playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Swan Song (apple TV+) หนังไซไฟที่สำรวจห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ได้อย่างกินใจ (ไม่มีสปอยล์)

Swan Song

สรุป

หนังดราม่าไซไฟที่ลงลึกทางด้านรายละเอียดของเทคโนโลยีมากพอๆ กับความใส่ใจถ่ายทอดห้วงสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ไปควบคู่กัน ซึ่งคนมีครอบครัวดูจบอาจจะมีอินน้ำตาไหลได้เลย แต่ถ้าใครไม่ชอบแนวเรื่องเรียบง่ายแบบค่อยๆ ถ่ายทอดมุมมองเรื่องราวชีวิตก็อาจจะไม่อินได้

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • สำรวจแนวคิดเทคโนโลยีสำเนามนุษย์ให้คนใกล้ตายได้อย่างละเอียดเหมือนจริง
  • แนวดราม่าไซไฟที่ค่อยๆ กินใจคนดูไปเรื่อยๆ
  • การเล่นควบสองบทสองร่างที่ไม่ต่างกันของ Ali ที่ยอดเยี่ยมมาก (ออกทุกฉากทั้งเรื่องด้วย)
  • บทสมทบตัวละครทำให้เรื่องสนุกตลกกับมุกความตายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
  • งานโปรดักชั่นเทคโนโลยีแบบมินิมอลเรียบง่ายเข้ากับเรื่องมาก

 

Cons

  • ความเรื่อยๆ ค่อยเป็นไปค่อยไปของเรื่องอาจจะไม่ทันใจคนดู

 

 

ADBRO

Swan Song ภาพยนต์คุณภาพบน Apple TV+ แนวดราม่าไซไฟที่กินใจซึมลึกถึงเรื่องราวในอนาคต ที่มีเทคโนโลยีก็อปปี้สำเนามนุษย์ได้เหมือนตัวจริงทุกอย่าง เพื่อนำมาใช้แทนที่คนที่กำลังจะตาย เขาต้องตัดสินใจครั้งใหญ่กับการปกปิดความลับนี้ไม่ให้ครอบครัวรู้

 Swan Song (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Swan Song

หนังสายรางวัลที่แอปเปิลออกทุนสร้างให้พร้อมเข้าฉายในโรงแบบจำกัดด้วย เพื่อให้เข้ากฎการเข้าชิงรางวัลใหญ่ๆ อย่างออสการ์ ซึ่งถ้าใครได้ชมตัวอย่างหรือเรื่องย่อก็คงคิดว่าคล้ายๆ ซีรีส์ Black Mirror ของ Netflix ตอนหนึ่ง แต่มาเป็นหนังเวอร์ชั่นยาวเต็มๆ เท่านั้น ซึ่งก็อาจจะมองไม่ผิด แต่ในความเหมือนนั้นเรื่องราวถูกเล่าแบบลึกซึ้งละเอียดจริงจังกว่ามาก และยังละเมียดละไมทางความรู้สึกแบบสามารถทัชกินใจผู้ชมได้ไม่ยากเลย

หนังได้ผู้กำกับกับเขียนบท Benjamin Cleary ซึ่งอาจจะไม่ได้คุ้นเเคยกันมาก แต่เขาคือผู้กำกับที่ใส่รายละเอียดของชีวิตลงไปในหนังทุกเรื่องได้อย่างน่าทึ่งมาก ซึ่งก็เมื่อโปรเจ็กต์มาเสนอกับแอปเปิล แล้วได้นักแสดงนำอย่าง Mahershala Ali เจ้าของรางวัลออสการ์สมทบชายยอดเยี่ยม 2 ครั้งจาก Moonlight กับ Green Book ซึ่ง 2 เรื่องนี้ก็เป็นภาพยนตร์ที่ชนะออสการ์ด้วยทั้งคู่ เรียกว่าเป็นการเข้าคู่ของผู้กำกับนักแสดงที่ลงล็อคมาก และอาจจะมีแววว่า Mahershala Ali อาจจะได้เข้าชิงออสการ์จากการเป็นนักแสดงนำในเรื่องนี้ จากบทการเล่นเป็นตัวเอง 2 ร่างตลอดทั้งเรื่อง ในแง่มุมของแนวไซไฟที่สักวันคงมาถึงจุดนี้ได้จริงๆ

หนังเริ่มจาก คาเมรอน ที่แสดงโดย Ali รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายจากมะเร็งในสมองที่เขาไม่รู้ตัวมาก่อน โดยที่ยังไม่ได้แจ้งให้ครอบครัวรู้ หมอที่รักษาเขาก็ยื่นข้อเสนอพิเศษสุดให้เขาเข้ามาในโปรเจ็กต์ทดสอบบริการทำ “สำเนามนุษย์” เป็นการสร้างร่างกายเขาขึ้นมาใหม่ แต่ตัดยีนส์มะเร็งร้ายออกไป แต่ยังไม่มีความคิดความทรงจำ แล้วให้เขาตัดสินใจว่าจะถ่ายทอดความทรงจำให้ร่างนี้หรือไม่ โดยเป็นการยินยอมให้ร่างนี้มาทดแทนตัวเองโดยไม่บอกครอบครัว ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้คือความลำบากที่สุดในชีวิตของเขาว่าจะต้องเลือกบอกความจริงกับครอบครัว หรือว่ายอมโกหกเพื่อให้ชีวิตครอบครัวที่เขารักยังมีความสุขต่อไป แม้เขาเองจะตายจากไปแล้ว

