รีวิว ‘Sacred Games’ เกมล่า ศาสนาคลั่ง ล้างมุมไบ (ซีรีส์อินเดียยอดนิยมอันดับ 1 Netflix)
Sacred Games
สรุป
นี่เป็นซีรีส์สืบสวนชวนระทึกที่รสชาติอาจจะแปลกแตกต่างจากของฝรั่งทำสักหน่อย แต่ก็มีความเป็นสากล+อินเดีย ให้คนชาติไหนดูก็ได้ แต่อาจจะต้องทำความเข้าใจปมปัญหาศาสนาในเรื่องนิดนึงเท่านั้น (แต่ในเรื่องก็มีอธิบายไปพร้อมกัน) ในซีซั่นแรกจะเต็มไปด้วยปริศนาเยอะมาก แต่หนังก็ไล่เคลียร์ปมทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ 100% ไม่มีตกหล่นหรือพล็อตโฮลเลยแม้แต่น้อยเมื่อดูจบทั้งสองซีซั่น เพียงแต่ซีซั่น 2 อาจจะเป็นแนวดราม่าจิตวิทยามากกว่าซีซั่นแรกสักหน่อย แต่ก็ทดแทนด้วยฉากจบสุดลุ้นระทึก ที่เรื่องราวใหญ่โตกว่าที่คิดมาก และก็เป็นฉากจบที่เหนือคาดคิดแบบติดอยู่ในหัว ไม่แพ้หนังดัง Inception เลยทีเดียว
Overall
8.5/10User Review
( vote)Pros
- ปริศนาเปิดเรื่องพร้อมนับถอยหลังชวนลุ้นระทึก
- ฉากแอ็กชั่นยิงกันทั้งเรื่อง
- ความดิบโหดของเรื่องราวมีความรุนแรงสูงมาก
- ดราม่าปมปัญหาศาสนาที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อน
- เต็มไปด้วยตัวละครที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว
- เรื่องราวทุจริตในวงการตำรวจอินเดีย
- ฉากหักมุมชวนช็อคในซีซั่นแรก
- ฉากจบเหนือคาดในซีซั่นสอง
- เทคนิคการเล่าเรื่องตัดสลับสองตัวหลักให้มาบรรจบต่อกันอย่างสวยงาม
Cons
- ถ้าคนดูไม่ชินกับสภาพแวดล้อมหนังอินเดีย หลายฉากอาจจะดูบ้านๆ จนดูเหมือนหนังทุนต่ำ (แต่จริงๆ ทุนสูง)
- ตัดฉากปมขัดแย้งศาสนาจากเหตุการณ์จริงมาประกอบ แต่ไม่ได้ส่งผลมาในเรื่องให้เห็นชัดมากนัก
Sacred Games ซีรีส์ Original Netflix ที่ถูกยกให้เป็นอันดับ 1 ของอินเดียในตอนนี้ เรื่องราวนับถอยหลัง 25 วันก่อนมุมไบจะกลายเป็นนรก จากฝีมือของกลุ่มก่อการร้ายปริศนา ที่ “ซาร์เทจ” ตำรวจหนุ่มซิกข์โลวโปรไฟล์ ต้องตามล่าหยุดมันให้ได้ ผ่านความช่วยเหลือเบาะแสจาก “คเนศ ไกทอนเด” อาชญากรตัวร้ายที่ตั้งใจเลือกเขาให้มารับหน้าที่ปกป้องมุมไบจากอันตรายครั้งใหญ่นี้
ตัวอย่าง Sacred Games season 1
*รีวิวไม่มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น
นี่เป็นซีรีส์ Original Netflix อินเดียที่เริ่มฉายปี 2018 ก่อนจะต่อซีซั่น 2 ในปี 2019 และก็ได้รับการโหวตและแนะนำสูงสุดทั้งจากคนดูกับสื่อต่างประเทศ แต่ในไทยกลับเงียบๆ ไม่ค่อยมีคนรู้จักนัก ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเป็นปกติของหนังอินเดียที่มีกลุ่มคนดูเฉพาะทางเท่านั้น แถมเรื่องนี้เป็นซีรีส์ขนาดยาวด้วยยิ่งหาคนดูยากเข้าไปอีก ตัวเอกก็ยังดูไม่ชวนมองเพราะเป็นแขกโพกหัวที่ไม่คุ้นตากับบทพระเอก (ศาสนามีส่วนสำคัญกับเรื่องมาก) แต่รับรองได้เลยว่าเรื่องนี้มีของดีจริงครับ
