playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Ride or Die (Netflix) หนังเลสเบี้ยนญี่ปุ่นที่ติดเรตสุดๆ แต่ก็สวยงามในแนวโรดทริป

Ride or Die

สรุป

นี่เป็นหนังเพศทางเลือกที่สวยงาม ไม่ว่าเพศไหนก็ดูเรื่องนี้ได้ อาจจะไม่เมคเซนส์ในความเป็นจริงอยู่บ้าง (เพราะทำจากมังงะด้วย) แต่เรื่องก็ดำเนินไปแบบมีเนื้อหาโฟกัสไปที่มิตรภาพของผู้หญิงสองคนได้อย่างน่าสนใจ และก็ทำฉากทั้งฆาตกรรมกับ SEX ออกมาติดเรตสุดๆ ทั้งคู่ โดยไม่เลอะเทอะมีเหตุผลลงตัวกับเรื่องราว และก็จบลงตัวดีในแบบที่ควรจะเป็น

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
4.67 (3 votes)

Pros

  • นักแสดงเหมาะเจาะเข้าถึงบทบาทมาก โดยเฉพาะนางเอกเลสเบี้ยน
  • ตัวเรื่องดูกุ๊กกิ๊กน่ารักไม่ใช่แนวเครียดอะไรมาก
  • ฉากฆาตกรรมกับฉาก SEX ติดเรตสุดขีดทั้งคู่
  • ฉากมุมสูงของญี่ปุ่นสวยๆ มีตลอดเรื่อง (เป็นแนวโรดทริปเดินทาง)
  • เพลงประกอบไพเราะเข้ากับอารมณ์ในเรื่องทุกเพลง

Cons

  • บางจุดดูไม่เมคเซนส์ขัดความรู้สึกอยู่บ้าง
  • หนังยาวสองชั่วโมงมีฉากซีนแช่อารมณ์นิ่งๆ อยู่เป็นระยะตามสไตล์แนวนี้กับหนังญี่ปุ่นที่คนอาจจะไม่ชอบ

 

ADBRO

Ride or Die อยู่เป็น ยอมตาย เพื่อเธอ ภาพยนตร์ญี่ปุ่น Original Netflix เรื่องราวของสองสาว ที่ออกเดินทางไปด้วยกันเพื่อหลบหนีจากคดีฆาตกรรมที่เธอก่อขึ้นเพราะความรักที่มีให้กัน

 Ride or Die (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Ride or Die อยู่เป็น ยอมตาย เพื่อเธอ

ภาพยนตร์โรดทริปเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อ Gunjo  3 เล่มจบของ ชิง นากามูระ บอกเล่าเรื่องราวของ เรอิ (นำแสดงโดย คิโกะ มิซุฮาระ) สาวเลสเบี้ยนที่แอบหลงรัก สึจิมูระ (นำแสดงโดย โฮนามิ ซาโตะ) เพื่อนสมัยเรียนมัธยม แต่ความรักของเธอไม่สมหวัง แม้จะพยายามช่วยเหลือด้านการเงินให้เพื่อนที่ยากจนได้เรียนต่อจนจบ แต่เธอกลับเลือกแต่งงานกับนักธุรกิจร่ำรวยแทน จนกระทั่งวันเวลาผ่านไป เรอิได้รับโทรศัพท์จากสึจิมูระเพื่อขอนัดพบกันอีกครั้ง การนัดพบครั้งนี้เธอได้รับรู้ว่าสึจิมูระถูกสามีทำร้ายร่างกายอย่างหนักจนเธอทนไม่ไหวเหมือนตายทั้งเป็น และเปรยกับเรอิว่า “เธอฆ่าเขาฉันให้ได้ไหม” จากประโยคนี้ประโยคเดียวนี่แหละเรอิจึงตัดสินใจฆ่าสามีของเธอและหนีไปด้วยกัน จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการเดินทางสานต่อความรักที่ผิดหวังในอดีตอีกครั้ง

