playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์เกาหลี Start-Up (Netflix) ซีรีส์ธุรกิจที่เน้นแต่เรื่องรักจนธุรกิจเบาบางจางหายไปหมด (อัพเดท EP16 จบ)

Contents ซ่อน
Start-Up

สรุป

พล็อตเรื่องทันสมัยแปลกใหม่ของวงการสตาร์ทอัพ โดยมีพื้นฐานเรื่องราวดราม่าสุดรันทดมาเป็นแบ็คกราวด์ของเรื่อง ซึ่งทำได้ดีมากกันตั้งแต่สตาร์ทเรื่องเลย ด้วยเนื้อหาที่กินใจกระชากใจคนดูได้ตลอดเรื่อง พร้อมด้วยงานภาพมุมกล้องกับ CG ที่สวยโดดเด่นชวนหลงไหล แค่ดูภาพอย่างเดียวก็ยังคุ้มแล้วกับการรับชมเรื่องนี้ครับ

แต่ปัญหาของเรื่องคือช่วงหลังที่พาร์ทธุรกิจเริ่มไม่ค่อยมีความสำคัญ แถมบทยังให้ประสบความสำเร็จกันอย่างง่าย ปมเรื่องความรักก็ยืดเยื้อนานเกิน แถมยังเยอะจนบดบังเรื่องอื่นๆ ไปเกือบหมด แล้วก็ยังเป็นสูตรสำเร็จเกาหลีกับพระรองแสนดีน้ำเน่าไม่เปลี่ยนแปลง

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (4 votes)

Pros

  • เนื้อเรื่องลึกซึ้งกินใจจนไม่คาดคิดว่าจะเป็นแนวธุรกิจตรงๆ
  • งานภาพที่สวยโดดเด่นชวนฝันกันทุกฉาก
  • นางเอกแบซูจีจากวากาบอนด์ที่สวยใสเอามากๆ
  • ความเปิ่นของพระเอกที่ถอดมาจากพวกเนิร์ดจริงๆ
  • บทพระรองกับคุณย่าที่พาให้เรื่องซึ้งได้ทุกครั้ง
  • เรื่องราวของวงการสตาร์ทอัพเทคโนโลยีทันสมัยที่หยิบมาใช้เดินเรื่องหลักได้จริงๆ
  • ถ่ายทอดความรู้ทางธุรกิจออกมาในแบบเข้าใจง่ายให้คนดูตามทัน
  • เพลงประกอบไพเราะมาก

Cons

  • เนื้อเรื่องความรักแบบสูตรสำเร็จพระเอกพระรองที่น้ำเน่ามาก
  • เทคสตาร์ทอัพในเรื่องยังไม่ได้ถึงกับว้าวอะไรมาก (อาจจะต้องการให้คนดูเข้าใจง่ายๆ)
  • เนื้อหาธุรกิจเป็นส่วนประกอบหลักก็จริง แต่ไม่ได้ผูกไว้แบบลงลึกเข้มข้นอะไรมาก เน้นเคลียร์ปมง่ายทุกตอน แถมเบาบางลงเรื่อยๆ ไปเน้นเรื่องปมความรักเยอะกว่า
  • ช่วงหลังตัวละครทำหลายๆ อย่างไม่เมคเซนส์ต่างกับช่วงแรกมาก

ADBRO

Start-Up ซีรีส์เกาหลีลง Netflix เรื่องใหม่ที่เข้ามาแทน Stranger SS2 ที่พึ่งจบไป ว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่มสาววงการสตาร์ทอัพมุ่งสู่ฝันทำให้สำเร็จ โดยมีดราม่าสุดรันทดจากปัญหาครอบครัวในอดีตมาเป็นแรงผลักดัน พร้อมทั้งเรื่องราวความรักความทรงจำในวัยเด็กที่เป็นพหรมลิขิตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

