รีวิว Scream งานคืนชีพสครีมหวนกลับสู่ออริจินอลที่มีความสดใหม่ (ไม่มีสปอยล์)
Scream
สรุป
การกลับมาของสครีมที่เรียกว่าคาราวะยึดโยงกับภาคออริจินอลโดยตรง เป็นการคืนชีพนำแฟรนไชนส์นี้กลับมาได้อีกครั้ง โดยมีทั้งตัวละครชุดใหม่ร่วมกับชุดเก่าที่บทให้ความสำคัญเท่าเทียมกัน ทุกคนมีสิทธิ์เป็นฆาตกรได้หมดในแบบของสครีม ฉากไล่เชือดในแบบที่ย้อนรอยภาคแรกผสมกับฉากไล่เชือดในยุคใหม่ที่มีอะไรทันสมัยกว่าเดิม ทุกอย่างในเรื่องทำออกมาแบบที่แฟนๆ สครีมต้องชอบแน่นอน แม้จะมีจุดด้อยเรื่องความไม่สมเหตุผลของฉากไล่เชือดใหญ่ๆ อยู่บ้าง แต่สำหรับแฟนๆ สครีมอาจจะไม่ใช่ประเด็นที่จะมาใส่ใจอะไรมาก เพราะมันเซอร์วิสความโหดให้กับคนดูได้เต็มที่เช่นกัน
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- การยึดโยงกับภาคแรกที่ใช้เป็นเบสตลอดเรื่อง
- ฉากไล่เชือดโหดสะใจมีความทันสมัยมากขึ้น
- บทของตัวละครใหม่กับเก่าร่วมมือกันได้ดี
- ล้อเลียดสีหนังหลายเรื่องเต็มไปหมด (รวมถึงตัวสครีมเองด้วย)
- นางเอกใหม่สวยเด่นมีเอกลักษณ์
- แรงจูงใจของฆาตกรยังทำออกมาได้ดี
Cons
- ฉากไล่เชือดมีความเว่อร์เกินจริงหลายครั้ง
- ตอนจบแบบเพลย์เซฟมากไป
- บทของซิดนีย์กับเกลออกมาตอนหลังน้อยไปหน่อย ไม่ค่อยมีอะไรใหม่
Scream 2022 (ภาค 5) การกลับมาของหนังไล่เชือดฆาตกรหน้ากากผีที่คนดูหนังคุ้นเคยกันอย่างดี แต่มาคราวนี้เป็นการสร้างเพื่อหวนคืนกลับสู่ความเป็นออริจินอล เพื่อต่อยอดนำแฟรนไชนส์นี้กลับมาสร้างต่อได้อีกครั้ง หลังจากห่างหายไปกว่า 10 ปี
ตัวอย่าง Scream 2022
หนังไล่เชือดที่ห่างหายจากภาค 4 มา 10 ปี ซึ่งภาคนี้ก็ทำในช่วงครบรอบ 10 ปีแบบเหตุการณ์ในเรื่องที่ผ่านๆ มามักกินเวลาห่างกัน 10 ปี ก็จะมีฆาตกรโรคจิตใส่หน้ากากผีมาไล่ฆ่าคนในเมืองวูดส์โบโร ซึ่งแฟนๆ หนังชุดนี้คงจำเรื่องราวได้ดีอยู่แม้จะห่างมานับสืบปีแล้วก็ตาม ซึ่งสาเหตุที่หยุดไปหลักๆ ก็คงเป็นเรื่องบทเริ่มตัน คะแนนวิจารณ์ในแต่ละภาคต่ำกว่าภาคแรกมากมาย จนถ้าทำต่อไปก็คงกลายเป็นแฟรนไชนส์สยองขวัญเรื่องอื่นๆ ที่เอากลับมาแล้วดับสนิทตอกฝาโลงมากกว่าจะเป็นการฟื้นคืนชีวิต ในภาคนี้ทางผู้สร้างก็เลยไม่ใช้เลข 5 เป็นภาคต่อ แต่ใช้ชื่อ Scream แบบภาคแรกกันตรงๆ ซึ่งก็เหมือนเป็นการท้าทายไปยังแฟนๆ ให้มาพิสูจน์ว่าแฟรนไชนส์หนังสืบสวนไล่เชือดเรื่องนี้ยังมีดีพอที่จะกลับมาได้อีกครั้งจริงหรือไม่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เหมือนเป็นการหวนคืนกลับมาของสครีมที่ดีสุดรองจากภาคแรกเลยทีเดียว