ฉากเรื่องนี้ติดเรตรุนแรงสูงมากทั้งฆาตกรรมและ SEX

สำหรับคนที่อาจจะกระอักกระอ่วนใจก่อนดูเพราะคิดว่าเป็นแนวเลสเบี้ยนหนักไปทางเรื่อง SEX ต้องบอกว่าตัวเรื่องไม่ได้เป็นไปแบบนั้นเลยครับ แม้หัวใจสำคัญของเรื่องจะเป็นเรื่องความคาดหวังเรื่อง SEX ของเรอิที่หลงรักเพื่อนสาวมาตลอด แบบเปิดเผยด้วย ซึ่งถือว่าเรื่องทำออกมาซื่อตรงกับความเป็นจริงมากในมุมของสาวเลสเบี้ยนคนหนึ่งที่คาดหวังเรื่อง SEX กับผู้หญิงที่หลงรัก และเรื่องยังให้เรอิเป็นลูกคุณหนูมีฐานะร่ำรวย ถึงขนาดยอมจ่ายค่าเทอมให้เพื่อนที่ไม่มีเงินเรียนจนถึงขั้นคิดไปขายตัว ซึ่งอีกนัยก็คือการซื้อตัวเพื่อนไว้เพื่อแลกกับ SEX ในอนาคตที่เธอหวังลึกๆ เช่นกัน แม้โตขึ้นมาเรื่องยังวนเวียนอยู่กับความลุ่มหลงในตัวเพื่อนสาวแบบหัวปักหัวปำ จนถึงขนาดฆ่าคนเพื่อช่วยเธอออกมา

แม้เรื่องจะชัดเจนในความต้องการทางเพศของตัวเรอิ แต่หนังนำเสนอเรื่องราวการเดินทางแบบไร้จุดหมายของทั้งคู่มากกว่า ซึ่งหลังเรอิฆ่าคนไปเธอก็เคว้งทันที และไม่คิดว่าสึจิมูระจะมาช่วยเหลืออะไรตน แต่กลายเป็นว่าสึจิมูระกลับมาพาเธอหนีไป และก็เหมือนต้องการหนีไปเรื่อยๆ เพื่ออยู่กับเรอิมากกว่า ซึ่งตัวเรื่องนำเสนอช่วงเวลาการเดินทางของทั้งคู่ออกมาแบบบน่ารัก มีโมเมนต์กุ๊กกิ๊กกันตลอดทาง พร้อมทั้งงานภาพมุมสูงที่สวยงามของญี่ปุ่นในหลายฉาก กับเพลงประกอบที่เพราะทุกเพลง เป็นเหมือนหนังโรดทริปจริงๆ แบบที่ลืมไปเลยว่าเปิดเรื่องมาก็มีฉากฆาตกรรมโหดขนาดไหน และเรื่องก็ไม่ได้เน้นไปที่ความกดดันจากคดีฆาตกรรมแต่อย่างใด กลายเป็นว่าหลังจากฉากฆ่าโหดในตอนแรก เรื่องอาจจะมีดราม่าเศร้าเครียดบ้างก็สั้นๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินทางแบบสดใสเหมือนเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ โยนอดีตทิ้งไปเลยมากกว่า ซึ่งแรกๆ อาจจะขัดความรู้สึกอยู่บ้าง แต่พอเดินเรื่องไปเรื่อยๆ เราจะค่อยๆ เข้าใจความรู้สึกของทั้งคู่ว่าจริงๆ แล้วนี่เป็นการแสวงหาความสุขในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมากกว่า ซึ่งทั้งคู่รู้ดีว่าจุดจบของเรื่องราวนี้คงไม่สวยงามอย่างที่พยายามกลบเกลื่อนไว้ตลอดทาง