 Start-Up (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Start-Up

รีวิวอัพเดททุกสัปดาห์จนจบ ไม่มีสปอยล์เนื้อหาจุดสำคัญของเรื่อง

ภายนอกซีรีส์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกว่าเป็นแนวธุรกิจเต็มตัว แต่กลับพบว่าจริงๆ นี่เป็นซีรีส์แนวดราม่าที่หนักหน่วงกันตั้งแต่ EP แรกเลย เพราะเรื่องราวเริ่มต้นที่นางเอก “ซอดัลมี” (รับบทโดย Bae Suzy นางเอก Vagabond) ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ตั้งแต่เด็ก ระหว่างการต้องเลือกพ่อหรือแม่ที่ต้องการหย่าร้างกัน และนำไปสู่จุดเริ่มต้นของความแค้นในตัวเธอที่มีต่อพี่สาวที่เลือกเดินคนละด้านระหว่างความฝันในอนาคตหรือความร่ำรวยที่อยู่ตรงหน้า จนกลายเป็นทางแยกของชีวิตทั้งคู่ที่ไม่อาจจะกลับมาเหมือนเดิมได้อีกครั้ง

ในอีกด้านหนึ่ง “ฮันจีพยอง” (รับบทโดย Kim Sun-Ho ) หนุ่มน้อยจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ถูกส่งออกมาเผชิญโลกภายนอกในช่วงวัยเด็ก ได้มาพบกับยายของ “ซอดัลมี” และได้รับความช่วยเหลือโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน ทั้งคู่ร่วมกันสร้างตัวละครสมมุติ “นัมโดซาน” (Nam Joo-Hyuk พระเอกจากเรื่อง The School Nurse Files ที่พึ่งฉายใน Netflix) ที่หยิบยืมมาจากชื่อเด็กในข่าวรับรางวัลเหรียญทองโอลิมปิคคณิตศาสตร์ เพื่อมาเป็นเพื่อนปลอบใจเธอกับความปวดร้าวในวัยเด็ก กลายเป็นว่าเธอโตขึ้นมาโดยหลงรักยึดมั่นในตัวนัมโดซานที่เธอไม่เคยเจอกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากจดหมายที่เขียนหากันปีเดียว และกำลังออกตามหานัมโดซานในชีวิตจริงเพื่อขอให้มาช่วยเหลือเธออีกครั้ง

drama-korea-start-upต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้มีแววดังสนั่นมากกว่าซีรีส์เรื่องไหนในช่วงนี้ ด้วยความที่ตัวเรื่องทันสมัยเล่าเรื่องราวแปลกใหม่แตกต่างจากปกติทั่วไป มีดารานำสาวสวยอย่าง Bae Suzy นางเอก Vagabond ที่เป็นขวัญใจคนไทยมากมายมาเล่นด้วย ตัวซีรีส์แค่เปิดมาตอนแรกก็สัมผัสได้ถึงความละเมียดละไมใส่ใจในทุกขั้นตอนงานสร้าง ตั้งแต่เรื่องราวที่ดูเผินๆ นึกว่าจะต่อสู้กันทางธุรกิจเป็นหลัก แต่เรื่องกลับดึงเข้าสู่ดราม่าหนักหน่วงตั้งแต่ตอนแรก (แอบให้ความรู้สึกคล้ายอีเทวอนคลาสตั้งแต่ตอนแรกเลย) พร้อมฉากสะเทือนใจตามมาติดๆ ด้วยการย้อนภาพอดีตเล่าเรื่องราวความเป็นมาของสองสาวพี่น้องที่ต้องมาแยกทางกันเพราะเรื่องความฝันกับความร่ำรวยที่กองอยู่ตรงหน้า และทั้งคู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งโดยที่นางเอกที่เลือกความฝันกลับไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย แม้แต่การเรียนก็ไม่สำเร็จ ซึ่งถือว่านางเอกในเรื่องนี้มีแบ็คกราวด์ที่ปูมาแปลกมาก และเธอก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรจะมาสู้กับพี่สาวของเธอที่เลือกเส้นทางชีวิตสบายด้วยกองเงินกองทอง และก็โตมากับความสำเร็จมีชื่อเสียงแบบง่ายๆ