ซีรีส์เรื่องนี้ทำมาจากนิยายดังเมื่อปี 2006 ในชื่อเดียวกัน และนำมาปรับปรุงบทให้ทันสมัยขึ้น โดยเรื่องราวเริ่มจาก ‘ซาร์เทจ’ ตำรวจหนุ่มที่ไม่ค่อยมีผลงานเป็นเรื่องเป็นราว จับได้แต่โจรกระจอกทั่วไป แถมยังเป็นแกะขาวในหมู่แกะดำของสถานีตำรวจมุมไบที่เต็มไปด้วยเรื่องสีเทาๆ เต็มไปหมด โดยมีหัวหน้าตำรวจใหญ่คับฟ้า ‘ปารุลการ์’ คอยชักใยหากินอยู่เบื้องหลัง ที่เขาก็จ้องหาทางเอาซาร์เทจออกไปให้พ้นทางตลอดเวลา
วันหนึ่งซาร์เทจได้รับโทรศัพท์ลึกลับจาก “คเนศ ไกทอนเด” ชายปริศนาที่พยายามเล่าเรื่องอดีตของเขาให้ฟัง พร้อมทั้งขอให้ซาร์เทจช่วยมุมไบจากการก่อการร้ายปริศนาที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีก 25 วันหลังจากนี้ ทำให้ซาร์เทจต้องเข้าไปพัวพันกับอันตรายครั้งใหญ่ด้วยตัวเอง และยังต้องพบว่าเขากับไกทอนเดมีอดีตลึกลับที่เกี่ยวพันถึงกัน โดยที่เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน
จุดเด่นของเรื่องนี้คือ การไขปริศนาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมุมไบในเวลาที่บีบเข้ามาเรื่อยๆ จากคำบอกใบ้ของไกทอนเดที่บอกกับซาร์เทจว่าจะไม่มีใครเหลือรอดชีวิตนอกจาก “ไตรเวท” ที่เป็น 1 ในตัวละครปริศนาให้พระเอกต้องตามหาให้เจอ โดยมีตัวเลขวันที่นับถอยหลังกดดันให้เรื่องราวตื่นเต้นตลอดเวลา ผ่านเบาะแสการก่อการร้ายที่ชวนให้สงสัยว่าอะไรที่ทำให้มุมไบพินาศได้ขนาดนั้น แถมพระเอกในเรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นตำรวจเก่งเทพอะไร อีกทั้งยังมีปัญหาส่วนตัวรุมเร้าหลายเรื่อง แม้แต่การที่เขาเป็นเป็นนับถือซิกข์คนเดียวในที่ทำงาน ก็ทำให้มีปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีก (แต่เจ้าตัวไม่เชื่อในพระเจ้าแค่นับถือไปตามหน้าที่ปกติ) หนังจึงไม่ได้ออกแนวพระเอกเก่งมาแต่เกิดแบบเรื่องอื่นๆ แล้วก็มีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่กลับได้รับฝากหน้าที่สำคัญช่วยปกป้องมุมไบจากอาชญากรลึกลับไกทอนเดที่หายตัวไปนับสิบปี และเจาะจงให้เขาทำคดีนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นทำให้เรื่องดูน่าพิศวงและเต็มไปด้วยปริศนาว่าพระเอกมีดีอะไรถึงเป็นตำรวจคนเดียวในมุมไบที่ไขปริศนานี้ได้
