รีวิว Stateless เรื่องจริงของปัญหาละเมิดสิทธิมนุษย์ชนคนลี้ภัยในประเทศประชาธิปไตยเต็มใบ
Stateless คนไร้ชาติ
สรุป
ตัวเรื่องเป็นแนวดราม่าเต็มสูบ ถือว่าดูได้เรื่อยๆ ความยาวก็แค่ 6 ตอนจบสั้นๆ ตอนละ 50 นาทีกว่า เรื่องไม่ได้มีจุดพีคอะไรมากนัก แค่พอประมาณนึงเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้ออกแนวรุนแรงเหมือนพวกหนังเชลยในค่ายกักกัน หรือพวกแนวคนคุกถูกทารุณกรรม แต่ก็มีความรุนแรงกับบางสิ่งบางอย่างที่ถือว่าเป็นปัญหาหนักในประเทศที่เคารพสิทธิมนูษย์สูงแบบนี้ครับ
Overall
6.5/10User Review
( vote)Pros
- นำเสนอชีวิตในค่ายกักกันผู้ลี้ภัยจากของจริง
- ปัญหาละเมิดสิทธิมนุษย์ชนในประเทศประชาธิปไตยเต็มใบ
- อ้างอิงจากเรื่องจริงของพลเมืองออสเตรเลียเองที่ไปติดอยู่ในค่ายของประเทศตัวเอง
- มุมมองรอบด้านกับปัญหาผู้ลี้ภัยในประเทศออสเตรเลีย
- ความกดดันของคนทำงานในค่ายกักกันที่เปลี่ยนคนปกติให้กลายเป็นคนรุนแรงโดยไม่รู้ตัว
Cons
- เรื่องไม่ได้มีจุดพีคบิ้วอารมณ์ดราม่าสักเท่าไหร่
- ตอนจบค้างคาปัญหาบางเรื่องไว้ไม่มีบทสรุปแบบเคลียร์ทั้งหมด
Stateless คนไร้ชาติ ซีรีส์ Netflix ที่สร้างอ้างอิงจากเรื่องจริงของค่ายกักกันผู้ลี้ภัยในออสเตรเลีย ที่กำลังประสบปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษย์ชนจากผู้ลี้ภัยจำนวนมาก
ตัวอย่าง Stateless คนไร้ชาติ
ซีรีส์เรื่องนี้แบ่งตัวละครหลักออกเป็น 3 มุมมอง จากผู้ลี้ภัย จากผู้คุม จากนักข่าวและผู้ที่พยายามช่วยเหลือผู้ลี้ภัย ซึ่งบทที่อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงในเรื่องจะเป็นของผู้ลี้ภัยคนหนึ่ง ซึ่งติดอยู่ในค่ายกักกันนี้แม้ตัวเธอเองจะถือสัญชาติออสเตรเลียอยู่แล้ว แต่ด้วยความผิดพลาดจากการตรวจสอบทำให้เธอมาติดอยู่ที่นี่มีชะตากรรมเดียวกันผู้ลี้ภัยตัวจริง และในเรื่องเธอก็มีบทบาทเหมือนเป็นนางเอกหลักของเรื่องด้วยเช่นกัน
ตัวเรื่องเล่าจากมุมมอง 3 ฝ่ายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกันในค่ายกักกันแห่งนี้ทั้งหมด โดยเรื่องฝ่ายของผู้ลี้ภัยจะแบ่งเป็น 2 ตัวละครหลักคือ โซฟีนางเอกที่กล่าวไปข้างต้น กับอาเมียร์ที่เป็นครูจากอัฟกานิสถาน ที่พยายามพาครอบครัวหนีภัยสงครามมายังประเทศออสเตรเลียนี้ ซึ่งอาเมียร์จะนับถือมุสลิม และมีความศรัทธาในพระเจ้า แต่กลับต้องมาเจอชะตากรรมรันทดหดหู่ต่อเนื่องกันไม่หยุดในค่ายแห่งนี้ ตัวเรื่องของอาเมียร์แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการเข้าเมืองผิดกฎหมายโดยละเอียด นำเสนอปัญหาตั้งแต่ต้นทาง มาจนถึงปัญหาในค่ายที่ต้องมีการตรวจสอบประวัติยิบๆ และอะไรที่เป็นจุดด่างพร้อยส่อว่ามีปัญหานิดหน่อยจะถูกตัดสิทธิ์วีซ่าลี้ภัยทันที นั่นทำให้อาเมียร์ที่ลักลอบเข้าเมืองมาแบบผิดๆ กลับต้องมาเจอปัญหาที่ไม่สามารถเล่าออกมาตรงๆ ได้เพราะจะกลายเป็นอาชญากรไปในทันที แม้เขาจะแค่ตั้งใจช่วยครอบครัวให้รอดก็ตามที