แล้วหนังเรื่องนี้มีฉาก SEX ของทั้งคู่ไหม? ก็ต้องบอกว่ามี และก็ชัดเจนในแบบเลสเบี้ยนผลัดกันทำให้มีความสุขทั้งสองคน โป๊เปลือยแบบหมดตัวทั้งคู่ ถึงขนาดฉากออรัลเซ็กส์ก็ยังสมจริงจนถึงขั้นเห็นขนกันเลย แต่หนังก็เลือกวางส่วนนี้ไว้ท้ายสุดของเรื่องราว ให้เป็นไคลแม็กซ์ที่สวยงามมีเหตุผลส่งไปถึงทางออกในตอนจบ แม้ระหว่างทางมีหลายฉากที่พาบิ้วอารมณ์ให้ไปทางนั้นได้ แต่เรื่องก็ไม่ยอมเข้าไปถึงจุดนั้นเลย แม้แต่จูบนัวเนียกันก็ไม่มี (ยกเว้นตอนเริ่มต้นนิดหนึ่งที่สึจิมูระนัดพบเรอิครั้งแรกเหมือนกึ่งระบายกึ่งหลอกใช้นิดๆ) และยังนำเสนอความขัดแย้งของทั้งคู่ในเรื่องนี้ออกมาตลอด เพราะสึจิมูระไม่ใช่เลสเบี้ยน แม้ไม่ได้รังเกียจเรอิก็ตาม แต่ก็เป็นคนที่ทำให้เรอิอกหักตั้งแต่สมัยเรียน ด้วยการเลือกไปแต่งงานกับผู้ชาย ในขณะที่เรอิเองก็มีแฟนสาวเลสเบี้ยนที่ตัวเธอทิ้งหนีมาก่อน แต่ก็รู้สึกผิดอยู่เสมอเพราะอีกฝ่ายจริงจังกับเธอมาก ซึ่งในระหว่างเดินทางนี้เอง ความรู้สึกกดดันน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อความรักในตอนนี้ที่หนีมาด้วยกันก็ยังดูไม่สมหวัง ทำให้ทั้งคู่มีช่วงระเบิดอารมณ์ทะเลาะกัน ก่อนจะปรับความเข้าใจกันได้เป็นพักๆ แต่สถานะของเรอิกับสึจิมูระก็ไม่ใช่คู่รักหรือแฟนกันแต่อย่างใด เหมือนเพื่อนในอดีตได้หวนกลับหากันอีกครั้งมากกว่า

นอกจากฉาก SEX ในตอนไคลแม็กซ์แล้ว ตัวเรื่องยังมีฉาก SEX ของเรอิกับสามีของสึจิมูระและชายแปลกหน้าระหว่างทางเพิ่มมาด้วย ซึ่ง คิโกะ มิซุฮาระ นักแสดงในบทนี้เปลืองตัวมากๆ แต่ก็เป็นบทที่มีเหตุผลเข้าใจได้ว่าทำไมเลสเบี้ยนอย่างเธอถึงยอมมีสัมพันธ์กับผู้ชายแบบนั้น

ด้วยความที่ตัวเรื่องเป็นหนังเพศทางเลือก ก็เลยมีบทปมปัญหากับทางบ้านใส่มาด้วย แต่ก็ไม่ได้เน้นมาก และก็ไม่ได้ออกแนวครอบครัวต่อต้าน ในเรื่องนี้ครอบครัวแทบจะยอมรับไปแล้ว คงเพราะหนังทำออกมาในยุคสมัยนี้ที่เรื่องเพศทางเลือกเปิดกว้างกันแล้วก็เลยไม่ต้องมาเน้นประเด็นความขัดแย้งอะไรตรงนี้มาก (แบบซ้ำๆ กับหนังแนวนี้ด้วย)

ตัวหนังยาว 2 ชั่วโมงกว่า ถือว่ายาวมากอยู่เหมือนกัน แต่ความยาวของเรื่องนั้นส่วนใหญ่มาจากการถ่ายทอดฉากสวยๆ แนวโรดทริป ที่สวยตั้งแต่ในกรุงโตเกียวจนถึงต่างจังหวัดบ้านเกิดของสึจิมูระกับเรอิที่ทั้งคู่เดินทางกลับไป ซึ่งถ้าใครชอบฉากพวกนี้ก็ดูได้เพลินๆ ส่วนแนวดราม่าของเรื่องไม่ได้ยืดอะไรมาก มีฉากทิ้งอารมณ์นิ่งๆ ตามปกติของหนังแนวนี้กับความเป็นหนังญี่ปุ่นที่เน้นโคลสอัพอารมณ์บนใบหน้าตามปกติ หนังมีเหตุการณ์ตัดสลับอดีตกับปัจจุบันไปเรื่อยๆ ดูแล้วเดาเรื่องได้ยากกว่าจะไปต่อยังไงตลอดเวลา เพราะจุดหมายของทั้งคู่ไม่มี เป็นการเดินทางไปเรื่อยๆ แบบไปตายเอาดาบหน้ามากกว่ามีแผนการหนี ซึ่งก็เป็นข้อดีที่ทำให้คนดูพยายามคิดตลอดเวลาว่าเรื่องนี้จะจบลงยังไง โศกนาฎกรรมหรือแฮปปี้เอนดิ้งกันแน่

