playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Society of Snow (Netflix) ลงลึกละเอียดจริงจังกว่า Alive ในทุกด้าน!

Society of Snow

Summary

นี่คือหนังที่ใส่ใจเก็บรายละเอียดเหตุการณ์มากที่สุด จนเหมือนเป็นหนังสารคดีจำลองเหตุการณ์จริง ซึ่งผู้ชมที่เคยดู Alive ปี 1993 มาก็แนะนำให้ดูซ้ำ เพราะนี่คือเรื่องราวที่แท้จริงมีรายละเอียดสำคัญมากมายที่ Alive ไม่มี และมีความแตกต่างในรายละเอียดหลายอย่าง จริงจังและมีพลังมากกว่า โดยเฉพาะประเด็นการกินเนื้อคนลงลึกถึงช่วงเวลาการกินหลายครั้งที่แตกต่างและสะเทือนจิตใจไม่เหมือนกัน ซึ่งการที่ผู้สร้างสัมภาษณ์เก็บรายละเอียดจริงของผู้รอดชีวิตทุกคนที่ต่างก็มีบาดแผลมาสร้างเรื่องนี้ก็ช่วยยืนยันได้ว่า เขาเป็นแค่ผู้รอดตายแต่ไม่ใช่ฮีโร่หรือมีปาฏิหาริย์ใดๆ มาช่วยทั้งนั้น และนี่คือหนังที่ถูกเสนอเข้าชิงออสการ์จากสเปนอีกด้วย แนะนำว่าไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • สร้างจากเรื่องจริงแบบละเอียดจากข้อมูลผู้รอดชีวิตโดยตรง
  • รายละเอียดลึกและแตกต่างจาก Alive มาก
  • มีฉากถ่ายทำจากสถานที่จริงด้วย
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • ช่วงต้นเหตุการณ์ข้ามไป 3 วันแบบไม่มีรายละเอียดลึก ทั้งๆ ที่ควรมี

ADBRO

Society of Snow Netflix หิมะโหด คนทรหด หนัง Original Netflix จากสเปนที่ถูกส่งเป็นตัวแทนเข้าชิงออสการ์ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมในปีนี้ กำกับโดย  J.A. Bayona (ผลงาน Jurassic World: Fallen Kingdom) สร้างจากเรื่องจริง ในปี 1972 เครื่องบินของกองทัพอากาศอุรุกวัย เที่ยวบิน 571 เช่าเหมาลำเพื่อนำทีมรักบี้บินไปยังชิลี โดยประสบอุบัติเหตุตกใจกลางเทือกเขาแอนดีส มีผู้โดยสารเพียง 29 คนจาก 45 คนที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และพบว่าตัวเองอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งความหนาวสุดขั้วและการขาดแคลนอาหารจนต้องตัดสินใจกินศพเพื่อนที่ตายไป
Society of the Snow (2023) on IMDb

 

รีวิว Society of Snow Netflix

หนังที่สร้างจากเรื่องจริงและทางฮอลลีวู๊ดเคยนำไปสร้างจนดังมาก่อนแล้วในชื่อ Alive เมื่อปี 1993 โดยมี Ethan Hawke นำแสดงเป็นพระเอกของเรื่อง ซึ่งผู้ชมยุคเก่าหน่อยก็น่าจะเคยดูกันมาก่อน หรือคนรุ่นหลังก็น่าจะได้รู้จักผ่านตามาเช่นกัน เพราะเป็นเรื่องแรกที่ดังจากจุดขายเรื่อง “การกินเนื้อคน” แต่ฉากกินเนื้อคนกลับสั้นมาก และก็ไม่ได้เป็นเนื้อหาหลัก หนังเดินเรื่องด้วยแนวดราม่าพลังใจที่ไม่ย่อท้อจนทำให้เป็นผลสำเร็จและผู้ชมก็ชื่นชอบในเรื่องนี้มากกว่า ซึ่งใน Society of the Snow นี้มีความแตกต่างในการนำเสนออย่างมาก โดยนำเสนอเรื่องการกินเนื้อคนเป็นเมนหลักที่สร้างผลกระทบมากมายยิ่งกว่า Alive และรีวิวนี้จะเน้นเทียบความแตกต่างให้เห็นเป็นหลักครับ