ตัวเรื่องปูพื้นชีวิตของนางเอกหนักหน่วงรันทดกันสุดๆ จนจบตอนแรกไปเลย แล้วก็ไม่ได้ว่าพอตอนต่อมาจะฟื้นมาเป็นดีอะไรได้ เธอยังคงมีชีวิตที่ไม่ได้ดีขึ้น จนกระทั่งเริ่มออกตามหาเพื่อนทางจดหมายวัยเด็ก และได้กลับมาพบกันอีกครั้ง โดยที่ไม่ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วนัมโดซานมีสองคน ซึ่งตัวเรื่องวางพล็อตเก๋มากที่ให้พระเอกทั้งสองคนมีบทบาทคนละแบบในการเข้าถึงและช่วยเหลือนางเอก นัมโดซานตัวจริงเป็นหนุ่มที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตของการฝันเป็นสตาร์ทอัพ นัมโดซานตัวปลอมทางจดหมายกลายเป็นคนประสบความสำเร็จสูงสุดของวงการสตาร์ทอัพ ทั้งคู่ต้องพึ่งพาช่วยกันประคับประคองชีวิตนางเอกที่ตกตระกรำลำบาก และต้องเผชิญหน้ากับคำดูถูกจากพี่สาวที่แยกทางเดินไปตอนเด็ก

นอกจากเนื้อเรื่องที่ดราม่าหนักหน่วงกันตั้งแต่สตาร์ทแล้ว งานภาพประกอบ CG ของเรื่องนี้ก็สวยละเมียดละไมดูพลินไปกับบรรยากาศย้อนยุคของเรื่อง พร้อมกับเรื่องราวฉากในปัจจุบันที่ใช้พวกเทคโนโลยีต่างๆ มาเกี่ยวข้องรวมกับการใช้ CG มาผสมเป็นมุมกล้องแปลกใหม่เพื่อเล่าเรื่องราวผ่านภาพสวยๆ ได้อย่างไร้ที่ติเลย ยกตัวอย่างฉากขนนกที่ลอยจากนางเอกไปหาพระเอกในอีกที่หนึ่ง แสงสีในเรื่องก็เน้นสีชมพูอ่อนๆ ประกอบเรื่องตลอด จนดูเรื่องราวชวนฝันมาก ซึ่งงานสร้างละเมียดละไมแบบนี้ก็มาจากสตูดิโอดราก้อนที่ผลงานอย่าง It’s Okay to Not Be Okay ที่คนคงรู้ว่าสวยงามขนาดไหน อีกทั้งยังได้ผู้กำกับ Hotel del Luna ที่เน้นงานสร้างภาพชวนฝันมาด้วยอีกคน ในเรื่องนี้จึงกลายเป็นซีรีส์แนวดราม่าธุรกิจที่มีงานด้านภาพสวยแบบสะกดให้ผู้ชมดูได้ไม่เบื่อเลย เรียกว่าเป็นจุดขายที่ชวนให้คนดูติดได้เลยง่ายๆ

ตัวนักแสดงสมทบในเรื่องก็มีบทที่ลึกซึ้งกินใจกันตั้งแต่แรก อย่างบทพ่อของนางเอก (เล่นโดย Kim Joo-Hun จากบทเจ้าของสำนักพิมพ์ใน t’s Okay to Not Be Okay) ที่ชีวิตรันทดหดหู่ไปจนจบ และได้กลายมาเป็นเป้าหมายในชีวิตของนางเอกในภายหลังที่มาพร้อมกับความแค้น ซึ่งเขาก็เล่นได้ไม่มีที่ติแม้จะออกมาแค่ตอนแรกเต็มๆ (จากนั้นถ้ามีคงแค่แฟลชแบ็คสั้นๆ) เพียงแต่บทอาจจะดูน้ำเน่าไปนิดที่เขียนให้รันทดแบบนี้ แต่เชื่อว่ากินใจคนดูแน่นอน