ส่วนโซฟีตัวเอกหลักของเรื่องที่ออกมาบ่อยสุด ก็มีปมปัญหาในจิตใจจนส่งผลไปถึงอาการทางจิต บวกกับการพบเจอเรื่องร้ายแรงมาก่อนหน้านี้ ทำให้เธอหนีเตลิดออกมาจากครอบครัว ทั้งที่ตัวเธอเป็นแอร์โฮสเตสหน้าที่การงานดี ก่อนจะมาติดอยู่ในค่ายด้วยความผิดพลาดบวกจงใจหลบซ่อนตัว จนกลายเป็นคนหายสาบสูญ ตัวเรื่องจะค่อยๆ เล่าว่าเธอต้องเจอกับอะไรมาบ้างถึงมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ รวมถึงอาการทางจิตของเธอเกิดขึ้นได้อย่างไร และค่ายผู้ลี้ภัยแบบนี้รับมืออย่างไรกับคนที่ใกล้บ้า แล้วต้องมาอยู่ที่ขาดอิสระจนกลายเป็นบ้าได้ทุกคนอย่างนี้ ตัวเรื่องจะเฉลยทีละนิดๆ จนถึงตอนจบก็จะทราบเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งส่วนนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นอีกด้วยครับ และก็เป็นข่าวใหญ่ส่งผลให้ศูนย์ผู้ลี้ภัยที่มีค่ายกักกันในออสเตรเลียทั้งหมดถูกตรวจสอบปรับปรุงครั้งใหญ่ในทันที
ตัวมุมมองนักข่าวในเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นธรรมมากที่สุด ตัวเรื่องไม่ได้นำเสนอว่าสื่อกระหายข่าว แต่สื่อพยายามเจาะลึกเข้าไปหาข้อมูลภายในเพื่อเป็นกระบอกเสียงช่วยเหลือคนที่ติดในนั้น แม้จะใช้วิธีที่ผิดๆ ก็ตาม ซึ่งมุมมองนี้จะพ่วงกับกลุ่มแม่ชีที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือให้ที่หลบซ่อนคนหนีเข้าเมือง และใส่ตัวละครพี่น้องที่ทำงานแตกต่างกันในเรื่องนี้ โดยพี่สาวเป็นฝ่ายพยายามหาทางช่วยผู้ลี้ภัยให้หลุดหนีจากค่ายได้ แต่ตัวน้องชายกลับเป็นผู้คุมในนี้ที่ต้องรักษากฎไว้เพื่อรักษาการงานให้มั่นคงเลี้ยงครอบครัว เรื่องจึงนำเสนอความขัดแย้งของทั้งสองคนนี้และก็บอกเล่าคนละมุมมอง โดยไมไ่ด้ตัดสินว่าใครทำถูกหรือผิด แต่สุดท้ายผลลัพธ์ของการกระทำจะออกมาเอง
สุดท้ายกับมุมมองของผู้คุมค่ายกักกัน ตัวเรื่องกำหนดตัวละครไว้ 2 คน แคล์กับแคม ซึ่งแคล์คือหัวหน้าค่ายที่พึ่งมารับช่วงต่อ โดยมี สส. หนุนหลังให้เธอมาทำงานนี้เพื่อช่วยเคลียร์ปัญหาภาพลักษณ์ไม่ดีจนตกเป็นข่าว ซึ่งแคล์จะเป็นมุมมองของฝ่ายบริหารที่ต้องพบกับความกดดันเชิงนโยบายจากเบื้องบน และการตัดสินใจที่หมิ่นเหม่กับชะตากรรมของผู้ลี้ภัยอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังต้องพยายามรักษาตำแหน่งนี้ไว้กับตัวให้ได้ แม้จะมีเรื่องปวดหัวและความผิดพลาดเกิดขึ้นทุกวัน
แคมคือผู้คุมที่สมัครเข้ามาทำงานนี้ใหม่ และมีพี่สาวอยู่ฝ่ายต่อต้านค่ายกักกันแห่งนี้ ซึ่งแคมจะเปิดตัวมาบทคนที่จิตใจดี พยายามช่วยเหลือผู้ลี้ภัยให้มีชีวิตและความสุขในที่แห่งนี้ แต่ว่าพอทำงานไปเรื่อยๆ ก็เริ่มซึมซับความรุนแรงจากเพื่อนร่วมงาน และปัญหาที่เกิดขึ้นกดดันจนทำให้เขาค่อยๆ เปลี่ยนไป ซึ่งตัวเรื่องตรงนี้สะท้อนปัญหาคนที่มีอำนาจในมือแม้เริ่มแรกมาจะตั้งใจดี แต่พอนานวันอำนาจที่มีอยู่ก็เปลี่ยนคนนั้นให้กลายเป็นเลวร้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ และก็กลายเป็นทำเพื่อเงินโดยไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น
ตัวเรื่องเป็นแนวดราม่าเต็มสูบ ถือว่าดูได้เรื่อยๆ ความยาวก็แค่ 6 ตอนจบสั้นๆ เรื่องไม่ได้มีจุดพีคอะไรมาก แล้วก็ไม่ได้ออกแนวรุนแรงเหมือนพวกหนังเชลยในค่ายกักกัน หรือพวกแนวคนคุกถูกทารุณกรรม แต่ก็มีความรุนแรงกับบางสิ่งบางอย่างที่ถือว่าเป็นปัญหาหนักในประเทศที่เคารพสิทธิมนูษย์สูงแบบนี้ครับ
ท้ายสุดนี้ใครสนใจปัญหาคนลี้ภัยอยากแนะนำให้รับชมเรื่องนี้ใน Netflix ครับ ถือว่าดีมากๆ และสร้างจากเรื่องจริงเหมือนกันด้วย >> Unorthodox เส้นทางนอกรีต สังคมยิวในนิวยอร์ค คนชายขอบใจกลางโลกยุคใหม่