playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Stranger Things ซีซั่น 3 ปีศาจร้ายในโลกทุนนิยม VS. ปีศาจร้ายในโลก Upside Down (ไม่สปอยล์)

Stranger Things ซีซั่น 3 ปีศาจร้ายในโลกทุนนิยม VS. ปีศาจร้ายในโลก Upside Down

สรุป

หนังยังคงเดินเรื่องด้วยจังหวะ Stranger Things แบบเดิมไม่เปลี่ยน แต่เพิ่มเส้นเรื่องราวใหม่ๆ และตัวละครใหม่เข้ามา ซึ่งทำได้ดี แต่ที่ไม่ดีก็คือการยึดสูตรสำเร็จแบบเดิมมากไปจนกระทั่งตอนจบนี่แหละ

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
4.25 (4 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • เริ่มมาก็สนุกและเข้าเรื่องราวไว
  • เส้นเรื่องราวใหม่ทำได้ดี
  • ตัวละครใหม่เอริก้ากับโรบินน่าจดจำ
  • หนังมีช่วงที่พาคนดูไปถึงจุดสยองขวัญได้เต็มตัว

Cons

  • หนังใช้พลังพิเศษของแอลมากจนจำเจ
  • CG สัตว์ประหลาดท้ายเรื่องดูหลอกๆ
  • ฉากไคลแม็กซ์ต่อสู้ครั้งสุดท้ายดูธรรมดาไป
  • ความรักวัยเด็กยังดูเก้ๆ กังๆ

รีวิว Stranger Things 3 สเตรนเจอร์ ธิงส์ 3 ซีรีส์ยอดนิยมอันดับ 1 ของ Netflix (รับชมได้ที่นี่) ที่หยิบจับความรู้สึกโหยหาอดีตแบบ Nostalgia มาผสมกับธีมสยองขวัญกึ่งไซไฟได้อย่างลงตัว จนกลายเป็นเทรนด์ให้มีหนังแนวเดียวกันนี้ตามมาอย่าง IT หรือแม้แต่ Rim of the world ของเน็ตฟลิกซ์เองก็ยังแทบก็อปกันมา แต่ก็ไม่ใช่ว่าแค่ก็อปมาจะได้ผล หนังยังต้องพึ่งเสน่ห์ของนักแสดง บทที่ดี ไอเดียที่ฉลาดสร้างสรรค์ สามารถขุดเอาเรื่องราวในความทรงจำของคนดูที่ผ่านยุคนั้นมาใช้ได้อย่างไม่เชย แถมยังดูสนุกได้อย่างที่ซีรีส์ Stranger Things ทำมาทั้ง 3 ซีซั่น

ใครยังไม่เคยดูแล้วอยากลัดมาซีซั่น 3 ดูเล่าเนื้อเรื่องสรุป 2 ซีซั่นจากน้าต๋อยเซมเบ้ในวิดีโอด้้านล่างนี้ได้ครับ

