รีวิว Spider-Man: Far From Home พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรักและความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่
Spider-Man: Far From Home รีวิว
สรุป
พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ หนังทำมาแนวให้อารมณ์ใกล้เคียงภาค 2 ของสไปเดอร์แมนโทบี้
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- เคมีพระเอกนางเอกเข้ากันได้ดี
- CG ตัวร้ายน่าตื่นตาตื่นใจ
- หนังลับลวงพรางได้อย่างสนิทใจ
- สงครามความรักวัยรุ่นที่ดูสนุก
Cons
- ขาดหลักการเหตุผลอธิบายหลายอย่าง
- สะท้อนปัญหาหลัง Endgame น้อยไป
- ยัดมุกตลกพร่ำเพรื่อมากไปนิด
Spider-Man: Far From Home รีวิว สไปเดอร์-แมน ฟาร์ ฟรอม โฮม หนังปิดท้ายเฟส 3 ต่อจาก Endgame ที่ทำมาเพื่ออธิบายเรื่องราวผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อจากตอนจบ รวมถึงมีหน้าที่สานต่อไปยังเฟส 4 และยังต้องเดินเส้นเรื่องชีวิตความเป็นสไปเดอร์แมนของตัวเองไปพร้อมกันอีกด้วย ซึ่งทั้ง 3 อย่างเรียกว่าเป็นหนังบังคับต้องดูพอๆ กับ Endgame เลยก็ว่าได้ ไม่งั้นคงดูภาคต่อไปไม่รู้เรื่องแน่ๆ ซึ่ง Spider-Man: Far From Home ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีในระดับหนึ่ง แต่อาจจะไม่สมบูรณ์สักเท่าไหร่ เนื่องจากภารกิจที่ต้องเล่าเรื่องราวเยอะจนเกินกว่าโทนเรื่องวัยรุ่นของสไปดี้เวอร์ชั่นนี้จะไล่เก็บได้หมด
หนังครึ่งแรกโฟกัสและปูเรื่องเริ่มต้นไปที่ผลกระทบในสังคมของคนที่ถูกธานอสดีดนิ้ว และได้กลับมาใช้ชีวิตร่วมกับคนที่รอดจาก 5 ปีก่อน ซึ่งในหนังเล่าง่ายๆ เบาหวิว ประมาณว่าเหมือนสอบตกซ้ำชั้น แต่เพื่อนร่วมรุ่นเรียนจบไปแล้วแค่นั้น… ซึ่งทางมาร์เวลก็คงตัดสินใจเลือกเล่าแค่นี้แหละ ถึงเลือกเอาสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นนี้มาปิดท้ายให้เรื่องราวใน Endgame จบไปแบบชิลๆ ตามโทนหลักเช่นกัน คนดูก็คงไม่ต้องไปรื้อฟื้นหรือขุดคุ้ยทฤษฎีเหตุการณ์หลัง Endgame อีกต่อไปแล้ว เพราะมาร์เวลตั้งใจสตาร์ทเรื่องราวไปในทิศทางใหม่ชัดเจน
หนังเลือกเปิดตัว Mysterio กับเหล่า Elemental อย่างไวตั้งแต่เริ่มฉากแรกเลย ซึ่งทำได้น่าสนใจ ทั้งชุด ความสามารถกึ่งเวทย์กึ่งวิทยาศาสตร์ ยิ่งด้วย “คาแรคเตอร์ลับลวงพราง” จากบทดั้งเดิมของตัวละครนี้ ก็ยิ่งทำให้คนดูจ้องโฟกัสจับผิดว่าจะใช่? หรือไม่? กับการเป็นตัวร้ายหรือตัวดี ซึ่งเจคเล่นได้อย่างดีเยี่ยม เอาจริงๆ หนังทำให้เห็นแบบที่ว่าได้ทั้งใช่ หรือไม่ใช่ ทั้งคู่เลยด้วยซ้ำครับ
ในส่วนของปีเตอร์เองก็ยังเน้นไปที่ชีวิตวัยรุ่นในโรงเรียนเหมือนภาคแรกไม่เปลี่ยน โดยภาคนี้เน้นหนักไปที่ภารกิจเที่ยวทัศนะศึกษาในยุโรปให้เห็นฉากท่องเที่ยวสวยๆ ไปพร้อมกับมิชชั่นจีบ MJ มาเป็นแฟนให้สำเร็จ โดยมีตัวขัดขวางป่วนชีวิตอย่าง “นิค ฟิวรี่” ที่ตามมากดดันให้ปีเตอร์รับหน้าที่กู้โลกแทนโทนี่ให้ได้… ซึ่งแม้ปีเตอร์จะรู้ว่าเขาเป็นหนี้โทนี่มากแค่ไหน แต่เขาก็เป็นแค่วัยรุ่นที่ต้องการสังคมเพื่อน มีความรัก อยากพิชิตสาวในฝันให้สำเร็จตามแผนที่วางไว้ ซึ่งหนังวางโจทย์นี้ไว้ให้ปีเตอร์แก้ เป็นแนว Coming of Age เรียนรู้หนทางกู้โลกไปพร้อมกับแก้ปัญหาหัวใจไปพร้อมกัน ซึ่งผมรู้สึกว่าเอาจริงๆ แล้วรู้สึกสนุกกับช่วงซีนน่ารักของทั้งพระเอกและ MJ มากกว่าส่วนบู๊ๆ ของเรื่องด้วยซ้ำ คือไม่ใช่ว่าส่วนซีนแอ็กชั่น CG จะไม่ดี แต่มีความรู้สึกว่าภาคนี้แนวทางคล้ายกับภาค 2 ของ “โทบี้ แม็คไกวร์” ซึ่งเป็นภาคที่ถือว่าดีที่สุดตั้งแต่มีการสร้างสไปเดอร์แมนมาเลย แต่ในเวอร์ชั่นนี้แค่ถูกลดอายุลงมาให้ดูเด็กกว่าทั้งคู่ ซึ่งทั้งสองคนก็เล่นเข้าขากันได้ดี มีเคมีกุ๊กกิ๊กให้กัน แม้จะไม่สวยใสแบบภาคก่อน แต่นางเอกสไปดี้คนใหม่ก็สอบผ่านเลยครับ
