playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Snowpiercer ss2 ขยายโลกให้กว้างไกลขึ้นกว่าแค่ในรถไฟ โดยยังคงหัวใจหลักไว้ไม่เปลี่ยนแปลง

สรุป

ซีซั่น 2 ยังคงหัวใจหลักเรื่องการเมือง ชนชั้น ระบบการปกครองระหว่างประชาธิปไตย VS.เผด็จการ ไว้อยู่เช่นเดิม แต่มีรายละเอียดแง่มุมที่ลึกมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ และก็กลายเป็นซีรีส์ที่เน้นส่วนนี้มากกว่าฉากแอ็กชั่นหรือสืบสวน ซึ่งถ้าใครไม่ชอบแนวการต่อสู้ด้วยความคิด การวางแผน จิตวิทยาการเมือง ก็คงดูเรื่องนี้แล้วไม่สนุกสักเท่าไหร่แน่ๆ ครับ บทในซีซั่นนี้มีเรื่องยืดๆ กว่าซีซั่นแรกพอสมควรด้วย แต่ก็ยังดีที่มีอะไรสดใหม่หลายอย่างเพิ่มมาในขบวนรถไฟอุดอู้นี้ได้อีก

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ยังคงเน้นเรื่องการเมือง ชนชั้น การปกครองเป็นเนื้อหาหลักของเรื่อง
  • ตัวละครใหม่น่าสนใจมากทั้งลูกสาวเมลานีกับวิลฟอร์ด
  • ตัวละครใหม่ที่เป็นมนุษย์เยือกแข็งทำให้เรื่องเว่อร์เกินภาพยนตร์ไปแล้ว
  • ตัวละครสมทบมีบทบาทเด่นขึ้นมาในเรื่องนี้หลายคน

Cons

  • มีช่วงยืดเนื้อเรื่องดูอืดมากกว่าซีซั่นแรก
  • บทของเมลานีมีแค่ครึ่งเดียวของเรื่อง

ADBRO

Snowpiercer ss2 ซีซั่นต่อมาของซีรีส์ที่ขยายโลกของภาพยนตร์ออกมาเป็นแบบของตัวเองที่แตกต่างออกไปหลายอย่าง แต่ยังคงเรื่องราวการเมืองชนชั้นการปกครองไว้อยู่เช่นเดิม มีทั้งหมด 10 ตอนจบซีซั่น (มีต่อซีซั่น 3)

รีวิว Snowpiercer เปรียบเทียบจุดเปลี่ยนซีรีส์กับภาพยนตร์

ตัวอย่าง Snowpiercer ss2

เรื่องราวในภาคนี้คือ สงครามจิตวิทยาของเลย์ตันกับวิลฟอร์ดที่พยายามยึดรถไฟคืน โดยมีส่วนขยายความเป็นมาช่วงที่เมลานีมายึดรถไฟจากวิลฟอร์ดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และก็แสดงให้เห็นระบบการปกครองสองระบบ ประชาธิปไตยของเลย์ตันที่ให้ทุกคนมีสิทธิโหวตในสิ่งต่างๆ กับเผด็จการของวิลฟอร์ดที่พยายามควบคุมทุกคนและแบ่งชนชั้นการปกครอง โดยมีเมลานีเป็นตัวแทนความหวังว่าจะสามารถออกไปใช้ชีวิตนอกรถไฟได้ เมื่อเธอค้นพบว่ามีบางส่วนในโลกที่อุณหภูมิเริ่มลดลงแล้ว