อีกคนก็คือยายของนางเอกที่เต็มไปด้วยน้ำใจให้กับหนุ่มน้อยฮันจีพยอง เด็กแปลกหน้าที่บังเอิญเจอกลางสายฝน ซึ่งบทของสองคนนี้ปูเรื่องให้ลึกซึ้งกินใจจนเรียกน้ำตาคนดูได้ตั้งแต่ตอนแรกแน่นอน เรียกว่าเป็นการเปิดเรื่องที่เปอร์เฟ็กต์เอามากๆ กับฉากย้อนอดีตความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องที่ส่งผลมาถึงชีวิตในปัจจุบันที่ข้ามมาป็นตอนโตแล้ว และการกลับมาพบกันอีกครั้งของตัวละครทั้งหมดในวัยเด็ก

แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้สะดุดมีปัญหาก็คือพล็อตเรื่องที่ว่าแปลกใหม่ แต่ตัวความรักในเรื่องยังคงใช้สูตรสำเร็จที่จำเจของซีรีส์เกาหลี อย่างการที่ให้มีพระเอก พระรอง รักนางเอกคนเดียวกัน แต่บทก็แทบไม่ได้สูสีในเรื่องความรักกันจริงๆ สุดท้ายพระรองดีแค่ไหนก็ชนะใจไม่ได้ ซึ่งโอเคมันสำเร็จในแง่ที่ว่าเรียกความเห็นใจให้คนดู ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นต้นมาอย่างสวยงาม แต่กลับเดินเรื่องในสูตรเดิม แล้วก็เน้นแบบเปิดตัวเลยว่านัมโดซานที่เล่นโดย Nam Joo-Hyuk คือพระเอกตัวจริงมากกว่าแบบไม่ต้องเดา เพราะเล่นทั้งแสงสีสาดส่องและฉากสโลวโมชั่นเวลาทั้งคู่พบกันให้ดูเหมือนเป็นพหรมลิขิต ในขณะที่พระเอกอีกคนกลับไม่มีอะไรแบบนี้

เจาะลึกวงการสตาร์ทอัพในเชิงลึกแบบจริงจัง (ไม่มีสปอยล์)

ตัวเรื่องแม้จะวางตัวเป็นแนวโรแมนติกชัดเจน แต่ด้านวงการเทคสตาร์ทอัพก็มีรายละเอียดเชิงลึกที่แสดงให้เห็นเลยว่าคนเขียนบททำการบ้านมาดี เพราะชื่อตอนทุกตอนเป็นลำดับกระบวนการในวงการสตาร์ทอัพจริงๆ รวมถึงไอเดียต่างๆ ในเรื่องก็เป็นอะไรที่จับต้องได้ และยังเน้นเรื่องการระดมทุนยังไงให้สำเร็จ โดยมีเรื่องราวของบริษัทที่เป็นกลุ่มทุนในฝันของสตาร์ทอัพหน้าใหม่ในเรื่องที่ชื่อ Sandbox มาเป็นเมนหลักในเรื่องการแข่งขันก่อตั้งบริษัทจาก 0 ที่ตัวละครในเรื่องทุกคนเข้ามาเกี่ยวข้องและแข่งขันกันไปสู่จุดหมาย โดยที่ Sandbox เองก็มีเบื้องหลังความสัมพันธ์ที่สะเทือนใจกับพ่อของนางเอกในตอนแรก ทำให้เรื่องราวของเทคสตาร์ทอัพมีดราม่าลึกซึ้งกินใจผสมเข้าไปอยู่ด้วย

ย่อยความรู้ธุรกิจออกมาให้คนดูได้เข้าง่ายๆ (ไม่มีสปอยล์)