หนังครึ่งแรกแม้จะมีเส้นเรื่องหลายอย่างผสมกัน แต่หนังก็ทำได้ดี สนุกทั้งแอ็กชั่น ดราม่า ความรัก พร้อมทั้งขยันหยอดมุกตลกเข้ามาเรื่อยๆ จากหลายบทสมทบอย่างเพื่อนพระเอก ป้าเมย์ แฮปปี้ นิคฟิวรี่ จนแอบรู้สึกว่ายัดมามากเกินไปเหมือนกัน แต่พอเข้าช่วงครึ่งหลัง หนังกลายเป็นสูตรสำเร็จมาร์เวลธรรมดา น้ำหนักเหตุผลตัวร้ายดูง่ายเกินไป แถมยังเฉลยออกมาทื่อๆ จับยัดใส่ปากอธิบายขายตรงเหมือนทีวีไดเร็กต์ แต่ยังดีที่ CG สกิลของตัวร้ายทำออกมาได้ลึกลับซับซ้อนน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่ง “คอนเซ็ปต์ตัวร้ายในวงแคบ” แบบวัลเจอร์ที่เป็นภัยเงียบใกล้บ้านในภาคแรก ซึ่งการวางสเกลของตัวร้ายไว้ระดับพอดีๆ เสมอกันกับพระเอก เป็นส่วนที่ทำให้หนังสไปเดอร์แมนดูเข้าถึงได้ง่าย เป็นซูเปอร์ฮีโร่ของชุมชน (และคนดู) โดยไม่ต้องโม้บ้าพลังยิ่งใหญ่ ก็ดูมีพิษมีภัยน่ากลัวได้มากเช่นกัน
ครึ่งหลังของหนังมีความไม่สมเหตุผลหลายอย่างเกิดขึ้นระหว่างดู อย่างการบาดเจ็บจนพลังฟื้นตัวไม่ได้จนต้องเย็บแผล? อาวุธช่วยโลกของโทนี่มีช่องโหว่ใช้ในทางที่ผิดง่ายไปไหม? จากบทเรียนคราวก่อนกับอัลตรอนยังไม่แก้ไขอีก? แถมการโอนถ่ายเปลี่ยนมือกลับไปมาได้อย่างง่ายดาย? ซูเปอร์ฮีโร่คนอื่นหายไปไหนหมดไม่มีโผล่มาสักคน? หนังจงใจข้ามเหตุผลเหล่านี้ไป ไม่พยายามอธิบายอะไรมาก และด้วยโทนหนังที่ไม่ได้เน้นจริงจังตั้งแต่แรก แต่ดูสนุกเพลินๆ เลยพอทำใจมองข้ามไปได้อยู่ครับ
Spider-Man Far From Home จบลงตัวด้วยการตอบโจทย์สำคัญที่แม้ในเรื่องไม่ได้มีพูดไว้ “พลังอันยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่” โควทในตำนานจากภาคสไปเดอร์แมนของโทบี้ ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ก็ทำได้ดีลงตัวในแบบของทอม ทำให้ภาคนี้คงกลายเป็นภาคที่น่าจดจำของแฟนๆ สไปดี้ได้เหมือนที่โทบี้เคยทำไว้ได้เช่นกันครับ
หลังจบหนังมีเอนด์เครดิตแรกเพื่อปูไปภาคต่อไปชัดเจน ซึ่งถือว่าเป็นการพลิกโฉมการเดินเรื่องสไปเดอร์แมนในฉบับภาพยนตร์ครั้งแรกอีกด้วย เรียกว่าเป็นการปิดทิ้งทวนความน่าติดตามระดับ 10 และอาจจะโยงเป็นปลายเปิดไปยังหนังในเฟสต่อไปที่กำลังถ่ายทำกันอยู่ด้วย (อ่านจากสปอยล์ด้านล่างได้ครับ) ส่วนเอนด์เครดิตที่สองก็เผยให้เห็นแวบๆ ว่าเรื่องราวต่อไปจะเน้นไปยังห้วงอวกาศมากกว่าโฟกัสที่โลกแล้วแน่นอน ซึ่งจะเป็นทิศทางแบบไหน ต้องรอลุ้นจากหนังเรื่องต่อไปครับ
ลูกน้องของ Mysterio ปล่อยคลิปออกข่าวไปทั่วโลกว่าสไปเดอร์แมนเป็นอันตราย จากอาวุธของโทนี่สตาร์คที่ทิ้งไว้ให้ และยังเป็นคนฆ่าปิดปาก Mysterio อีกด้วย นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่าสไปเดอร์แมนคือปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ซึ่งในภาคต่อไปก็คงจะเป็นผลกระทบครั้งใหญ่ รวมถึงเปิดทางให้เหล่าตัวร้ายมารุมกินโต๊ะปีเตอร์ได้อีกด้วย
ตัวอย่าง Spider-Man: Far From Home สไปเดอร์-แมน ฟาร์ ฟรอม โฮม
ออฟฟิเชียลไซต์คลิ๊ก
อ่านรีวิวหนังเรื่องอื่นได้ที่นี่