รีวิว เซี่ยงไฮ้ ฟอร์เทรส แอ็กชั่นไซไฟจากจีนกับความรักเหงาๆ เศร้าซึมลึก
Shanghai Fortress เซี่ยงไฮ้ ฟอร์เทรส
สรุป
หนังขาดความกลมกล่อม แถมยังทำไม่ได้ดีในทุกทางที่หนังอยากนำเสนอ ตั้งแต่ฉาก CG แนวหลอกตาเหมือนเกม เนื้อเรื่องไซไฟกลวงๆ เรื่องราวความรักแบบหนังอินดี้ กลายเป็นผลงานฟอร์มยักษ์ที่ไม่ต้องดูก็ได้ แต่ถ้าไม่ได้คาดหวังอะไรจากฟอร์มยักษ์ของหนังก็พอดูเพลินๆ ฆ่าเวลาได้เหมือนกันครับ
Overall
5/10User Review
( votes)Pros
- ฉากจบเฉลยความรักแบบซึมลึก
- หนังขายหน้าหล่อใสๆ ของลู่หานเต็มๆ สาวๆ ที่ชอบฟินได้เลย
Cons
- หนังลอกเลียนแบบ ID4 มาแทบทั้งดุ้น
- ทุนสร้างมหาศาล แต่ CG ได้แค่ระดับเกม
- เนื้อเรื่องกลวงมากๆ
- หนังไซไฟแต่ไม่ได้มีลงลึกผูกกับความเป็นไปได้ทางวิทย์ศาสตร์เลยแม้แต่น้อย
Shanghai Fortress เซี่ยงไฮ้ ฟอร์เทรส (คลิกรับชมผ่าน Netflix ได้ที่นี่) ดัดแปลงมาจากนิยายไซไฟชื่อดังของจีน ที่เล่าเรื่องในโลกอนาคตหลังมนุษย์ชาติค้นพบแหล่งพลังงานแบบใหม่ที่เรียกว่า “เซียนเถิง” ซึ่งช่วยให้มนุษย์ชาติพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งนี้กลับชักนำให้สิ่งมีชีวิตจากนอกโลกบุกเข้ามาโจมตีเพื่อหวังพลังงานใหม่นี้ โดยตัวละครเอกเป็นกลุ่มกองกำลังปกป้องโลกที่เซี่ยงไฮ้ ที่เป็นฐานที่มั่นใหญ่ปราการด่านสุดท้ายในโลก พร้อมด้วยปืนใหญ่ที่ใช้พลังจากเซียนเถิงมาเป็นอาวุธลับต่อต้านการบุกของเอเลี่ยน
หนังตัวอย่าง Shanghai Fortress เซี่ยงไฮ้ ฟอร์เทรส
ก่อนหน้านี้ไม่นาน The Wandering Earth คือหนังที่ทำเงินถล่มทลายของจีน ด้วยพล็อตที่แปลกใหม่ และสร้างจากนิยายไซไฟของจีนชื่อดังเช่นกัน ซึ่งจากเรื่องนั้นก็ช่วยเปิดประตูบานใหม่ให้กับหนังไซไฟจากจีนได้เป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก แม้คำวิจารณ์นอกประเทศอาจจะไม่ดีมากนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นหนังที่สร้างมาได้อย่างอลังการจริงๆ ซึ่ง Shanghai Fortress ก็ตามมาไม่นาน ด้วยทุนสร้างระดับ 300 ล้านหยวน ใช้เวลาสร้างนานถึง 6 ปี ใช้ดารานำชื่อดัง “ซูฉีกับลู่หาน” มาชูโรง แต่ผลตอบรับตรงข้ามกันฟ้ากับเหว กลายเป็นหนังที่มาปิดประตูนั้นลงจนสนิท
เซี่ยงไฮ้ ฟอร์เทรส เป็นหนังเรื่องแรกที่ใช้เทคนิคพิเศษจากบริษัทของจีนเองมากถึง 90% แต่จากที่เห็น CG ของหนังกลับดูเป็น CG จากเกม แม้คุณภาพจะสูง แต่ก็ดูหลอกตาเมื่อมาใช้ร่วมกับนักแสดงคนจริงๆ ไม่แปลกใจที่หนังจะสอบตกตั้งแต่จุดขายหลักที่ควรจะทำได้ดีกว่านี้เมื่อเทียบกับ The Wandering Earth นี่กลายเป็นงานสร้างคนละชั้น ทั้งๆ ที่ทุนสร้างสูสีกันมากที่ 320 ล้านหยวน คือดูไปต้องคิดไปตลอดว่านี่เป็นหนังลงโรงฟอร์มยักษ์จริงหรือเปล่า เพราะถ้าไม่รู้มาก่อนแล้วมาดูใน Netflix ก็อาจจะคิดว่าหนังทุนสร้างน้อยก็ได้
เนื้อหาหลักของหนังเป็นแนวอภิมหาสงครามไซไฟต่างดาว ที่ดูยังไงก็ลอกเลียนแบบ ID4 มาแทบทั้งดุ้น ตั้งแต่กลุ่มตัวเอกที่ขับยานรบกู้โลกแบบวิลสมิธ ยานแม่ต่างดาวขนาดยักษ์ที่ต้องลอยมาช้าๆ แล้วเปิดแกนกลางหลักเพื่อยิงเลเซอร์ถล่มโลก เอเลี่ยนที่ไม่รู้ที่มาที่ไป หุ่นที่เอเลี่ยนส่งมาบุกโลกภาคพื้นดินก็แอบเหมือนจากหนัง Edge of Tomorrow อีกเรื่อง เรียกว่าหนังแทบไม่มีเอกลักษณ์อะไรเป็นของตัวเองเลย แถมด้วยฉากสงครามครั้งสุดท้ายก็เดินเรื่องแบบเดาได้ไม่มีอะไรแปลกใหม่ เพราะหนังเลือกใช้แนวทาง ID4 แม้กระทั่งฉากจบอีกครั้ง….
