playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Tales from the Loop (Amazon Prime) เรื่องเศร้าเหงาซึมลึกผ่านโลกไซไฟย้อนยุคที่งดงาม

Tales from the Loop

สรุป

ซีรีส์แนวไซไฟที่มีเอกลักษณ์แตกต่างเป็นของตัวเองสูง ทั้งเรื่องราวที่ล้ำมากแต่อยู่ในโลกย้อนยุคได้อย่างกลมกลืน งานภาพธรรมชาติสวยๆ บวกกับวิชวลเอฟเฟ็กต์กลมกลืนไร้ที่ติ เรื่องราวมีความเป็นดราม่าเข้าถึงอารมณ์หลากหลายแบบผูกผันกันทั้งหมด แต่แยกเป็นตอนๆ ข้อเสียของเรื่องมีเพียงการเล่าเรื่องที่เนิบๆ ช้ามาก กับการที่ตัวเรื่องเลือกไม่อธิบายที่มาที่ไปของปรากฎการณ์พิศวงต่างๆ สักเท่าไหร่ ทำให้คนดูที่คิดมากอยากได้คำอธิบายตรงนี้คงดูแล้วไม่สนุกเช่นกันครับ

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • โลกเสมือนยุค 80s แต่ผสมไซไฟล้ำๆ
  • งานภาพธรรมชาติผสมวิชวลเอฟเฟ็กต์สวยกลมกลืนไร้ที่ติ
  • เรียงร้อยเรื่องราวต่อกันได้อย่างแนบเนียน
  • เรื่องเศร้าแบบเหงาๆ แทบทุกตอน แต่ก็สวยงามมากเช่นกัน
  • นักแสดงเด็กหญิงเป็นใบ้ในเรื่องคือดีงามมาก
  • มีฉากโป๊เปลือยรวมถึงเรื่องทางเพศแบบเด่นชัดในบางตอน

Cons

  • เรื่องราวเดินหน้าไปแบบเนิบๆ ช้าๆ ทุกตอน
  • ความตั้งใจไม่อธิบายที่มาปรากฎการณ์มหัศจรรย์ต่างๆ ในเรื่องอาจจะทำให้มองว่าไม่สมเหตุผลจนน่าหงุดหงิด

รีวิว Tales from the Loop (Amazon Prime) เรื่องราวของผู้คนในเมืองชนบทเล็กๆ ที่ตั้งของศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ใต้ดินลึกลับ The Loop ที่ซึ่ง “สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถูกทำให้เป็นไปได้” ด้วยสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำ แต่เดินเรื่องอยู่ในโลกย้อนยุค

 Tales from the Loop (2020) on IMDb
คะแนนเฉลี่ย IMDB

ตัวอย่าง Tales from the Loop (Amazon Prime)

เนื้อหาบทความไม่มีสปอยล์เนื้อเรื่อง

ที่มาของซีรีส์ Tales from the Loop มาจากอาร์มบุ๊คของศิลปินสวีเดนนาม Simon Stålenhag และเป็นเกมกระดานแบบสวมบทบาท (role playing game) ของค่าย Free League Publishing และถูกนำมาดัดแปลงเป็นซีรีส์ไซไฟ 8 ตอนความยาวตอนตอนละ 50 กว่านาที บน Amazon Prime VDO เท่านั้น

ตัวเรื่องราวจะอยู่ในโลกสมมุติย้อนยุคเหมือนยุค 80s ที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟน โทรศัพท์ใช้แบบหมุน บ้านเมืองวิถีชีวิตคนเป็นแบบเก่าๆ แต่ว่าใส่ความเป็นไซไฟล้ำยุคตัดเข้าไปในนั้น ซึ่งเป็นสไตล์จากภาพวาดของเจ้าของต้นเรื่องนี้ ถ้าหยิบแค่ภาพอาร์ทหรือสกรีนช็อตในเรื่องมาดู อาจจะรู้สึกว่าประหลาดๆ มีความไม่เข้ากันหรือไม่สมเหตุผลเลยสักนิด แต่ว่าพอได้ดูจริง โลกยุค 80s แบบมีไซไฟมาผสมรวมแทรกเข้าไป กลับออกมาแปลกตาแบบดูดีสวยงามกันตั้งแต่แรกเห็นเลย อย่างซีนแรกที่หุ่นยนต์ในป่าหันมามองเด็กหญิงที่สีหน้าเรียบเฉยเหมือนเป็นเรื่องปกติ แทนที่เราจะรู้สึกว่าไม่เมคเซนส์ กลับกลายเป็นรู้สึกพิศวงน่าติดตามว่าหุ่นนี้มายังไง และทำไมเด็กหญิงถึงมองด้วยสายตาเรียบเฉยไม่รู้สึกแปลกประหลาดอะไรเลยสักนิด