สิ่งที่หนังเรื่องนี้ใส่ใจมากเป็นพิเศษคือการลงลึกถึงรายละเอียดในทุกแง่มุมของการทำสำเนามนุษย์ มันไม่ใช่การโคลนนิ่ง เพราะความแตกต่างคือการสร้างร่างขึ้นมาใหม่แล้วให้ตัวเลือกกับเจ้าของร่างว่าจะตัดสินใจทำอย่างไรกับสำเนาของตัวเอง ซึ่งตัวเรื่องนำเสนอจุดนี้ละเอียดยิบๆ ตั้งแต่เงื่อนไขต่างๆ ที่เป็นคำถามกังขาตอบตัวละครในเรื่องได้ทั้งหมด ในขณะที่ร่างยังว่างเปล่ารอให้ตัวเอกตัดสินใจ และถ้าตัดสินใจแล้วเปลี่ยนใจภายหลังก็สามารถยุติชีวิตร่างนี้ได้อีกด้วย ซึ่งทำให้เนื้อเรื่องมีความลึกมากถึงแง่จริยธรรมของบริการแบบนี้ ที่เชื่อว่าในโลกอนาคตต่อๆ ไปต้องมีอะไรที่ใกล้เคียงแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน ซึ่งเรื่องราวจะดำเนินไปโดยมีชั้นตอนการทดสอบ ตรวจสอบ ทดลอง ทั้งทางด้านจิตใจ ร่างกาย โดยให้ตัวเอกของเรื่องคาเมรอนเป็นคนพิสูจน์เองทั้งหมดว่าร่างนี้สามารถแทนที่ตัวเขาจริงๆ ในชีวิตครอบครัวได้หรือไม่ ซึ่ง “แจ็ค” (ชื่อชั่วคราวของร่างสำเนา) ก็จะมีหน้าที่บทบาทอีกแบบเพื่อยืนยันว่าเขาสามารถแทนที่คาเมรอนได้จริงๆ เช่นกัน (อย่างการใส่คอนแทคถ่ายทอดวิดีโอกลับมาให้คาเมรอนดูตลอดเวลา) ซึ่งรายละเอียดที่ลงลึกนี้ทำให้เรื่องดูน่าเชื่อถือมากว่าคิดมาดี ไม่ใช่แบบแบล็คมิเรอร์ที่มักเป็นแค่ไอเดียล้ำๆ นำเสนอในมุมเดียวด้านดาร์คเพื่อเป้าหมายบางอย่างของเรื่องเท่านั้น แต่ Swan Song ลงลึกละเอียดครอบคลุมทุกด้านกว่ามาก

แต่แค่รายละเอียดที่ว่าก็ยังไม่พอ เพราะบทหนักคือการที่ Ali ต้องเล่นเป็นสองคน โอเคบทแนวฝาแฝดนี้มีมาบ่อยๆ แต่กับเรื่องนี้อาจจะพิเศษกว่าตรงที่ทั้งสองคนนี้ไม่ใช่ฝาแฝด แต่เป็นร่างที่เหมือนกันทุกอย่างทั้งความทรงจำและลักษณะนิสัยในชีวิต ซึ่งการที่จะเล่นเป็นตัวเองในแบบ 2 ร่างให้คนดูแยกออกไม่น่าจะง่ายแบบฝาแฝดต่างนิสัยที่แยกกันได้ชัดเจน แต่เขาก็แสดงในจุดนี้ออกมาได้จากสายตาที่คนดูมองแล้วรู้เลยว่าคนนี้ใคร ซึ่งคาเมรอนเองจะมีดวงตาที่เหงาเศร้ากับชีวิตอยู่ตลอดเวลา แต่แจ็คจะเป็นดวงตาที่เปล่งประกายของการอยากมีชีวิต แต่ก็รู้สึกว่านี่คือความผิดเมื่ออยู่ต่อหน้าคาเมรอนเสมอ ซึ่งอาจจะดูไม่พิเศษมาก แต่ถ้าได้ชมเองจะยอมรับจริงๆ ว่าบทนี้ Ali เล่นได้ดีมากแบบที่เขาเป็นตัวนำออกทุกฉาก แบกทั้งเรื่องไว้ที่เขาเพียงคนเดียวเลย เพราะตัวเรื่องแทบไม่ใช้การเล่าเรื่องจากตัวละครอื่นใดเลย ทุกฉากคือ Ali เป็นคนเดินเรื่องเองทั้งหมด คนอื่นคือบทสมทบแทรกมานิดหน่อยเท่านั้น