Ride or Die
Ride or Die

ตัวละครในเรื่องนี้หลักๆ มีแค่ 4 คน เป็นตัวละครเรอิกับสึจิมูระในวัยเด็กกับผู้ใหญ่ ซึ่งการแสดงในวัยเด็กของทั้งคู่นั้นก็ดีงาม ดูน่ารักบริสุทธิ์แบบรักวัยรุ่น แต่อาจจะแปลกสักหน่อยตรงที่เป็นเลสเบี้ยนเด็กญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยเห็นทำออกมาจริงจังแบบนี้ และเรอิในวัยเด็กนี่ก็คบกับแฟนสาวผู้ใหญ่มาตั้งแต่ตอนเรียนไฮสคูลแล้ว ส่วนในวัยผู้ใหญ่น้ำหนักบทเทไปที่เรอิมากกว่า เพราะเธอคือคนที่ลงมือฆ่าคน และก็มีปมหลงรักเพื่อนมาตลอด ซึ่ง คิโกะ มิซุฮาระ เล่นได้อย่างไร้ที่ติจริงๆ และด้วยโครงหน้าเธอที่ดูไม่เหมือนญี่ปุ่นสักเท่าไหร่ มองเผินๆ แอบคล้ายดาราไทยอีกต่างหาก เธอเป็นสาวเลสเบี้ยนที่ดูสวย เท่ แกร่ง ดูปกป้องคนรักได้จริงๆ เธอเคยเล่นบท มิคาสะ ใน Attack on Titan มาก่อนด้วย เรียกว่าลุคให้มากจริงๆ แต่ในอีกมุมหนึ่งเธอกลับอ่อนไหวในเรื่องความรัก แบบแพ้ทางสึจิมูระหมดตัวหมดใจ ไม่ว่าจะทำอะไรเธอก็ไม่โกรธ ยอมให้หมด แต่ก็มีฉากที่เธอระเบิดอารมณ์แนวเลสเบี้ยนรักมากก็แค้นมากแบบรุนแรงออกมาด้วยเช่นกัน

สึจิมูระ ที่แสดงโดย โฮนามิ ซาโตะ บทนี้ไม่ใช่เลสเบี้ยน แต่ค่อยๆ เปิดใจในเรื่องนี้ภายหลัง เป็นสาวแว่นที่อาจจะดูไม่สวยมาก ถอดแว่นก็ดูดีขึ้น แต่มีเสน่ห์ตรงรอยยิ้มแบบที่เรอิบอกว่าหลงรักตรงนี้ ตัวละครนี้คือสาวขี้แพ้ตั้งแต่เด็ก แม้เธอจะเคยเป็นนักกีฬาของโรงเรียน แต่กลับเลือกเดินทางที่ผิดตลอดจนชีวิตตกต่ำ แล้วก็หันไปคว้าเพื่อนกลับมาอีกครั้ง ตัวหนังนำเสนอเธอในแบบที่ดูคลุมเครือ ในตอนแรกก็ดูเหมือนเธอหลอกใช้เรอิ และต่อมาก็เหมือนพยายามทรยศหักหลังเรอิในบางครั้ง ดูไม่แน่ชัดว่าเธอคิดยังไงกับเรอิกันแน่ จนเมื่อถึงจุดหนึ่ง เรื่องใช้เหตุการณ์ในอดีตที่ซ่อนไว้จนถึงปัจจุบันมาเคลียร์ปมตรงนี้ได้อย่างสวยงาม

นี่เป็นหนังเพศทางเลือกที่สวยงาม ไม่ว่าเพศไหนก็ดูเรื่องนี้ได้ อาจจะไม่เมคเซนส์ในความเป็นจริงอยู่บ้าง (เพราะทำจากมังงะด้วย) แต่เรื่องก็ดำเนินไปแบบมีเนื้อหาโฟกัสไปที่มิตรภาพของผู้หญิงสองคนได้อย่างน่าสนใจ และก็ทำฉากทั้งฆาตกรรมกับ SEX ออกมาติดเรตสุดๆ ทั้งคู่ โดยไม่เลอะเทอะมีเหตุผลลงตัวกับเรื่องราว และก็จบลงตัวดีในแบบที่ควรจะเป็น เรียกว่าเป็นหนัง Original Netflix ที่ดีเรื่องหนึ่งเลย แล้วก็หาได้ยากจากความที่เป็นคอนเทนต์หนังญี่ปุ่นใน Netflix ที่นานๆ มาทีด้วย ถ้าเปิดใจเรื่องเพศทางเลือกได้ก็ควรค่าแก่ทดลองดูครับ

อ่านรีวิวหนังซีรีส์ญี่ปุ่น Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!