เรื่องย่อ (ไม่มีสปอยล์)
เกิดคดีฆาตกรรมแบบเดิมขึ้นอีกครั้งในเมืองวูดส์โบโร ทำให้ “แซม คาร์เพนเตอร์” ตัวเอกในภาคใหม่ต้องกลับเมืองนี้อีกครั้งหลัง เพราะเรื่องราวนี้มีความเกี่ยวข้องกับความลับของครอบครัวเธอ แต่ทางตำรวจกลับช่วยเหลืออะไรเธอไม่ได้มาก ทำให้เธอต้องไปหาดิวอี้ อดีตนายอำเภอที่ผ่านเหตุการณ์สยองขวัญนี้มาตลอด เพื่อหวังว่าเขาจะใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยเธอตามล่าฆาตกรคนใหม่ครั้งนี้ได้
รีวิว Scream 2022 (ไม่มีสปอยล์ทุกจุด)
ภาคนี้ได้ผู้กำกับจาก หนัง Ready or Not (เกมพร้อมตาย) Matt Bettinelli-Olpin /Tyler Gillett กำกับสองคนรวมถึงสครีมภาคนี้ด้วย และก็ยังได้ผู้เขียนบทจาก Ready or Not คนเดิมมาร่วมทีมสร้างเรื่องนี้ ร่วมกับอีกหนึ่งผู้เขียนบทจาก Zodiac หนังฆาตกรรมสร้างจากเรื่องจริงของผู้กำกับเดวิด ฟินเชอร์ ซึ่งทำให้ทีมงานสร้างสครีมภาคนี้เรียกว่าแน่นปึ๊กด้านคุณภาพมาก ตัวหนังจึงมาพร้อมกับเรื่องราวที่เป็นภาคต่อเหมือนยกเครื่องใหม่ แต่ก็ไม่ใช่ใหม่ไปทั้งหมด เรียกว่าเป็นงานสร้างที่พยายามยึดโยงสครีมภาคแรกมากที่สุดกว่าภาคไหนๆ และไม่ใช่การยึดโยงแบบมั่วซั่วด้วย แต่เป็นการยึดโยงแบบอ้างอิงแนบสนิทไปกับภาคแรกตั้งแต่เริ่มฉากแรกจนฉากสุดท้าย จนคุณสามารถดูแค่ภาคแรกแล้วข้ามมายังภาคนี้เลยก็ได้ เพราะเหมือนเป็นภาคต่อจากภาคแรกแบบที่สมบูรณ์กว่าภาคที่ผ่านๆ มาทั้งหมด
หนังเปิดเรื่องโดยใช้ฉากหญิงสาวรับโทรศัพท์ในบ้านคนเดียวเหมือนภาคแรก ก่อนที่จะเจอกับเกมทายปัญหาจากหนัง “สแต็ป” ซึ่งก็เหมือนเป็นการเล่นกับแฟนๆ สครีมไปด้วยพร้อมกัน ก่อนที่จะเกิดฉากไล่ล่าในบ้านที่อัพเกรดอุปกรณ์ให้ทันสมัยขึ้นตามยุค พร้อมจบด้วยฉากฆาตกรรมตามสูตรเดิม แต่แค่ฉากเปิดตัวก็ทำให้เราได้เห็นแล้วว่าเป็นงานที่ยึดโยงแบบไม่ใช่ลอก แต่เป็นการคาราวะงานต้นตำหรับพร้อมกับใส่สิ่งใหม่ๆ ลงไปในตัว ซึ่งเรื่องราวในเรื่องจะมีอ้างอิงสิ่งต่างๆ จากภาคแรกมาหลายอย่างมากมาย ทั้งตัวละครเดิมที่คนไม่คิดว่าจะกลับมาได้ก็กลับมา ฉากสถานที่เกิดเหตุในภาคแรกก็กลับมา เรื่องราวของฆาตกรก็เกี่ยวพันกับตัวละครในภาคแรกโดยตรง ซึ่งแม้จะเป็นการเขียนเรื่องงอกมาภายหลัง แต่ก็มีเหตุผลพอทำให้ผู้ชมเชื่อถือได้ ซึ่งเป็นจุดแข็งของสครีมที่ต่างออกไปจากพวกแนวไล่เชือดเรื่องอื่นๆ (อย่าง เจสัน) เพราะฆาตกรในสครีมต้องมีเหตุผลแรงจูงใจที่น่าเชื่อถือพอกับการลุกมาใส่หน้ากากผีย้อนรอยคดีเดิมๆ ในทุกภาคให้ได้ ซึ่งเป็นโจทย์หลักที่ยากสุดของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งภาคนี้ก็ทำส่วนนี้ออกมาได้ดี แบบดีกว่าภาคอื่นๆ อย่างชัดเจน ฆาตกรในภาคนี้มีความแตกต่างทั้งการลงมือและแรงจูงใจ โดยเฉพาะการอิงเรื่องราวจากภาคแรกมาเป็นเบสในการทำสิ่งต่างๆ ในเรื่องตั้งแต่แรกไปจนจบ เหมือนผู้ชมได้ย้อนรอยดูสครีมภาคแรกในอีกเวอร์ชั่นที่ต่างออกไป มีความทันสมัยกว่าหน่อยๆ แต่ก็ยังคงกลิ่นอายรูปแบบฉากไล่เชือดจากภาคแรกทำให้แฟนๆ ที่ยังจดจำภาคแรกได้น่าจะชอบภาคนี้ได้ไม่ยากแน่นอน
ตัวหนังยังยึดเอากฎของสครีมมาเป็นหลักในการเล่นเรื่องนี้เหมือนภาคแรกมากๆ ด้วย ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นกฎจากการล้อพวกหนังสยองขวัญตลอดมา อย่าง การไปไหนคนเดียวมักเจอจุดจบ ถ้าพูดเดี๋ยวกลับมานั่นคือตัวละครนั้นต้องตาย ซึ่งคนดูใครๆ ก็รู้ แต่ตัวละครในหนังมักทำอย่างนั้นอยู่ดีเหมือนบทโง่ๆ ไม่สมเหตุผลที่ต้องใส่ไว้เพื่อให้เกิดฉากสยองขวัญประกอบเรื่องเท่านั้น แต่สำหรับสครีมการเอากฎพวกนี้มาใช้คือการล้อเลียนและท้ายทายไปในตัวอย่างที่ภาคแรกทำไว้ ซึ่งภาคนี้ก็ย้อนเอากฎพวกนี้มาเล่นในแบบท้าทายหลอกล่อคนดูให้ลุ้นระทึกตามทุกครั้ง แม้สุดท้ายฉากนั้นจะไม่มีฆาตกรมาไล่เชือด แต่เราก็ยังระทึกกับการที่ตัวละครในเรื่องกำลังเดินเข้าไปสู่กฏที่ว่าไว้ได้ทุกครั้ง โดยไม่ใช่แนวตุ้งแช่ทำเสียงตกใจคนดูแบบเสล่อๆ อีกด้วย
นอกเหนือจากนั้นตัวบทสนทนาในเรื่องก็ยังเล่นมุกล้อเสียดสีจิกกัดหนังเรื่องอื่นรัวๆ ทั้งยุคใหม่ยุคเก่า อย่าง บาบาดุค ที่ในเรื่องย้ำว่าดีกว่าสแต็ป เหมือนเป็นการจงใจล้อเลียนเทียบกับตัวเอง หรือแม้แต่สตาร์วอร์ก็ยังไม่เว้น ซึ่งการจิกกัดหนังเรื่องอื่นๆ แบบนี้คือเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสครีมจากผู้เขียนบทดั้งเดิมอย่าง Kevin Williamson ดังนั้นถ้าใครตามมุกเหล่านี้ทันก็จะสนุกขบขันไปกับเรื่องนี้ได้มากยิ่งขึ้นอีก
สำหรับตัวละครทั้งชุดใหม่กับชุดเก่าในเรื่องนี้จะถูกวางหลอกล่อให้เหมือนทุกคนเป็นฆาตกรได้ทุกคน ซึ่งหลายฉากก็ชวนให้เสียววาบกับบทสนทนาที่เหมือนจะบอกว่าฉันนี่แหละฆาตกรตรงๆ เป็นการปั่นหัวตัวละครในเรื่องพร้อมกับคนดูไปพร้อม ถึงแม้ตัวฆาตกรอาจจะไม่ถึงกับเดายากมาก เนื่องจากสครีมค่อนข้างมีสูตรหลักที่แฟนๆ น่าจะจดจำกันได้ แต่ในความจำนั่นทางผู้สร้างก็เอามาใช้หลอกล่อแฟนๆ ไปด้วยว่าจะใช่อย่างที่คิดจริงๆ หรือ? ซึ่งสุดท้ายถึงคุณจะเดาตัวฆาตกรถูก แต่ก็ยังต้องยอมรับว่าภาคนี้ถ่ายทอดสูตรเอกลักษณ์ความสนุกในการคาดเดาฆาตกรออกมาได้ดีจริงๆ