แต่ถึง Ali จะแสดงทั้งหมดแบบนั้น แต่บทสมทบที่มีในเรื่องทุกตัวละครก็ช่วยส่งเสริมให้เรื่องนี้มีแง่มุมเพิ่มขึ้นด้วย อย่างหมอเจ้าของโปรเจ็กต์ที่เล่นโดยนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง Glenn Close ก็ทำให้บทหมอในเรื่องนี้ดูอบอุ่นจากการให้คำแนะนำคาเมรอนอย่างจริงใจ แต่ก็แอบมีความแคลงใจจากมุมมองของคาเมรอนที่มองเห็นบางอย่างซ่อนอยู่ในโครงการนี้ด้วย หรือตัวละครที่ไม่คิดว่าจะมีบทมากอย่างผู้เข้าร่วมโครงการคนที่ 2 ก่อนคาเมรอน เป็นหญิงสาวเชื้อสายจีน (เล่นโดย Awkwafina) ที่ให้สำเนาตัวเองไปแทนที่แล้วรอวันตายบนเกาะแห่งนี้เท่านั้น เธอกลายมาเป็นตัวละครยิงมุกตลกคู่กับคาเมรอนได้อย่างไม่คาดคิดว่าเรื่องราวที่กำลังดำเนินไปแบบดราม่าเศร้าๆ จะทำให้ผู้ชมหลุดขำออกมาได้ แม้บทไม่เยอะแต่ทุกฉากที่สองคนนี้ออกมาคู่กันยิงมุกตลกแกล้งกัน เป็นช่วงเวลาที่เรื่องผ่อนคลายลงทันที แม้จะมีความเศร้าเป็นแบ็คกราวด์หลังมุกตลกเรื่องความตายอันใกล้ที่ทั้งคู่เล่นก็ตาม นอกจากนี้ก็มี ป็อบปี้ เล่นโดย Naomie Harris ภรรยาของคาเมรอนที่เรื่องมักแฟลชแบ็คย้อนให้เราได้รับชมความทรงจำในอดีตของทั้งคู่ ตั้งแต่เริ่มพบกัน จีบกัน ช่วงเวลาที่มีลูกคนแรกกับคนที่สองในปัจจุบัน ซึ่งบทของเธอคือคนที่ไม่รู้เรื่องที่สามีเป็นมะเร็ง และรู้ว่าเขาปกปิดอะไรบางอย่างจนทำให้ความสัมพันธ์มีปัญหา ซึ่งเธอก็เล่นเข้าคู่กับ Ali ได้เป็นอย่างดี ทำให้เราเชื่อได้ว่าทั้งคู่คือโซลเมตคู่แท้ที่เป็นตัวแปรสำคัญให้คาเมรอนลังเลในการตัดสินใจโกหกครั้งใหญ่กับเรื่องนี้

นอกจากนี้องค์ประกอบต่างๆ ในเรื่องอย่างเทคโนโลยีติดต่อสื่อสาร รถยนต์อัตโนมัติ ห้องปฏิบัติการโครงการบนเกาะ แสง ดนตรีประกอบ ทุกอย่างถูกทำให้ดูเรียบง่ายมินิมอลแบบกลมกลืนไปกับอารมณ์เหงาเศร้าในเรื่องได้เป็นอย่างดี มองดูเผืนๆ อาจจะคิดว่าหนังทุนต่ำ แต่ที่จริงไม่น่าต่ำเพราะตัวเรื่องถูกคิดมาเป็นอย่างดีให้ทุกอย่างกลมกลืนกันไปหมด เป็นความใส่ใจละเมียดในงานสร้าง สมกับเป็นหนังจากทุนแอปเปิลจริงๆ และก็เป็นเรื่องที่ไม่มีอุปกรณ์แอปเปิลแฝงไทอินอยู่ในเรื่องอีกด้วย 🙂

หนังอาจจะมีจุดด้อยอยู่แค่ความเรียบง่ายของเรื่องราวแบบที่ค่อยเป็นค่อยไปให้เห็นการตัดสินใจทีละอย่างของตัวเอก ซึ่งตัวเรื่องอาจจะดูช้าๆ เนือยๆ ในมุมของคนที่ไม่ชอบสไตล์นี้ แต่ถ้าสามารถดูแบบซึมซับเรื่องราวทุกอย่างตามได้ รับรองว่าจะค่อยๆ อินซึมลึกไปกับเรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงตอนจบที่คนมีครอบครัวอาจจะร้องไห้ออกมาได้เลย แต่ถึงไม่มีก็คงซึมลึกกันบ้างล่ะครับ

แนะนำเลยว่าห้ามพลาดกับหนังที่ปราณีตใส่ใจเรื่องนี้ของแอปเปิล และก็น่าติดตามเอาใจช่วยว่าจะได้เข้าชิงรางวัลใหญ่บ้างหรือไม่ต่อไปด้วยครับ

 

 

ติดตามอ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์ใน Apple TV+ คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!