เรื่องนี้เดินเรื่องไปพร้อมกับมีศัพท์ในแวดวงธุรกิจแทรกอยู่ด้วยตลอดเวลา ซึ่งเรื่องใช้การอธิบายเป็นซับไตเติลด้านล่างเพิ่มเป็นภาษาเกาหลี แต่น่าเสียดายที่ตรงนี้ไม่ได้มีการแปลออกมา แต่ว่าก็มีการอธิบายจากตัวละครในเรื่องไปพร้อมกันด้วย และยังให้โดซานเป็นคนอธิบายสอนนางเอกเกี่ยวกับศัพท์ต่างๆ ในเรื่องไอทีเพิ่มแบบน่ารักๆ ทำให้คนดูไม่ต้องกังวลว่าดูเรื่องนี้แล้วจะงง ไม่มีแน่นอนครับ

พล็อตเรื่องสูตรสำเร็จ แต่กลับคาดเดาไม่ได้ (ไม่มีสปอยล์)

อย่างที่กล่าวมาข้างต้น แม้เรื่องราวความสัมพันธ์และดราม่าต่างๆ ใน Start-Up อาจจะดูดราม่าสูตรสำเร็จเพื่อให้บิ้วตัวละครกันตั้งแต่แรก กับความสัมพันธ์ของนางเอกกับพี่สาวที่แยกทางกันไปก่อนจะกลายมาเป็นศัตรูกัน รวมถึงเรื่องราวความรักผิดฝาผิดตัวกับพระเอกสองคน แต่เรื่องกลับไม่เดินไปเป็นเส้นตรงอย่างที่วางไว้ เหมือนคนเขียนบทจงใจให้คนดูหลงคิดว่าจะเป็นไปตามสูตร แต่กลับเลือกเส้นทางใหม่ให้ทั้งสองเรื่องในตอนต่อมาแบบหักลำทันที ซึ่งถือว่าว้าวมากกับการที่รีเซ็ทปมดราม่าทั้งสองเรื่องขึ้นมาในแนวทางใหม่ อีกทั้งยังทำให้บทของพี่สาวนางเอกมีความลึกขึ้นมาทันที อาจจะดูเป็นตัวร้ายในตอนแรก แต่ต่อมากลับมีเรื่องราวที่น่าเห็นใจ ไม่แพ้ปมดราม่าของนางเอกที่ตกเป็นเบี้ยล่างในตอนแรกได้เลยเหมือนกัน

อัพเดท แต่ส่วนนี้ต้องบอกว่าพอช่วงครึ่งหลังของเรื่องไป ตัวเรื่องสายธุรกิจค่อนข้างเส้นตรงมีแต่การประสบความสำเร็จ เนื้อเรื่องแนวอุปสรรคที่ปูมาตอนแรกจางหายไปหมด จนทำให้เรื่องไม่เหลืออะไรนอกจากความรักที่พยายามลากยาวไปจนจบเรื่อง

คาแรกเตอร์พระเอกที่ถอดมาจากสายเนิร์ดตัวจริง (ไม่มีสปอยล์)