Stranger Things ซีซั่น 3 เรื่องราวเริ่มต้น 1 ปีหลังจากแอลได้ปิดประตูมิติในห้องทดลองลับของรัฐบาลไป แต่แล้วก็มีคนพยายามเปิดประตูมิติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง! ซึ่งตอนจบท้ายสุดของซีซั่น 2 หนังฉายให้เห็นว่าเจ้าปีศาจ Demogorgons บอสใหญ่หรือที่เด็กๆ เรียกว่า “จอมเปิดโปง” ยังคงอยู่ในโลกกลับด้าน Upside down ที่ซ้อนทับกับเมือง Hawkins เป็นโลกคู่ขนานที่รอการกลับมาอีกครั้ง หนังภาคนี้ได้พาเรากลับไปยังโลกยุค 80 เหมือนเช่นเคย โดยโฟกัสไปยังช่วงเวลาในปี 1985 ก่อนวันชาติอเมริกา 4 กรกฎาคม ซึ่งเป็นปีที่มีปรากฎการณ์สำคัญอย่างการมาของโค๊กรสใหม่ New Coke (อ่านรายละเอียดท้ายรีวิว) หนังดังอย่าง Back to the Future (ชื่อไทย เจาะเวลาหาอดีต) และการมาของห้างสรรพสินค้าใหญ่ที่รุกเข้าไปยังเมืองเล็กๆ ในอเมริกา ซึ่ง Hawkins เมืองสมมุติในเรื่องก็หนีไม่พ้นการมาของห้างยักษ์ใหญ่ สตาร์คอร์ท (Starcourt) ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนทุนนิยมสร้างชาติของอเมริกาให้รุ่งโรจน์ แต่อีกด้านก็คือภัยร้ายต่อเศรษฐกิจของชาวเมืองปลาใหญ่กินปลาเล็ก” ทำให้ร้านค้าในเมือง Hawkins เดือดร้อนจนต้องปิดตัวลงตามๆ กัน หนังใช้การมาห้างสรรพสินค้าเป็นเหมือนการมาของปีศาจ Demogorgons ที่เริ่มครอบงำผู้คนให้ตกเป็นทาสของมันทีละคนๆ ซึ่งสตาร์คอร์ทนี้เองที่เป็นจุดเริ่มและจุดจบของเนื้อเรื่องหลักในซีซั่นนี้
Stranger Things ยังคงใช้การแบ่งกลุ่มตัวละคร กระจายเนื้อเรื่องไปให้ทุกกลุ่มได้ความสำคัญพอๆ กัน โดยกลุ่มของไมค์ วิลล์ ลูคัส / แอล แม็กซ์ ยังคงเป็นแนวทางการเล่าเรื่องตามหาที่มาของปีศาจ Demogorgons ตรงๆ เช่นเดิม ซึ่งเรื่องราวก็จะดำเนินไปไม่ต่างกับซีซั่นก่อนๆ วิลล์เริ่มรับรู้การมาถึงของจอมเปิดโปงเป็นระยะๆ ก่อนที่แอลและทุกคนจะเริ่มพบกับความผิดปกติอื่นๆ ตามมา โดยผสมเรื่องราวปัญหาความรักวัยรุ่น การมีแฟนครั้งแรกของไมค์กับแอล ในมุมมองที่ต่างกันของผู้ชายและผู้หญิง โดยต่างคนก็ได้ที่ปรึกษาเป็นลูคัสกับแม็กซ์ที่เป็นแฟนกันมาก่อนด้วย (ซึ่งดูไม่ค่อยเข้ากันเลย) เรื่องราวปัญหาหัวใจวัยรุ่นนี้เป็นส่วนสำคัญที่โยงเรื่องไปถึงจิม (Jim Hopper) หัวหน้าตำรวจหุ่นหมี และเป็นพ่อบุญธรรมของแอลที่เครียดหนักกับการที่แอลเป็นแฟนกับไมค์ ทั้งยังพยายามแข็งข้อกับเขาตามประสาวัยรุ่น ซึ่งจิมก็ต้องมาขอคำปรึกษากับจอยซ์ (Joyce Byers) จนกลายมาเป็นอีกคู่ที่เริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กัน พร้อมกับสืบเรื่องราวปริศนาในเมืองอีกเส้นทาง ซึ่งล้อกับเรื่องราวในแบบหนังคนเหล็ก 2029 ที่ฉายเมื่อปี 1984 ตรงกับเรื่องราวการทดลองครั้งแรกของรัสเซียตอนเปิดเรื่องด้วย หนังเล่นกับการไล่ล่าของชายปริศนาที่รูปร่างหน้าตาท่าทางแทบจะถอดแบบมาจากอาร์โนลด์ที่เล่นเป็นหุ่นเหล็กเทอมิเนเตอร์ โดยเขาจะไล่ล่าสังหารจิมกับจอยซ์ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งทำให้หนังมีเส้นเรื่องใหม่ แนวทางแอ็กชั่นใหม่ๆ ที่น่าสนใจ เป็นเหมือนมินิบอสอีกตัวเพิ่มจากปีศาจร้าย  Demogorgons 