จากจุดเริ่มต้นที่ว่านี่จึงเป็นซีรีส์ที่เริ่มต้นเต็มไปด้วยปริศนากองโตเอามากๆ แต่หนังไม่ได้เดินเรื่องด้วยซาร์เทจเพียงคนเดียว ยังมีเรื่องราวของไกทอนเดที่เป็นตัวเอกร่วมในเรื่อง และแบ่งความสำคัญให้เท่าๆ กัน เดินเรื่องคู่กัน โดยไกทอนเดจะเป็นการเล่าย้อนอดีตให้เห็นจุดกำเนิดของอาชญากรตัวท็อปของมุมไบ ออกแนวหนังมาเฟียเต็มรูปแบบมีเสน่ห์เฉพาะตัวทั้งจากนักแสดง (รับบทโดย Nawazuddin Siddiqui) และเรื่องราวที่เหมือนชะตาชีวิตกำหนดให้เขาเลวแต่ไม่ไร้หัวใจ ซึ่งเขาผ่านเรื่องเลวร้ายโชกโชนมาตั้งแต่สมัยซาร์เทจยังเป็นเด็กๆ (มีบางฉากของไกทอนเดจะเห็นซาร์เทจตอนเด็ก) ไล่เรียงเรื่องราวผ่านยุคสมัยต่างๆ ของอินเดียประกอบฉากด้วยเหตุการณ์ประวัติศาสตร์จริง ที่มีเรื่องการเมือง ศาสนา ชนชั้นวรรณะ เข้ามาเกี่ยวข้อง ก่อนจะมาบรรจบรวมกันตอนในตอนเปิดเรื่อง ที่เริ่มมาก็เป็นปริศนาชวนให้ติดตามแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับไกทอนเดในปัจจุบัน รวมถึงเหล่าลูกน้องคนสนิทของไกทอนเดแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวน่าติดตามไม่แพ้กันเลยทีเดียว
เรื่องราวไม่ได้มีแค่ตัวเอกสองคนหลัก ยังมีเจ้าหน้าที่สาว ‘อัญชลี’ ที่สังกัดหน่วยสืบราชการลับของต่างประเทศของอินเดีย ‘รอว์’ RAW (Research and Analysis Wing) ที่มีอำนาจหน้าที่พิเศษขึ้นตรงกับรัฐบาล และมีเครื่องมือไฮเทคคอยช่วยเหลือสนับสนุน แต่ตัวอัญชลีเองไม่ใช่เจ้าหน้าที่ภาคสนามโดยตรง เป็นสายวิเคราะห์เจาะหาร่องรอยจากหลักฐาน ทำให้เธอเป็นตัวละครหน้าใหม่ในเกมสืบสวนภาคสนามที่ดูอันตรายเกินตัวเอามากๆ จนทำให้เธอต้องร่วมมือกับซาร์เทจในบางครั้ง และอีกด้านหนึ่งเธอก็เป็นคู่แข่งในทางการสืบสวนกับเขาด้วยเช่นกัน
หนังวางตัวร้ายไว้ไม่ใช่แค่กลุ่มก่อการร้ายปริศนาเท่านั้น แต่มีตัวร้ายแฝงอยู่หลายที่หลายกลุ่มมาก ในทุกช่วงที่พระเอกทำงานสืบสวนก็ต้องเจอกับการขัดขวางจาก ‘ปารุลการ์’ หัวหน้าของเขาเอง ที่ปกติก็เลวสุดขั้วอยู่แล้ว ยังพยายามเหมือนไม่ให้เขาสืบคดีนี้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายมุมไบ แม้แต่เพื่อนร่วมงานของซาร์เทจก็มองว่าเขาเป็นศัตรู ไม่ให้ความร่วมมือไม่พอ บางครั้งยังแทบจะปล่อยเกาะให้ซาร์เทจไปตายคนเดียวด้วยซ้ำ เรื่องราวของซาร์เทจจึงแทบจะเป็นการสืบคดีแบบโดดเดี่ยวและเต็มไปด้วยศัตรูรอบด้าน ซึ่งเขาก็ต้องงัดฝีมือที่ซ่อนอยู่ออกมาเล่นกันดิบๆ ตามช่องทางที่พอรอดไปได้เรื่อยๆ จนถึงกับต้องแหกกฏบ้าง ยอมทำเรื่องขัดมโนธรรมบ้าง ซึ่งมีผลรบกวนจิตใจเขาอย่างหนัก จากที่เขาจะตั้งใจเป็นตำรวจในฝันที่ขาวสะอาดตามรอยพ่อที่เสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเด็ก
ในซีซั่น 1 เรื่องราวจะเดินไปในแบบทิศทางที่เต็มไปด้วยปริศนามากๆ จนบางครั้งรู้สึกงงเลยว่าเรื่องราวจริงๆ ผูกกันไว้กี่ชั้นกันแน่ แต่ซีรีส์ก็เล่าเรื่องตัดสลับสองฝั่งพระเอกกับไกทอนเดให้มาเชื่อมกันเป็นระยะๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยอดีตของไกทอนเดจะส่งผลถึงปัจจุบันในทุกจุดที่พระเอกกำลังก้าวเดินไปเจอปริศนาใหม่ๆ ในซีซั่นแรกนี้มีฉากแอ็กชั่นที่เยอะกว่าซีซั่น 2 มาก ด้วยความที่ว่าพระเอกต้องไปเจอกับการปะทะของกลุ่มต่างๆ ที่มาเกี่ยวพันกับกลุ่มก่อการร้ายลึกลับอีกที และก็มีฉากชวนช็อคก่อนปิดท้ายซีซั่น ที่ทำเอาอึ้งไปเหมือนกัน รวมถึงความดิบโหดรุนแรงของซีซั่น 1 ก็มีสูงกว่าซีซั่น 2 มาก
