รีวิว The Twister: Caught in the Storm (Netflix) สารคดีที่ดูเป็นทวิสเตอร์เทียม!
The Twister: Caught in the Storm
Summary
สารคดีที่พยายามโฆษณาหลอกผู้ชมให้เชื่อว่ามีฟุตเทจคนติดในตาพายุทอนาโดระดับ EF-5 แบบเดียวกับหนังทวิสเตอร์ภาคแรก แต่กลับไม่มีฟุตเทจนั้นจริง ทั้งเรื่องมีคลิปพายุจริงนิดเดียวจากกล้องวงจรปิด ที่เหลือเป็นแค่เรื่องเล่าของพยานในเหตุการณ์ที่พยายามใส่อารมณ์แอ็กติ้งให้ดูน่ากลัว แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกจ้างมาเล่าเรื่องปลอม โดยที่สารคดีพยายามทำแนว Coming of age ของวัยรุ่นผสมลงไป แต่เรื่องที่ออกมาก็ธรรมดามากจนไม่รู้สึกว่าคุ้มค่าแก่การรับชมเลยครับ
Overall
3/10User Review
( votes)Pros
- ความพยายามทำให้เรื่องเนื้อหา Coming of age
Cons
- ไม่มีฟุจเทจตาพายุ
- ฉากพายุน้อยๆ มาก
- พยานพยายามแอ็กติ้งมากจนดูปลอม
- ไม่มีพากย์ไทย
ADBRO
The Twister: Caught in the Storm หนังสารคดีความยาวชั่วโมงครึ่ง สำรวจชีวิตของผู้ประสบภัยในเหตุพายุทอนาโดระดับ EF-5 ทำลายเมืองจอปลินอย่างรุนแรง
รีวิว The Twister: Caught in the Storm
สารคดีที่เล่าเรื่องจากฟุตเทจของหลายคนที่ผ่านเหตุพายุทอร์นาโดระดับใหญ่ EF-5 ความเร็วลมถึง 200 ไมล์ต่อชั่วโมง ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2011 ที่เมืองจอปลิน รัฐมิสซูรี่ สหรัฐอเมริกา เรื่องราวนี้มีความน่าสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะการโฆษณาว่ามีฟุตเทจจากใจกลางพายุ ซึ่งผู้ชมที่เคยดูภาพยนตร์ทวิสเตอร์คงจำได้ว่านั่นเป็นตอนจบของภาคแรกที่ตัวละครได้เข้าไปอยู่ในตาพายุ และทุกอย่างดูน่าทึ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง สารคดีเรื่องนี้พยายามอ้างอิงถึงหนังทวิสเตอร์โดยตรงตั้งแต่ชื่อเรื่อง รวมถึงนำเสนอกลุ่มนักล่าพายุที่ออกมาเล่าเหตุการณ์ โดยบอกว่าพวกเขาชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้มากและเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้พวกเขาไปเผชิญกับพายุลูกนี้
แต่ทว่า เนื้อหาในสารคดีนี้แทบทั้งหมดเป็นเพียงการเล่าเรื่องที่ดำเนินไปอย่างเรื่อยเฉื่อยตลอดทั้งเรื่อง กว่าจะถึงช่วงที่พายุพัดถล่มก็ต้องใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง และเมื่อถึงฉากพายุที่รอคอย กลับมีหลักฐานฟุตเทจประกอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งภาพจากผู้เป็นพยานก็ถ่ายจากมือถือที่บางครั้งผู้ถ่ายเผลอเอานิ้วบังกล้องไว้ ส่วนฟุตเทจอื่นๆ ก็เป็นเพียงภาพจากกล้องวงจรปิดสั้นๆ ที่นำมาแทรกเท่านั้น ซึ่งผู้ชมสามารถหาดูได้ทั่วไปหรือค้นหาในยูทูปได้มากกว่า ที่น่าผิดหวังคือไม่มีฉากที่ถ่ายจากตาพายุจริง มีเพียงคลิปบันทึกเสียงของพยานที่หลบอยู่ในห้องเก็บไอศกรีม ซึ่งเป็นเพียงคำพูดสั้นๆ ประกอบการแสดงท่าทางหวาดกลัวที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้ดูเหมือนการแสดงมากกว่าเหตุการณ์จริง แม้จะเชื่อได้ว่าผู้เล่าเป็นผู้ประสบเหตุการณ์จริง แต่หลายสิ่งที่เล่าออกมากลับไม่สมจริง และบางส่วนยังดูเหมือนได้รับอิทธิพลจากฉากในภาพยนตร์มากเกินไป
สารคดีพยายามนำเสนอในแนว “การเติบโตสู่วัยผู้ใหญ่” ของวัยรุ่น โดยให้ตัวละครในเรื่องเป็นช่วงวัยรุ่นเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่จบการศึกษาในวันเกิดเหตุพอดีแล้วต้องเผชิญกับพายุทอร์นาโดที่พัดถล่ม หรือเด็กที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักพยากรณ์อากาศ แต่เรื่องราวที่นำเสนอกลับเรียบง่ายและไม่มีพลัง ไม่สามารถสร้างความประทับใจให้ผู้ชมได้ แม้ว่าผู้สร้างจะพยายามสร้างจุดสนใจด้วยเรื่องของผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายที่ติดเชื้อราจากพายุจนเนื้อถูกกัดกร่อนเกือบเสียชีวิต แต่รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่สารคดีกลับเล่าเรื่องนี้แบบผ่านๆ สั้นๆ ไม่ได้พัฒนาให้เป็นจุดสุดยอดของเรื่อง นอกจากทำให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกที่น่าสนใจเท่านั้น จนทำให้สารคดีนี้ดูเหมือนถูกสร้างขึ้นอย่างลวกๆ เพื่อเกาะกระแสภาพยนตร์ ซึ่งที่จริงแล้วภาพยนตร์ดังกล่าวก็ฉายไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว และยังไม่ทันเวลาที่หนังจะเข้าฉายด้วยซ้ำ
สรุป สารคดีที่พยายามโฆษณาหลอกผู้ชมให้เชื่อว่ามีฟุตเทจคนติดในตาพายุทอนาโดระดับ EF-5 แบบเดียวกับหนังทวิสเตอร์ภาคแรก แต่กลับไม่มีฟุตเทจนั้นจริง ทั้งเรื่องมีคลิปพายุจริงนิดเดียวจากกล้องวงจรปิด ที่เหลือเป็นแค่เรื่องเล่าของพยานในเหตุการณ์ที่พยายามใส่อารมณ์แอ็กติ้งให้ดูน่ากลัว แต่กลับรู้สึกเหมือนถูกจ้างมาเล่าเรื่องปลอม โดยที่สารคดีพยายามทำแนว Coming of age ของวัยรุ่นผสมลงไป แต่เรื่องที่ออกมาก็ธรรมดามากจนไม่รู้สึกว่าคุ้มค่าแก่การรับชมเลยครับ