สำหรับนักแสดงชุดใหม่จะนำโดย “แซม” รับบทโดยนักแสดงชื่อ Melissa Barrera ที่ไม่คุ้นกันแน่นอนเพราะเป็นนักแสดงและนักร้องชาวเม็กซิกัน แต่เธอสวยคมเหมือนเป็นตัวละครที่ปั้นมาเพื่อจะให้เป็นนางเอกชุดใหม่ของแฟรนไชนส์นี้ ทั้งยังมีความหลังยึดโยงกับตัวละครในภาคแรกอีกด้วย ซึ่งในอีกแง่คือเธอก็มีสิทธิ์เป็นฆาตกรได้สูงไปในตัว และก็มีบทแฟนหนุ่มของเธอ ริชชี่ (รับบทโดย Jack Quaid) ที่เป็นตัวละครใหม่แบบไม่รู้เรื่องราวของหนังสแต็ปกับฆาตกรรมในวูดส์โบโรมาก่อน ซึ่งบุคลิกเปิ่นๆ หลายอย่างชวนให้คิดว่านี่เป็นตัวละครแบบดิวอี้ในชุดเก่าได้เลย นอกเหนือจากนั้นก็คือตัวละครเพื่อนๆ ของเทร่าน้องสาวของแซมที่เป็นเหยื่อในฉากเปิดเรื่อง ซึ่งแต่ละคนก็จะมีเอกลักษณ์น่าจดจำ อย่าง มินดี้ที่เป็นแฟนหนังสแต็ปกับรู้เรื่องกฎต่างๆ ดี ลิฟสาวเหมือนคล้ายๆ มีอาการทางจิตชวนให้คิดว่าอาจจะเป็นฆาตกร ซึ่งทุกคนมีความคลุมเครือเหมือนเป็นฆาตกรได้ทั้งหมด
ส่วนนักแสดงชุดเก่าที่กลับมาประจำอย่าง Neve Campbell ในบทซิดนีย์กับ Courteney Cox ในบทเกล อาจจะมีบทบาทน้อยสักหน่อยเพราะมาโผล่ในเรื่องเอาช่วงครึ่งหลังไปแล้ว ก็อาจจะไม่มีอะไรใหม่มากกับสองคนนี้ เพราะเป็นตัวละครขาประจำที่มาตอกย้ำการจัดการฆาตกรหน้ากากผีทุกภาคว่าต้องฆ่า ไม่งั้นนอนไม่หลับ แต่คนที่บทเยอะสุดจะเป็น David Arquette ในบทดิวอี้ที่มีเรื่องราวการแยกทางกับเกลมาประกอบ พร้อมทั้งเป็นคนที่ช่วยสืบเรื่องราวกับแซมตั้งแต่แรก
จุดด้อยของเรื่อง (ไม่มีสปอยล์)
สรุป Scream 2022 สนุกและดีไหม?
สนุกและดีมากสำหรับแฟนหนังชุดนี้ที่อาจจะคิดว่าไปต่อไม่ได้แล้ว แต่ผู้สร้างสามารถนำมันกลับมาได้ เรียกว่าดีที่สุดรองจากภาคแรกออริจินอลเลยละกัน สำหรัยแฟนๆ ห้ามพลาด แต่คนที่ไม่ใช่แฟนสครีมมาก่อนไปดูก็อาจจะไม่อินอะไรมากนัก
สปอยล์แรงจูงใจของฆาตกร (ไม่สปอยล์ตัวฆาตกร)
ฆาตกรในภาคนี้มีแรงจูงใจจากการที่หนังภาคต่อมักทำมาห่วยลงๆ โดยโยงว่าสแต็ปภาค 8 ห่วยมากไม่ยึดโยงกับเรื่องราวเก่าๆ จนแฟนๆ ก่นด่า ฆาตกกรก็เลยจัดฉากดึงเอาตัวละครที่เกี่ยวข้องกับภาคแรกกลับมาทั้งหมด รวมถึงใช้โลเกชั่นฉากฆ่าสำคัญจากภาคแรกมาเป็นฉากในการฆ่าใหม่ครั้งนี้ เพื่อให้ทั้งหมดเป็นข้อมูลให้ผู้สร้างหนังเอาไปใช้ทำต่อ และสนุกกับการได้แสดงเองด้วย
สปอยล์ความลับของครอบครัวนางเอก
นางเอกในภาคนี้เป็นลูกของบิลลี่ ฆาตกรตัวเอกในภาคแรก