โจนาธาน (Jonathan Byers) กับแนนซี่ (Nancy Wheeler) ได้บทพิสูจน์ความรักของทั้งคู่จากงานในสำนักข่าวท้องถิ่นในเมือง ซึ่งโจนาธานเป็นช่างภาพ แนนซี่เป็นพนักงานบริการในออฟฟิซ ที่โดนโขกสับเหมือนคนใช้ดีๆ นี่เอง แต่ด้วยความที่เธอมีความฝันอยากเป็นนักข่าว จึงได้พยายามตามสืบเรื่องราวประหลาดที่เกิดกับหนูในเมือง ซึ่งขัดกับหน้าที่ในออฟฟิซที่มีแค่ชงกาแฟไปวันๆ หนังทำให้เห็นสังคมอเมริกันที่เน้นชายเป็นใหญ่ในยุคนั้นได้ดี ผู้หญิงที่พยายามพิสูจน์ตัวเองว่ามีความสามารถแค่ไหน ก็ยากที่จะฝ่าการกีดกันทางสังคมหน้าที่การงานไปได้ และความพยายามสืบข่าวทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของแนนซี่ ทำให้โจนาธานรู้สึกกำลังพาให้เขาตกงานไปด้วย ซึ่งบ้านของโจนาธานก็กำลังถูกขาย จอยซ์ผู้เป็นแม่ไม่อาจรับภาระไหว นั่นเป็นเหตุให้ทั้งคู่เกิดรอยร้าวในใจขี้น หนังสร้างคู่นี้เพื่อให้เห็นปัญหาความรักในวัยทำงานที่ต่างจากเด็กๆ อย่างไมค์กับแอลที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่ของโจนาธานกับแนนซี่คือตัวชี้เป็นชี้ตายว่าเขาและเธอจะฝ่าฟันอุปสรรคทางสังคมจนเป็นคู่รักได้ต่อไปหรือไม่ แม้ส่วนดราม่าของทั้งคู่ดูจะธรรมดาไปนิด แต่ส่วนการผจญภัยขที่ทั้งคู่ต้องเจอนี่คือ เดอะเบสต์ของความสยองที่สุดของเรื่อง” ซึ่งให้อารมณ์น่ากลัวแหวะๆ แบบพวกหนังผีเข้าเอ็กซอร์ซิสต์ผสมกับหนังสัตว์ประหลาดอย่าง The Blob (ชื่อไทย เหนอะเคี้ยวโลก) และพวกหนังเอเลี่ยนสิงร่างกลืนร่างในอดีต หนังทำได้น่ากลัวแบบที่คิดว่าถ้าเอาจริงๆ Stranger Things สามารถกลายเป็นหนังสยองขวัญเต็มตัวเลยก็ได้ แต่เมื่อยังต้องจับกลุ่มผู้ชมทุกวัย ก็เลยต้องมียั้งๆ ไว้อยู่เหมือนเดิม…

stranger things 3 รีวิว Monster
สัตว์ประหลาดตัวใหม่ใน สเตรนเจอร์ ธิงส์ 3 – stranger things 3 รีวิว Monster