ด้วยความที่สร้างจากเรื่องจริง ผู้ชมก็คงรู้เรื่องล่วงหน้ากันอยู่แล้วว่าตอนจบคือมีคนรอดและพาทีมกู้ภัยกลับไปช่วย แต่สิ่งที่ Alive ไม่ได้เล่าลงลึกไปก็คือเหตุและผลของการกินเนื้อคนในแต่ละช่วงเวลาที่มีมากกว่าการกินเพื่อเอาชีวิตรอด ซึ่งใน Alive มีแค่ครั้งแรกแล้วก็ตัดเนื้อหาส่วนนี้ทิ้งไปเลย แต่ในเรื่องนี้มีหลายครั้งที่มีความสำคัญมากกว่านั้น อย่างการกินในช่วงแรกมีคนอาสาชำแหละศพให้เพื่อนที่เหลือและไม่บอกว่าเป็นเนื้อของใคร แต่พอมีเหตุการณ์ที่เขาตายไป เพื่อนที่เหลือก็ต้องลงมือทำกันเองและนี่คือ “การกินที่รู้ว่าเนื้อนี่เป็นใคร” ซึ่งตามมาด้วยความรู้สึกผิดที่กระอักกระอ่วนมากกว่าการกินโดยไม่รู้เรื่องมากกว่า หรือช่วงหลังที่กินจนกลายเป็นเรื่องปกติก็มีฉากที่แสดงให้เห็นชัดว่าเปลี่ยนไปยังไง โดยไม่มีฉากหั่นศพหรือฉากแหวะให้เห็นแต่ก็สะเทือนใจไม่น้อย ไปจนถึงความรู้สึกผิดที่ติดตัวไปหลังได้รับการช่วยเหลือ ซึ่งหนังทำได้ละเอียดใส่ใจมากจนกลายเป็นหนังเอาชีวิตรอดที่จริงจังเหมือนสารคดี ซึ่งในรายละเอียดผู้สร้างลงทุนสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตทุกคนและครอบครัวอย่างละเอียดกว่า 100 ชั่วโมง และนำมาสร้างโดยใส่เนื้อหาจริงที่หนักแน่นไม่เติมแต่งอะไรลงไป ต่างกับ Alive ที่มีแทบจะอิงแค่โครงเรื่อง แต่เนื้อหาผิดไปจากเรื่องนี้มาก

สิ่งที่แตกต่างจาก Alive และดีมากของเรื่องนี้คือการที่ผู้รอดชีวิตทุกคนมีบทบาทพอๆ กันหมด เป็นสังคมของผู้รอดชีวิตจริงจังตามชื่อเรื่อง ไม่มีพระเอกที่เด่นเกินแบบ Ethan Hawke  และให้ความสำคัญกับทุกคนที่ตายไปจะมีชื่อขึ้นพร้อมอายุเป็นเหมือนบันทึกประวัติศาสตร์ แต่ก็มีการเล่าเรื่องด้วยเสียงของตัวละคร Numa Turcatti ที่ดูเหมือนตัวเอกอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะเขาเป็นตัวละครที่ทำให้เกิดพลังหลายอย่างจนนำไปสู่การออกเดินทางช่วยชีวิตในที่สุด ซึ่งหนังทำออกมาได้ดีมากและเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นด้วยไม่ใช่การแต่งเติมเข้ามาครับ 

 

นอกจากนี้เนื้อหาของการเอาชีวิตรอดยังละเอียดลึกกว่า Alive มีเรื่องตอนหิมะถล่มที่ลึกและละเอียดตั้งแต่การติดอยู่ในนั้นหลายวันและออกมาไม่ได้ (ของ Alive ติดคืนเดียวตอนเช้าออกมาได้ง่ายๆ) ความตายของสมาชิกในทีมที่เกิดจากสถานการณ์บังคับ การซ่อมวิทยุที่เสียไปก็มีรายละเอียดหลายอย่างมากกว่า Alive ที่แค่เครื่องเย็นจนเสียใช้ไม่ได้ ฉากเดินทางไกลตอนกลางคืนได้เพราะมีผ้าที่กันน้ำได้มาทำเป็นถุงนอน รวมถึงฉากหลังรอดชีวิตกลับมาได้ที่ Alive ไม่มีและตัดจบไปเลย หนังแสดงรายละเอียดพวกนี้จนถึงขั้นตอนการอาบน้ำในโรงพยาบาลเลย ซึ่งก็มีฉากที่แสดงให้เห็นร่างกายที่ซูบผอมจริงๆ ให้เห็น รวมถึงเครดิตเบื้องหลังที่มีภาพถ่ายจากของจริงมาเทียบกับทีมนักแสดงของเรื่องที่ต้องยอมรับว่าทีมงานคัดเลือกนักแสดงมาได้เหมือนมาก

นี่คือหนังที่ใส่ใจเก็บรายละเอียดเหตุการณ์มากที่สุด จนเหมือนเป็นหนังสารคดีจำลองเหตุการณ์จริง ซึ่งผู้ชมที่เคยดู Alive ปี 1993 มาก็แนะนำให้ดูซ้ำ เพราะนี่คือเรื่องราวที่แท้จริงมีรายละเอียดสำคัญมากมายที่ Alive ไม่มี และมีความแตกต่างในรายละเอียดหลายอย่าง จริงจังและมีพลังมากกว่า โดยเฉพาะประเด็นการกินเนื้อคนลงลึกถึงช่วงเวลาการกินหลายครั้งที่แตกต่างและสะเทือนจิตใจไม่เหมือนกัน ซึ่งการที่ผู้สร้างสัมภาษณ์เก็บรายละเอียดจริงของผู้รอดชีวิตทุกคนที่ต่างก็มีบาดแผลมาสร้างเรื่องนี้ก็ช่วยยืนยันได้ว่า เขาเป็นแค่ผู้รอดตายแต่ไม่ใช่ฮีโร่หรือมีปาฏิหาริย์ใดๆ มาช่วยทั้งนั้น และนี่คือหนังที่ถูกเสนอเข้าชิงออสการ์จากสเปนอีกด้วย แนะนำว่าไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งครับ

 

including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!