หัวใจหลักของเรื่องคือเกมจิตวิทยาช่วงชิงชนชั้นการปกครอง

ในซีซั่นนี้ยังคงหัวใจหลักเรื่องของระบบการปกครองกับชนชั้นไว้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งคนเขียนบทถือว่าเก่งมากที่หยิบเอาทุกองค์ประกอบในเรื่องมาทำให้เราได้เห็นภาพจำลองสังคมในรถไฟนี้ไม่ต่างอะไรจากสังคมจริงๆ อย่างส่วนของบิ๊กอลิซที่มาเชื่อมต่อกับสโนว์เพียร์ซเซอร์จุดเชื่อมต่อของทั้งสองขบวนก็กลายมาเป็นพรมแดนของ 2 ประเทศที่มีระบบการปกครองต่างกัน โดยที่ตัวเรื่องจะพยายามโน้มน้าวว่าเผด็จการของวิลฟอร์ดก็มีข้อดีเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีชนชั้นที่ได้เปรียบ (คนมีตั๋ว) สร้างความสุขให้กับประชาชนที่ซื้อตั๋วขึ้นรถไฟวิลฟอร์ดมาจริงๆ ซึ่งสะท้อนไปถึงคนชั้นกลางและชนชั้นสูงของสังคมที่รู้สึกว่าตัวเองถูกชนชั้นล่างที่ไม่มีตั๋วและแอบขึ้นรถไฟมาเอาเปรียบ และวิลฟอร์ดคือผู้ที่จะมาจัดการทุกอย่างให้เข้าที่ตามเดิมอีกครั้ง ซึ่งซีรีส์ก็ทำให้ผู้ชมเข้าใจได้ง่ายๆ ว่าการได้มาซึ่งอำนาจนั้นมีหนทางอย่างไรบ้าง ซึ่งกรณีเลย์ตันเองแม้จะปฏิวัติทำลายระบบดั้งเดิมของเมลานีที่ใช้กฎของวิลฟอร์ดมาเป็นตัวแทนการปกครองได้ แต่พอเขาขึ้นครองอำนาจกลับพบว่าการรักษาอำนาจการปกครองนั้นยากยิ่งกว่า จนถึงขั้นตัวเองก็ต้องงัดกฎอัยการศึกมาเพื่อทำอะไรที่นอกกรอบบ้าง (กฎอัยการศึกคือกฎหมายฉุกเฉินที่ให้ผู้นำตัดสินใจทำอะไรได้เลย โดยไม่ต้องผ่านความเห็นใคร และตัดสินโทษแทนศาลได้เลย) นอกจากนี้ก็ยังมีช่วงที่เลย์ตันถึงขั้นว่าจ้างมือสังหารให้จัดการคนที่อาจจะเป็นภัยกับตัวเองได้ แต่เรื่องก็ถูกเขียนมาดีว่าเขาจำใจต้องทำ ไม่ใช่ว่าเลย์ตันกลายเป็นเผด็จการแบบวิลฟอร์ด ในเรื่องจะมีช่วงที่ทั้งคู่ต่างเล่นเกมจิตวิทยากันค่อนเรื่อง และสุดท้ายเลย์ตันก็ต้องเสียตำแหน่งการปกครองไป ก่อนที่ตอนท้ายเรื่องในซีซั่นนี้จะเป็นฉากการปฏิวัติยึดอำนาจคืน ซึ่งตัวเรื่องเรียกว่าถ่ายทอดเกมกลการเมืองไว้ได้อย่างครบถ้วน เสมือนการเมืองในโลกจริงไม่มีผิดเลยครับ

บทของเมลานีมาแค่ครึ่งเรื่อง

ในซีซั่นก่อนบทของเมลานีเรียกว่าเป็นตัวเอกหลักของเรื่องมากกว่าเลย์ตันแบบเห็นได้ชัด อีกทั้งกระแสตอบรับผู้ชมก็ชอบเมลานีมากกว่าด้วย แต่มาในซีซั่นนี้บทของเธอจะมีเนื้อหาแค่ประมาณครึ่งเรื่อง แล้วก็หายไปเลยจนจบถึงโผล่ออกมานิดเดียว แล้วก็ยังไม่ยืนยันว่าบทของเธอจะมีต่อในซีซั่น 3 ด้วยหรือไม่ในตอนนี้ ซึ่งส่วนตัวคิดว่ามีต่อ แต่ทางผู้สร้างต้องการหลอกผู้ชมก่อนนำกลับมาอีกครั้ง