แต่กลุ่มที่สนุกแบบแปลกใหม่และน่าติดตามที่สุดคือ กลุ่มของดัสตินกับสตีฟ (Steve Harrington) ที่ได้เส้นเรื่องแยกออกไปตามสืบเรื่องราวของรัสเซียในห้างสตาร์คอร์ท ซึ่งหนังก็ฉายภาพรัสเซียในขณะนั้นจากมุมมองอเมริกาด้านเดียว ซึ่งยุคนั้นรัสเซียปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์เต็มใบ อเมริกาได้สร้างภาพให้รัสเซียเป็นภัยร้ายบ่อนทำลายอเมริกา ซึ่งหนังก็หยิบจับมาเล่นแบบตรงไปตรงมาตามธีมของเรื่อง ปีศาจ = คอมมิวนิสต์ โดยฉายให้เห็นภาพชั่วร้ายตั้งแต่เริ่มเรื่อง เป็นการทดลองเปิดประตูมิติที่รัสเซีย ก่อนจะเชื่อมโยงมาถึงอเมริกา มายังเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งดัสตินเป็นคนได้ค้นพบความลับนี้และได้มาปรึกษาสตีฟเพื่อนคู่หูต่างวัยจากเหตุการณ์ในภาคก่อน โดยทั้งคู่จะได้ร่วมกับอีก 2 ตัวละครใหม่ “โรบิน” (Robin) ที่เป็นพนักงานสาวตักไอติมในห้างคู่กับสตีฟ และเอริก้า (Erica Sinclair) น้องสาวของลูคัส ซึ่งทั้ง 4 คนเป็นส่วนผสมที่ลงตัวสุดๆ ดัสตินเด็กเนิร์ดที่สุดของแก๊งตั้งแต่ภาคแรก จะได้มาเจอกับเอริก้าสุดกวนที่เป็นเนิร์ดอัจฉริยะที่ตัวเองไม่ยอมรับว่าเป็นเนิร์ด ทั้งคู่จะปะทะคารมกันแบบเนิร์ดๆ แถมด้วยความรู้เรื่องประวัติศาสตร์รัสเซีย คณิตศาสตร์ เกมกระดานดันเจี้ยนแอนด์ดราก้อนมาเป็นพรวน จนคนดูอาจจะงงตามไม่ทัน แต่ก็ดันฮา น้องที่เล่นเป็นเอริก้านี่เป็นจอมโขมยซีนแบบชัดเจน เธอเปิดตัวได้อย่างมีทีเด็ด เป็นมันสมองที่ทีมขาดอยู่ รวมถึงมีความกล้า+ฮาตามคาแรกเตอร์ห้าวๆ ได้อย่างน่ารัก แม้ว่าสถาณการณ์ในเรื่องจะดูแย่ๆ แค่ไหน เอริก้าก็ยังเป็นตัวปล่อยมุกคู่กับดัสตินได้ฮาเสมอ

เอริก้า
เอริก้าน้องสาวของลูคัส ตัวขโมยซีนของแท้ใน Stranger Things 3

ส่วนของ “โรบิน” ที่มาใหม่ก็เข้ากับกลุ่มแก๊งสตีฟกับดัสตินได้อย่างรวดเร็ว โรบินเป็นตัวละครสาวที่ฉลาดและมีเสน่ห์ลึกๆ เป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกัน แต่สตีฟมักมองข้ามไม่สนใจไปมองหาสาวตามสเป็ค แต่ด้วยความที่เขาสอบมหาลัยไม่ผ่าน ต้องมาทำงานในร้านไอติม ก็ทำให้จากหนุ่มฮอตในงานพรอม (งานเต้นรำเลี้ยงจบการศึกษามัธยมปลายของของอเมริกา) กลายมาเป็นหนุ่มไม่มีอนาคตในชุดเครื่องแบบกลาสีเรือ ที่ไม่มีสาวคนไหนสนใจอีกแล้ว หนังทำให้โรบินทั้งฉลาด เด็ดเดี่ยว มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างน่าสนใจ ซึ่งคาแร็กเตอร์แบบนี้มักถูกกันพื้นที่ไว้เป็นเฟรนด์โซนมากกว่าจีบเป็นแฟน แต่การผจญภัยครั้งนี้ก็ทำให้สตีฟได้เริ่มหันมามองโรบินใหม่ ซึ่งพล็อตดูแล้วเหมือนพวกหนังรักสูตรสำเร็จเดาง่าย แต่หนังกลับทำได้ดีกว่านั้น แถมสอดแทรกประเด็นความรักนอกกรอบสังคมในยุค 80 ที่สิ่งนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ถ้าใครจะเปิดเผยออกมา หนังทำฉากบทสรุปของเรื่องราวทั้งคู่ในห้องน้ำคาโถส้วมได้อย่างขำๆ  แต่แอบซึ้งดีงามลงตัวไปพร้อมกัน รวมถึงเรื่องราวความรักของดัสตินในกลุ่มก็ด้วยเช่น ซึ่งทั้งสองคู่นี้เป็นบทสรุปความรักที่ทำออกมาได้ดีที่สุดในซีซั่นนี้แล้ว