ตัวอย่าง Sacred Games season 2
ในซีซั่น 2 เรื่องราวต่อกันจากตอนจบทันที เพราะซีรีส์ถูกวางไว้แล้วว่ามีต่อชัดเจนตั้งแต่แรก แล้วก็เป็นบทสรุปจบเรื่องราวเลยไม่ได้มีต่อซีซั่น 3 แต่เรื่องราวอาจจะไม่หวือหวาเท่ากับซีซั่น 1 โดยเน้นหนักไปที่เรื่องความเชื่อศาสนาหลายช่วงมากกว่าเดิม ที่มีส่วนสำคัญเกี่ยวพันกับธีมของเรื่องโดยตรง ทั้งไกทอนเดและซาร์เทจจะได้พบตัวร้ายของเรื่องที่แท้จริง ที่ปมของเรื่องราวเกิดจากดราม่าจิตวิทยาด้วยกลวิธีลวงอย่างแนบเนียน จนเป็นความเชื่อศรัทธาในศาสนาอันแรงกล้าเทียบเคียงพระเจ้ายุคใหม่ จนหลายๆ คนที่ดูอาจจะไม่ชอบซีซั่น 2 เพราะเต็มไปด้วยดราม่าจิตวิทยา ปรัชญากับศาสนา แต่ส่วนตัวผมกลับชอบซีซั่น 2 มากกว่า แม้ว่าฉากแอ็กชั่นของทางซาร์เทจจะลดน้อยหายไปมาก จากการบาดเจ็บที่ต่อเนื่องจากซีซั่นแรก ทำให้หนังหันมาเดินเรื่องราวเชิงสืบสวนพัวพันแฝงตัวเข้ากลุ่มศาสนาตัวร้ายเป็นหลัก แถมมีฉากในจินตนาการลึกล้ำเพิ่มเข้ามาอีก รวมไปถึงจุดสำคัญของเรื่องนี้ตั้งแต่แรกว่า อะไรกันแน่ที่กลุ่มก่อการร้ายนำมาใช้ทำลายเมือง ซึ่งจริงๆ ก็พอเดาได้ไม่ยาก แต่ Sacred Games ทำรายละเอียดออกมาได้อย่างน่าติดตาม ไม่ใช่ง่ายๆ เลยที่จะมีหนังอาชญากรรมที่เจาะลึกจำลองหตุการณ์ร้ายระดับใหญ่โตขนาดนี้โดยอิงกับความจริงที่เป็นไปได้มากกว่าจะโม้เอาง่ายๆ ซึ่งฉากสุดท้ายของเรื่องนี้ก็ชวนให้ลุ้นกันสุดๆ แบบที่เดาไม่ได้เลยว่าจะจบเรื่องที่ขยายไปใหญ่โตขนาดนี้ได้ยังไง (ระดับเกินมุมไบเข้าไปอีก) แต่สุดท้ายก็จบได้แบบเหนือกว่าที่คิด และยังเข้ากับแก่นธีมของเรื่องที่เกี่ยวพันกับจิตใจและความเชื่อศาสนาด้วย แม้ว่าจะต้องตีความกันอีกนิดถึงเก็ทก็ตาม
นี่เป็นซีรีส์สืบสวนชวนระทึกที่รสชาติอาจจะแปลกแตกต่างจากของฝรั่งทำสักหน่อย แต่ก็มีความเป็นสากล+อินเดีย ให้คนชาติไหนก็ดูได้ แต่อาจจะต้องทำความเข้าใจปมปัญหาศาสนาในเรื่องมากนิดนึงเท่านั้น (แต่ในเรื่องก็มีอธิบายไปพร้อมกัน) ในซีซั่นแรกจะเต็มไปด้วยปริศนาเยอะมาก แต่หนังก็ไล่เคลียร์ปมทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ 100% ไม่มีตกหล่นหรือพล็อตโฮลเลยแม้แต่น้อยเมื่อดูจบทั้งสองซีซั่น เพียงแต่ซีซั่น 2 อาจจะเป็นแนวดราม่าจิตวิทยามากกว่าซีซั่นแรกสักหน่อย แต่ก็ทดแทนด้วยฉากจบสุดลุ้นระทึก ที่เรื่องราวใหญ่โตกว่าที่คิดมาก และก็เป็นฉากจบที่เหนือคาดคิดแบบติดอยู่ในหัว ไม่แพ้หนังดัง Inception เลยทีเดียว