เมลานีมาช่วงต้นและก็ค้นพบว่าอุณหภูมิโลกลดลง มีหิมะตกได้ จึงตัดสินใจออกไปเก็บข้อมูลสำรวจนอกรถไฟ 1 เดือน รอวนกลับมารับ ซึ่งช่วงนี้เองที่บทของเธอจะหายไปเลยจากรถไฟ และก็ไม่มีตัดไปที่เหตุการณ์ของเธอเลย มีแค่ตอนเดียวที่เล่าเรื่องที่เธออยู่ภายนอกรถไฟเท่านั้น แถมตอนจบยังถูกทำให้คลุมเครือว่าตายหรือหายสาบสูญไปอีก

ตัวละครสมทบมีบทบาทเด่นชัดมากขึ้นทุกคน

ซีซั่นนี้นอกจากตัวหลักวิลฟอร์ดกับเลย์ตันแล้ว บทปูให้มีหลายตัวละครมีความสำคัญมากขึ้น ตั้งแต่นางโชว์ที่กลายมาเป็นคนรักของวิลฟอร์ด และก็มีบทเทมาให้เยอะว่าเธอจะเลือกฝ่ายไหน เมื่อวิลฟอร์ดกลับมาหาเธออีกครั้ง หรือทิลล์ผู้คุมสาวเลสเบี้ยนที่เผลี่ยนมาอยู่ฝ่ายเลย์ตันในตอนจบซีซั่นแรก ก็กลายมาเป็นนักสืบประจำรถไฟแทนเลย์ตัน แล้วก็ต้องสืบหาคดีฆาตกรรมคนจำนวนมากในรถไฟอีกครั้ง ซึ่งเป็นชนวนเหตุที่ทำให้ปัญหาชนชั้นในรถไฟประทุขึ้นมาอีกรอบ จากที่ต่างฝ่ายคิดว่าอีกฝ่ายคือคนลงมือในครั้งนี้

ตัวละครใหม่ลูกสาวของเมลานี

ตัวหลักที่เพิ่มมาใหม่คือ “อเล็กซานดร้า” (รับบทโดย Rowan Blanchard)ลูกสาวที่เมลานีทำพลาดไม่ได้รับขึ้นมาวันออกเดินทาง แล้วก็กลายเป็นวิศวกรให้กับหัวรถไฟบิ๊กอลิซของวิลฟอร์ด ซึ่งตัวเรื่องช่วงแรกคือความพยายามของเมลานีที่จะดึงเอาลูกสาวกลับมา และเธอก็ค่อยๆ เจาะเข้าไปในความเย็นชาของอเล็กได้ หลังจากที่ปฏิเสธความรักของแม่มาตลอด เพราะเชื่อว่าแม่ทิ้งเธอไป โดยมีวิลฟอร์ดคอยเสี้ยมสอนความคิดมาตลอด 7 ปี (อเล็กอายุ 17 ปีในเรื่อง) ซึ่งในเรื่องจะค่อยๆ เห็นพัฒนาการความรู้สึกของเธอ เมื่อสิ่งที่เธอคิดจากที่วิลฟอร์ดปลูกฝังให้เธอเชื่อทั้งเรื่องแม่และรูปแบบการปกครองแบบของเขาว่าคือสิ่งที่ดีที่สุด กลับไม่ได้เป็นอย่างที่เชื่อมาตลอด บทบาทของอเล็กมีตลอดเรื่อง และคาดว่าน่าจะกลายมาเป็นคนสำคัญต่อไปแทนเมลานีด้วย ในกรณี่ที่ซีซั่น 3 ตัดบทของเมลานีไปจริงๆ

ชีวะอาวุธมนุษย์เยือกแข็ง (มีสปอยล์บางส่วน)

ในซีซั่นนี้มีตัวละครใหม่ที่เกิดขึ้นจากการดัดแปลงร่างกายให้ทนความเย็นสุดขั้วได้ ซึ่งเกิดมาจากนักวิทยาศาสตร์ของวิลฟอร์ดสร้างขึ้นมาตามคำสั่ง เพื่อให้กลายมาเป็นอาวุธมีชีวิต โดยใช้ความเย็นสุดขั้วมาเป็นข้อได้เปรียบทั้งการต่อสู้และการทำภารกิจลับนอกรถไฟ

 

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!