Stranger Things 3 Robin
โรบิน (ซ้ายสุด) สาวตัวละครใหม่ใน Stranger Things 3

ช่วงหลังหนังก็เป็นไปตามสูตรคือทุกกลุ่มจะได้กลับมาพบกันในช่วงเอพิโสดท้าย โดยแอลยังเป็นคนใช้พลังพิเศษพลิกวิกฤติในช่วงคับขันต่างๆ อยู่เหมือนเดิม ซึ่งดูเหมือนทางผู้สร้างจะยังหาทางออกดีๆ ให้ตัวละครอื่นมีบทบาทในการสู้กับสิ่งเหนือธรรมชาติในเรื่องไม่ได้ ผิดกับซีซั่นแรกที่การใช้พลังแต่ละครั้งของแอลดูเป็นปาฏิหาริย์ที่โผล่ขึ้นมาอย่างน่าอัศรรย์ ซึ่งตั้งแต่ซีซั่น 2 แล้วที่ผู้เขียนรู้สึกว่าฉากขับคันในเรื่องหาทางออกด้วยพลังของแอลมากเกินไปหน่อย จนรู้สึกว่าจำเจ แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ถึงขนาดน่าเบื่อ เพียงแต่การที่มีแต่แอลเท่านั้นที่พลิกวิกฤติได้ดูจะเป็นสูตรสำเร็จง่ายเกินไป แตกต่างจากความสนุกช่วงก่อนรวมทีม ที่ดูมีลุ้นในแบบฉบับความสามารถของแต่ละคนมากกว่า แต่ก็ยังดีที่ตอนท้ายเรื่องทุกตัวละครยังได้มีซีนร่วมกันต่อสู้กับบอสสัตว์ประหลาดตัวสุดท้ายของเรื่องไปพร้อมกัน แต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้ดูอลังการหรือ CG ดีมากเท่ากับที่ Netflix โหมโปรโมทไว้ แถมยังดูเหมือนไม่น่ากลัวเท่ากับช่วงที่มันหลบซ่อนตัวอยู่ อีกทั้งการไล่ล่าท้ายเรื่องก็หยุดชะงักขาดเป็นช่วงๆ จนดูไม่เมคเซนส์กับความสามารถสัตว์ประหลาดที่ปูมาทั้งเรื่องอีกด้วย ส่วนงานเทศกาลวันชาติอเมริกา 4 กรกฎาคม ที่ถูกเนรมิตขึ้นมาได้อย่างสมจริง ก็กลับไม่นำมาใช้ให้เป็นไคลแม็กซ์ของเรื่องราวสักเท่าไหร่เลย อันนี้เป็นส่วนที่ปูมาเนอะ แต่นำมาใช้น้อยนิด น่าผิดหวังที่สุดของเรื่องแล้วครับ

นี่เป็นซีซั่นที่ไต่ระดับความน่าสนใจในช่วงแรกได้อย่างรวดเร็วน่าติดตามขึ้นเรื่อยๆ เนื้อเรื่องตัดไวไม่ยืดเยื้อ มีแนวทางใหม่มานำเสนอ แต่กลับไปดรอปลงในช่วงท้ายสุดของซีซั่นอย่างน่าผิดหวัง หนังมีตัวละครเพิ่มใหม่เพิ่มอีกหลายตัว อย่างนายกเทศมนตรี นักวิทย์ศาสตร์รัสเซียสุดเอ๋อ แต่ก็ใส่มาเพื่อเป็นส่วนประกอบของเรื่อง ไม่ได้เป็นคีย์ในบทสรุปท้ายสุดตอนไคลแม็กซ์เลย (ทั้งๆ ที่บทส่งให้เป็นไปในทางนั้น) รวมถึงไม่ได้สรุปเรื่องราวภายหลังที่ดีพอกับห้างสตาร์คอร์ทที่ชาวเมืองต่อต้าน และในส่วนของโลก Upside Down หนังยังเลือกจบในแบบทิศทางเดิมๆ เกินไป ซึ่งถือว่าเป็นความน่าผิดหวังที่ผู้สร้างยังเลือกกั๊ก หรืออาจจะเลือกยืดซีรีส์ Stranger Things ให้มากกว่าซีซั่น 4 ก็เป็นได้ เพราะท้ายเรื่องเอนเครดิต หนังเลือกออกสู่เมืองอื่น ออกสู่โลเกชั่นใหม่นอกเมือง Hawkins ดูเป็นทิศทางใหม่ในอนาคตต่อไปของซีรีส์นี้ แต่ก็ยังไม่พ้นหยิบจับปีศาจเก่าในโลก Upside Donw มาใช้อยู่เช่นเดิม…


