมดานี่เองที่เป็นจุดขายของเรื่องที่เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็มีดีอยู่ภายในจริงๆ ชอบไม่ชอบทดลองได้เพราะซีรีส์มีแค่ 6 ตอน ความยาวตอนนึงก็ประมาณ 25-30 นาทีเท่านั้นกับเรื่องที่จบแล้วและกำลังมีซีซั่น 2 มาวันที่ 24 เมษายน 2563 เป็นเรื่องราวต่อจากตอนจบเลย ซึ่งจริงๆ ก็ถือว่าเรื่องจบในตัวได้แล้วเหมือนกัน
เรื่องเริ่มต้นจาก “โทนี่” ชายวัย 50 กว่าอาชีพนักข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่มีแต่เรื่องเล็กๆ ของคนที่อยากเป็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ โทนี่เป็นคนที่เรียกว่าพูดอะไรตรงๆ ไม่รักษาน้ำใจ ทำอะไรก็ห่ามๆ ไม่คิดเซฟตัวเองไว้เลย เนื่องมาจากเขาเชื่อว่าการมีชีวิตอยู่หลังภรรยาเสียไปจากโรคมะเร็งไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เคยคิดฆ่าตัวตาย แต่ก็ดันมีหมาที่ภรรยาฝากไว้ให้เลี้ยงมาจ้อง ก็เลยต้องยอมตัดใจเลี้ยงหมาต่อชีวิตตัวเองไป แล้วเลือกทำตัวเชี่ยๆ กับโลกนี้แทน
ตัวเรื่องอาจจะดูแปลกสักหน่อยที่พระเอกเป็นแบบนี้ แต่ก็คงมีที่มาจากเรื่องจริงที่หลายคนเวลาเสียใครไปก็หมดอาลัยตายอยากในชีวิต อาจจะติดหล่มจมอยู่กับความทุกข์ แต่กับเรื่องนี้พระเอกเลือกเปลี่ยนชีวิตใหม่ด้วยการเป็นคนที่ไม่แคร์ใคร แต่ก็ไม่ได้เลวขนาดไปทำร้ายใครแบบนั้น แค่อยู่ไปวันๆ แบบคนปลงได้ว่ามนุษย์เป็นแค่สิ่งมีชีวิตที่กัดกินโลกนี้ ถ้าสักวันเขาตายๆ ไปเองได้จากการทำตัวแบบนี้ก็คงดี ตัวโทนี่เองก็คิดบวกแปลกๆ เสมือนว่าการทำตัวเชี่ยๆ เป็นพลังวิเศษ Super Power เหมือนพวกซูเปอร์ฮีโร่มีกัน และก็ใช้มันไปกับอะไรที่พบเจอในชีวิตประจำวัน อารมณ์แบดกายแต่ไม่ระรานใครก่อนเท่านั้น
เรื่องค่อยๆ ให้พระเอกไปทำข่าวเดิมๆ ที่ทำมาทั้งชีวิต แต่ด้วยมุมมองใหม่ของโทนี่ก็ทำให้เรื่องราวที่ดูเหมือนธรรมดาทั่วไปในเมืองมีความแปลกแตกต่างขึ้นมา เนื่องจากการพูดแบบไม่ถนอมน้ำใจกับชาวเมืองที่พยายามหาเรื่องดันตัวเองให้มาติดหน้าข่าวในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นนี้ให้ได้ (ซึ่งโทนี่มองว่ามีไว้ขายให้ไปรองอึหมาแมวเท่านั้น) ซึ่งความพยายามดันตัวเองด้วยเรื่องแปลกๆ ก็เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เรื่องดูมีอะไรมากขึ้นนิดนึงแบบขำๆ ไปกับความเพี้ยนนี้ได้ อย่างการวาดหนวดจิ๋มฮิตเลอร์ให้ลูกที่ยังแบเบาะ แล้วบอกว่าลูกเกิดมาหน้าตาทรงผมแบบฮิตเลอร์ ซึ่งแขกที่มาเป็นข่าวให้โทนี่จะเป็นเรื่องราวหลักประจำในแต่ละตอน แทรกกับเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของโทนี่ที่ต้องการแค่ทำงานแล้วกลับบ้านมาจมปลักอยู่กับการดูคลิปสั่งเสียอำลาของภรรยาซ้ำๆ โดยตัวเรื่องจะค่อยๆ เล่าออกมาว่าเธอฝากฝังอะไรให้โทนี่บ้าง พร้อมกับการเลี้ยงหมาไปพลางๆ (ซึ่งแต่ก่อนภรรยาเลี้ยงดูเองทั้งหมด)