แต่ที่ไม่สดใหม่แตกต่างนั่นเพราะผู้กำกับคนนี้มีชื่อเสียงมาจากหนังรัก ซึ่งเขาอยากทำหนังรักในสงครามไซไฟมากกว่า ในหนังก็เลยมีเรื่องราวของพระเอกที่เล่นโดย “ลู่หาน” ไอดอลหนุ่มอดีตสมาชิกวง EXO ที่รับบทเป็นนักเรียนมหาวิทยาลัยหน้าใสกิ๊ง ที่กลายมาเป็นทหารที่ได้รับคัดเลือกเข้าโครงการฝึกบินในเครื่องซิมูเลเตอร์กู้โลก พร้อมกับเพื่อนๆ อีก 3 คน ซึ่งคนอื่นๆ ก็เป็นแค่ตัวบทสมทบในเรื่อง ไม่ได้มีความสำคัญอะไรนัก เพราะเรื่องหลักวนเวียนอยู่กับความรักต่างวัยของลู่หานที่แอบรักทหารหญิงยศสูงกว่าที่เล่นโดยซูฉี โดยมีแต่ลู่หานที่พยายามเข้ามาตีสนิทแบบรักนะแต่ไม่บอกเงียบๆ โดยที่ซูฉีก็ไม่ได้จะสนใจเขาเลย ด้วยความที่เธอเชื่อว่าช่วงสงครามควรทิ้งทุกอย่างไว้เพื่อทำให้หน้าที่ให้ดีสุดก่อน ซึ่งพล็อตส่วนนี้ก็ดูเป็นอะไรที่ผู้กำกับต้องการจะสร้างจริงๆ มากกว่าหนังแอ็กชั่นไซไฟถึงยัดเข้ามาเรื่อยๆ จนจบเรื่องถึงเอนด์เครดิต
ในส่วนดราม่าความรักท่ามกลามสงครามนี่จริงๆ ก็ถือว่าไม่ได้แย่อะไร แต่ปัญหาคือหนังทั้งเรื่องไม่ได้ปูมาให้เราได้รู้เลยว่าสองคนนี้เป็นมายังไงกัน เอาแต่ใส่โมเมนต์แอบรักข้างเดียวจากพระเอกล้วนๆ เพื่อที่ไปเฉลยตอนเอนด์เครดิตว่าทั้งคู่เจอกันได้ยังไง คนดูถึงค่อยมาเข้าใจว่าฝ่ายซูฉีคิดยังไงกับพระเอกกันแน่ ซึ่งถ้าทนดูจนจบได้นี่ก็เป็นอะไรที่แอบซึ้งกินใจเล็กๆ เหมือนกัน อารมณ์ดูจบกลายเป็นหนังหว่องกาไว เหงาๆ เงียบๆ แบบนั้นเลย
แม้ว่ามันจะมากินใจเล็กได้ตอนจบ แต่การที่หนังวางเรื่องผิดที่ผิดทาง ทำให้คนไม่อินก็เพราะหนังปูมาเป็นแอ็กชั่นไซไฟ แต่แอบยัดหนังรักลงไปแบบไม่ให้คนรู้เลยจากหนังตัวอย่าง แถมยัดมาแบบแนวหนังอินดี้แอบดูเข้าใจยากนิดๆ ไม่ได้เป็นไปตามสูตรหนังรักวงกว้างตามปกติด้วย มันก็เลยแป๊กทันที
นี่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ล้มคว่ำหนักแล้ว Netflix ซื้อมาลงในระบบปะตัว N บนหน้าปกให้ดูเป็น Original Netflix ต่างกับ The Wandering Earth ที่ Netflix คว้ามาก่อนตั้งแต่ดังแรกๆ ซึ่งดูแล้วมาลงในนี้ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเช่นเดิม หนังค่อนข้างเงียบมาก ขาดความสนใจ ซึ่งดูแล้วก็ไม่แปลกใจเพราะหนังไม่มีอะไรให้น่าจดจำสักเท่าไหร่จริงๆ