New Coke คืออะไร ใน Stranger Things 3

New Coke ถูกนำมาแสดงให้เห็นในเรื่องหลายต่อหลายครั้ง จนรู้สึกว่าเป็นการไทอินโฆษณาแฝงหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ ก็เป็นไปตามนั้นครับ เรื่องราวของ New Coke เกิดขึ้นตรงกับปีในเรื่องพอดี และยังเป็นการสะท้อนภาพรอยต่อความขัดแย้งของของสิ่งใหม่ ที่พยายามเข้ามามีอิทธิพลกับผู้คนในยุคเก่า เหมือนดั่งเช่นการมาถึงของห้างสรรพสินค้าสตาร์คอร์ท ที่ผู้คนในเมืองเลือกที่จะต่อต้านประท้วง แบบเดียวกับเหตุการณ์ต่อต้าน New Coke นี่เช่นกันครับ ซึ่งตอนนี้ Coke ได้นำ New Coke กลับมาขายใหม่ในแบบลิมิเต็ดอีกครั้ง 
ในปี 1985 นั้นบริษัท Coca-Cola ได้ทำการลงทุนในการวิจัยตลาดในช่วงนั้นเพื่อมาต่อสู้กับการมาถึง Pepsi Cola ที่แย่งส่วนแบ่งตลาดไปจำนวนมาก จากการวิจัยออกมาพบว่าวัยรุ่นในนั้นสมัยนั้นมีแนวโน้มรักสุขภาพมากขึ้นและดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลลอรี่น้อยลง ซึ่งตลาดนี้จะกลายเป็นตลาดสำคัญในอนาคต (คุ้นๆ เหมือนสมัยนี้เลย) ทำให้ Coca Cola พัฒนา Coke รุ่นใหม่ออกมาที่มีรสชาติที่ดีกว่า และแพ็คเกจที่ทันสมัยในตอนนั้นออกมา (ซึ่งจากการทำการวิจัยกับกลุ่มตัวอย่างนั้น Coke ใหม่นี้ได้รับความนิยมที่ดีมาก) และคาดหวังว่าผลิตภัณฑ์นี้จะสามารถได้ส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมา และเมื่อ New coke ออกสู่ตลาดมา กระแสที่ผู้บริหาร Coca Cola คาดไว้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะปรากฏว่า New Coke กลับได้รับการต่อต้านจากคนอเมริกันมากมายในสมัยนั้น และทำการรวมตัวต่อต้านบริษัท พร้อมเรียกร้องให้เอา Coke ตัวเดิมกลับมา บริษัท Coca Cola นั้นมีจดหมายส่งเข้ามาด่าที่สำนักงานใหญ่เป็นประวัติการ มีสายโทรเข้ามาต่อว่ากว่า 4 แสนสาย และ Hot Line ของโค้กนั้นมีสายโทรมากว่า 1500 สายต่อวัน นอกจากนี้ยังสูญเสียตลาดไปกว่า 14% ให้กับ Pepsi ซึ่งคนที่ดื่มโค้กนั้นไม่ยอมที่จะซื้อโค้กใหม่ แล้วไปซื้อ Pepsi แทนดีกว่า และช่วงนี้เองที่ Pepsi ทำโฆษณาออกมาว่า Pepsi ยังไงก็เหมือนเดิม เมื่อโค้กสูญเสียตลาดลงเรื่อย ๆ บริษัท Coca Cola จึงประกาศเอา Coke เก่ากลับมาหลังจาก Coke ใหม่ออกมาได้ 3 เดือน แล้ว Rename โค้กใหม่เป็น Coca Cola II แล้วหลังจาก Coke  เก่าออกมา ยอดขาย Coke  เก่ากลับมาแซง New Coke และ Pepsi ได้กว่า 2 เท่าภายใน 6 เดือน

อ่านเรื่องเกี่ยว Stranger Things 3 เพิ่มเติมคลิกที่นี่

Leave a comment
รีวิว Black Doves พิราบเงา (Netflix) ซีรีส์สายลับที่ตัวละครมีเสน่ห์ซับซ้อนคมคายสุดๆ