ปกติโดยทั่วไปพระเอกซีรีส์เกาหลีต้องเน้นหล่อเนี๊ยบ เก่ง มีความมั่นใจในตัวเอง แต่เรื่องนี้นัมโดซาน (ตัวจริง) กลับเป็นอะไรที่ตรงข้ามเรื่องเหล่านี้เลย (ยกเว้นแค่เรื่องหล่อ) โดยถอดเอาบุคลิกพวกนักพัฒนาเบื้องหลังเทคจริงๆ มาใส่ไว้ ซึ่งก็คือ หนุ่มสายเนิร์ดที่ไม่เคยมีแฟน พูดคุยกับผู้หญิงไม่เป็น ขาดทักษะการเข้าสังคม แม้แต่ในครอบครัวเองก็มีปัญหาการสื่อสาร รวมถึงการที่ชอบคิดอะไรเป็นโลจิกทางวิทยาศาสตร์กับคอมพิวเตอร์ไปหมด ไม่เข้าใจการเปรียบเทียบในเชิงปรัชญาหรือควมเชื่อต่างๆ ทุกอย่างต้องถอดออกมาเป็นสมการจับต้องได้เท่านั้น ซึ่งทำให้บุคลิกพระเอกกลายเป็นเปิ่นๆ ขำๆ เมื่อต้องมามีความรักหรือการเข้าสังคมในการเริ่มต้นสตาร์ทอัพในเรี่อง อีกทั้งยังดูน่าสงสารไปด้วยเมื่อเขากลายเป็นคนที่มีความสามารถ มีฝันในทางธุรกิจ แต่กลับไม่มีความสามารถในการบริหารเรื่องเหล่านี้ได้ จนน้อยเนื้อต่ำใจในความสามารถของตัวเองที่มีขีดจำกัด ซึ่งตัวเรื่องทำมาจากความจริงที่ว่านักพัฒนาเบื้องหลังทั้งหลาย แม้มีไอเดียกับความสามารถประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ๆ แต่กลับขาดสกิลในด้านการบริหาร การตลาด โมเดลธุรกิจ จนถ้าอยากสำเร็จได้ก็ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนสายบริหารมาอุดช่องโหว่นี้

ปมจดหมายในอดีตที่แสนอึดอัดตลอดเรื่อง (ไม่มีสปอยล์)

เนื้อเรื่องวางปมการโกหกของโดซานกับจีพยองไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งต่อมากลายเป็นเรื่องโกหกที่ถลำลึกขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออดีตที่ดัลมีประทับใจคือจีพยอง แต่โดซานตัวจริงคือปัจจุบันที่ออกรับหน้าที่นี้แทน ซึ่งคนเขียนบทเก่งมากที่วางจังหวะดราม่าจากเรื่องโกหกแค่ผ่านๆ ในตอนแรกให้กลายเป็นดราม่าที่อึดอัดทุกครั้งที่โดซานต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ความหลังของดัลมีคือจีพยองไม่ใช่เขา แล้วก็ต้องทนโกหกกับสร้างเรื่องโกหกต่อไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้อยู่ดัลมีต่อไป

ในขณะที่จีพยองที่ถูกวางเป็นพระรองก็ถูกทำให้อึดอัดตลอดเวลาที่ต้องโกหกดัลมี รวมถึงโกหกใจตัวเองด้วยเริ่มรู้สึกชอบดัลมีขึ้นมาเรื่อยๆ รวมถึงเห็นใจในความลำบากที่เธอต้องเจอมาตลอด ซึ่งคนดูคงรู้สึกอึดอัดในแบบเดียวกันเวลาถึงฉากที่ทั้งสองคนนี้ต้องโกหกกับดัลมีเสมอ ต้องยอมรับเลยนี่เป็นทั้งปมลุ้นและจุดดึงดูดที่สุดของเรื่องเลยก็ว่าได้ ว่าเรื่องราวจะคลี่คลายออกมาได้ยังไงให้ดีที่สุด โดยไม่ทำร้ายจิตใจตัวละครทั้งคู่ซึ่งคนดูตามเชียร์เยอะพอกัน

ปมนี้ยืดยาวมากจนถึง EP10 ถึงค่อยจบลงได้ครับ

พระรองดังกว่าพระเอก

แม้ว่าเรื่องนี้จะวางพระเอกไว้แน่ชัดว่าเป็นนัมโดซานตัวจริงที่เล่นโดย Nam Joo-Hyuk ทั้งแสงสี ฉากโรแมนติกต่างๆ ก็เทให้ชัดเจน แต่คนเขียนบทก็ยังสร้างเรื่องราวของพระรองให้น่าติดตาม จนคนดูเอาใจช่วยบทพระรองที่ไม่รู้ใจตัวเอง (และก็พาลไม่ชอบพระเอกไปด้วย) ซึ่งถือว่าบทยังพอสูสีให้คนดูลุ้นเชียร์ได้ตลอดทุกตอน จนลามมาถึงนอกจอที่พระเอก Kim Sun-Ho มีแฟนติดตามเพิ่มขึ้นมากมายแบบแจ้งเกิดจากเรื่องนี้ไปแล้ว