ซีรีส์มีตัวละครรอบตัวพระเอกเหมือนเยอะเป็นแนวซิทคอม ที่แต่ละคนก็จะมีเรื่องประหลาดๆ มาเกาะแกะกวนใจพระเอกที่หน้าไม่เคยรับแขก แต่ทุกคนก็ไม่ถือสาเพราะรู้ว่าเขาสูญเสียภรรยาไปและทำใจไม่ได้ แต่ที่ทุกคนไม่รู้คือโทนี่ตั้งใจทำแบบนี้เพื่อรอว่าสักวันจะตายแบบไม่ต้องตั้งใจฆ่าตัวตายมากกว่า ซึ่งเป็นแนวคิดประหลาดๆ ของตัวเอก ก่อนที่จะมีเรื่องหลายอย่างผ่านเข้ามาเรื่อยๆ มีเพื่อนหน้าใหม่ต่างฐานะชนชั้นแปลกๆ รวมถึงพวกชีวิตหมดอาลัยตายอยากเหมือนกัน ซึ่งเขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอแลกเปลี่ยนพูดคุยมาก่อนในยามชีวิตปกติ จนเขาค่อยๆ เปลี่ยนมุมมองใหม่กับชีวิตไปอีกครั้งในตอนจบ ซึ่งออกแนวหนังรักนิดๆ ไม่ถึงกับซึ้งมาก แต่ก็จบได้ดีตามคอนเซ็ปต์เรื่องเรียบๆ ธรรมดาๆ แต่มีความหมายลึกๆ อยู่ภายใน
ตัวเรื่องมีความตลกแบดโจ๊กจากคำพูดเสียดสี เจ็บๆ แสบๆ ของโทนี่ที่ขยันพูดออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะคุยกับใคร ซึ่งอาจจะไม่ถึงกับขำก๊าก แต่รับรองว่าขำได้ไม่ฝืด ซึ่งหลายมุกก็กระตุกให้ชวนคิดลึกซึ้งกับมุมมองชีวิตใหม่ๆ แบบนี้ได้เหมือนกัน ซึ่งก็เป็นความจริงทั้งนั้น เพียงแค่คนปกติเขาไม่พูดกันออกมาเท่านั้น
เรื่องราวยังมีการบอกเล่าถึงการทำงานของโทนี่ในฐานะนักข่าวท้องถิ่นที่เหลือคนอ่านไม่มากว่าเป็นอย่างไร และก็อยู่ในช่วงการเปลี่ยนไปสู่การออนไลน์ในแบบต่างๆ ซึ่งก็ใส่มาเข้ากับเรื่องดี เพราะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้โทนี่ทำตัวแบบนี้ เนื่องจากคิดว่างานนักข่าวหนังสือพิมพ์จบลงไม่มีอนาคตอะไรอีกแล้วเช่นกัน แต่เขากลับต้องฝึกงานเด็กใหม่ให้ทำข่าวได้แบบเขาที่ไม่เชื่อว่าหนังสือพิมพ์จะมีอนาคตอีกแล้ว แต่เรื่องก็ทันสมัยมีการใช้โซเชียลมีเดียเข้ามาเกี่ยวข้องกับการหาข่าวต่างๆ ก่อนออกไปทำด้วยเช่นกัน
นี่เป็นซีรีส์ที่เรื่องราวตั้งใจให้ราบเรียบเหมือนชีวิตจริงที่เป็นไปได้มากสุดว่าถ้ามีคนที่คิดแบบนี้ ตั้งใจใช้ชีวิตแบบเชี่ยๆ นี้ ชีวิตของเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ซึ่งก็กลายมาเป็นความตลกเสียดสีสังคมแบบเรียลๆ อาจจะไม่ได้ดีสุดๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีจุดเด่นจุดขายที่ชัดเจนน่าติดตาม และด้วยความที่ซีรีส์ทำออกมาสั้นๆ จึงไม่ยากแก่การรับชมเพื่อพิสูจน์อะไรนักครับ แนะนำว่าลองดูกันได้เลยถ้าต้องการแนวดราม่าเรียบๆ แต่แตกต่างอยู่ในตัว