ฉากของพระรองกับคุณย่าคือสิ่งที่ดีสุดของเรื่องนี้

นอกจากเรื่องความรักวัยเด็กของจีพยองแล้ว บทที่วางไว้ตั้งแต่เด็กคือเด็กกำพร้าที่บังเอิญได้มาพบคุณย่าของดัลมี จนกลายเป็นความผูกพันแน่นแฟ้นตลอดเรื่อง ซึ่งทุกฉากที่ทั้งคู่มาเจอกันคือดีงามมาก จนถึงขั้นเป็นเบสซีนฉากที่ดีที่สุดในแทบทุกตอน ทั้งการดึงอารมณ์ให้คนดูอินน้ำตาไหลกับความรัก ความสะเทือนใจ ความอบอุ่น ที่ทั้งสองคนมีให้แก่กัน รวมถึงการแสดงของจีพยองในวัยเด็กถ่ายทอดมาตอนโตได้แบบไม่มีผิดเพี้ยนไปเลย แม้เรื่องความรักปกติจีพยองอาจจะไม่ได้สมหวัง แต่ความรักของเขากับคุณย่าคือสิ่งดีงามที่สุดของเรื่องนี้แล้วครับ

จบช่วงดราม่าเก่าทั้งหมดที่ EP12 ก่อนสตาร์ทเรื่องใหม่ (ไม่มีสปอยล์)

ตัวเรื่องวางดราม่าผูกโยงกันไว้มากมาย แต่ปมทั้งหมดก็แทบคลายไปเรียบร้อยแล้วหลังจบ EP12 ซึ่งถือว่าเรื่องนี้เปิดปมแล้วปิดปมต่างๆ ได้รวดเร็วไม่เยิ่นเย้อ ยกเว้นปมจดหมายในอดีตที่ลากยาวมาถึง 10 ตอนจนทำเอาคนดูส่วนหนึ่งเริ่มเบื่อปมนี้ไปเหมือนกัน แต่หลังจากจบเรื่องนั้นตัวเรื่องก็เข้าสู่ช่วงพาร์ทธุรกิจที่ยกระดับจริงจังขึ้นพอสมควร และก็ผูกเอาเรื่องจริงของการเข้าซื้อบริษัทของนักลงทุนที่กลับกลายเป็นความโหดร้ายต่อทีมงานเอามากๆ เข้ามาด้วย ถือว่าซีรีส์แม้จะไม่ได้มีเรื่องเชิงลึกทางการทำธุรกิจมากนัก แต่ก็หยิบเอาใช้ประกอบเข้ากับเรื่องราวได้ลงตัวพอสมควร และก็ทำให้เกิดปมดราม่าใหม่ขึ้นมาแทนที่ปมเก่า และส่งเรื่องไปยังทิศทางใหม่หลังจากจบ EP12 ที่เหมือนช่วงพักยกในตอนนี้ครับ

เนื้อเรื่องช่วงหลังคือจุดด้อยอย่างรุนแรงของเรื่องนี้ (มีสปอยล์บางส่วน)

ตัวเรื่องเริ่มด้วยธุรกิจและความรักความฝันปูมาสม่ำเสมอกันอย่างดี แต่แล้วพาร์ทธุรกิจก็ค่อยๆ ลดบทบาทจนแทบไม่มีความสำคัญอะไรกับเรื่อง อีกทั้งบทยังให้ทีมตัวเอกก้าวกระโดดทำอะไรก็สำเร็จไปหมด จนแทบไม่เห็นความลำบากของการวางตัวเป็นซีรีส์ธุรกิจสตาร์ทอัพในความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย (ปกติสตาร์ทอัพเต็มไปด้วยเรื่องล้มลุกคลุกคลานกว่านี้มาก) 
นอกจากนี้พาร์ทความรักในเรื่องที่จงใจปั้นให้เกิดดราม่าพระรองเด่นกว่าพระเอก เพื่อทำให้เกิดรักสามเส้าที่ตัวบทก็เหมือนเขียนไว้แกล้งให้พระรองไม่ไปไหนก็น่าอึดอัดจนเกินเหตุ อีกทั้งยังพยายามใส่แต่เส้นเรื่องความรักเข้ามาเกี่ยวข้องกับทุกอย่าง จนกลายเป็นตัวละครตัดสินใจทำอะไรก็มีแต่ความรักมาเกี่ยวข้องด้วยไปหมด ยิ่งทำให้พาร์ทของธุรกิจที่หดหายลงเรื่อยๆ แล้วกลายเป็นจางลงไปอีก เพราะทุกอย่างสำเร็จหรือไม่สำเร็จไม่ใช่แนวกลยุทธ์วางแผนธุรกิจแบบตอนแรกอีกต่อไป แต่กลายเป็นความรักเป็นตัวตัดสินธุรกิจในเรื่องแทน
นอกจากนี้ช่วง 3 ปีผ่านไปตั้งแต่ E13 ตัวละครในเรื่องกลับมีหลายอย่างไม่เมคเซนส์เข้ามาเต็มไปหมด ทั้งเรื่องบังเอิญที่พยายามให้พระเอกนางเอกกลับมารักกันตามสูตร เป็นอะไรที่ใช้ซ้ำบ่อยมาก ทั้งยังใส่ซีนโรแมนติกยืดยาวเกินความจำเป็นเข้ามามากมาย แม้แต่เอนด์เครดิตที่ปตกิจะเป็นฉากลับน่าสนใจก็ยังกลายเป็นแต่เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เหมือนการรีเพลย์เรื่องซ้ำแบบหมดมุกจนเกินไป

ตอนจบของเรื่องที่สุดราบเรียบ (ไม่มีสปอยล์)

สำหรับเรื่องนี้กราฟความลุ้นอะไรต่างๆ ดิ่งลงมาเรื่อยๆ จนแทบจะเป็นซีรีส์ที่ขายความรักโรแมนติกล้วนๆ มากกว่าจะเป็นแนวธุรกิจ และความรักในเรื่องนี้ก็เหมือนล็อคสเป็คว่ายังไง พระเอกก็คือพระเอก นางเอกยังไงก็ไม่หนีไปไหน พระรองก็คือพระรอง ซึ่งกลายเป็นเรื่องไม่เหลืออะไรให้ลุ้นเลยสักนิด ตัวเรื่องพยายามเคลียร์ปมต่างๆ เอาใจคนดูแบบแฮปปี้เอนดิ้งทุกเรื่อง ซึ่งก็ออกมาดีในแง่ของการจบแนวฟีลกู๊ดให้คนดูรู้สึกดี แต่ก็รู้สึกว่ามันราบเรียบเกินไปหน่อย แม้แต่ปมใหญ่ๆ อย่างเรื่องแฮกเกอร์ตัวร้ายเป็นใครก็จบแบบง่ายๆ ทั้งๆ ที่พยายามปูมาตั้งแต่แรก แต่พอตอนจบก็จบแบบเบาบางแทบไม่รู้สึกว่าเป็นปมสำคัญกับเรื่องเลย แต่โดยรวมก็ถือว่ายังจบได้ดีครับ แต่แค่ไม่เท่ากับตอนแรกที่ซีรีส์เปิดตัวได้อย่างสวยสดงดงามมาก

 

 

เพลงประกอบ Start-Up ที่ไพเราะติดหู

ตัวซีรีส์ฉายหลังสามทุ่มไปทุกคืนวันเสาร์และอาทิตย์ มีทั้งหมด 16 ตอนจบ

อ่านรีวิวซีรีส์เกาหลี Original Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!