ซึ่งความพิศวงนี้แหละคือธีมการขับเคลื่อนเรื่องนี้ให้เราติดตามดูด้วยความสงสัยไปเรื่อยๆ ในแต่ละตอน ที่มีเอกลักษณ์การเล่าเรื่องแตกต่างตามอารมณ์ของมนุษย์ รัก โลภ โกรธ หลง ครอบครัว ชีวิตและความตาย ด้วยอารมณ์เหงาๆ เศร้าๆ เหมือนหนังของหว่องกาไว ซึ่งพอโทนของเรื่องเน้นถ่ายทอดอารมณ์แบบละเมียดละไมมาก ทำให้เรื่องราวจะเดินหน้าไปอย่างช้าๆ เนิบๆ เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้น่าเบื่อจนเกินไปหรือหลับ เพราะในแต่ละตอนจะมีเรื่องไซไฟพิศวงที่แตกต่างกันไปหมด ทั้งมาจากสิ่งประดิษฐ์ของ The Loop เอง หรือพลังของวัตถุลึกลับที่อยู่ใต้ดินของ The Loop ทำให้เมืองนี้ทั้งเมืองเต็มไปด้วยเรื่องพิศวง มหัศจรรย์ แบบใครๆ ก็พบเจอกันได้ แม้จะรู้สึกว่าพิศวง แต่ตัวละครในเรื่องจะไม่ได้ไปในทำนองตื่นตกใจอะไรมาก กลับกันคือทุกคนจะหลงเข้าไปในเรื่องไซไฟพิศวงนั้น ยกตัวอย่าง การบิดเบี้ยวของมิติเวลาทำให้ตัวตนตอนเด็กกับตอนโตมาอยู่โลกเดียวกัน โลกคู่ขนานที่ซ่อนอยู่ในเมือง เครื่องสลับจิตย้ายร่าง เครื่องหยุดเวลา ซึ่งโอเว่อร์มากทุกเรื่อง แต่ตัวซีรีส์จะไม่อธิบายที่มาหลักการเกิดเรื่องพวกนี้ จะมีแค่พอให้คิดได้นิดๆ เท่านั้นในบางตอน เพราะตัวเรื่องจริงที่ซีรีส์ต้องการเล่าคือ อารมณ์ของมนุษย์ลึกๆ ในแต่ละตอนที่แตกต่างกันไป และต้องจบด้วยความเศร้าเสมอ แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องสวยงามให้แง่คิดที่ดีควบคู่ไปด้วยกัน

แม้ว่าเรื่องราวจะดูแยกกันเป็นตอนๆ แต่ศูนย์กลางของเรื่องจะอยู่ที่ครอบครัวของผู้ก่อตั้ง The Loop เป็นหลัก ซึ่งตัวละครอื่นๆ ที่ปรากฎตามมาเรื่อยๆ จะเกี่ยวข้องกับครอบครัวนี้ทางใดทางหนึ่ง เรื่องราวแม้ว่าจะดูไม่ค่อยต่อกัน แต่จริงๆ คือแอบเชื่อมต่อกันทั้งหมด เป็นเรื่องเล่าแบบเปิดตัวละครแรกขึ้นมา แล้วตัวละครในเรื่องแรกก็จะกลายเป็นตัวเอกในตอนต่อไปที่มีเรื่องราวเฉพาะของตัวเอง แต่ก็มีวกกลับมาอธิบายอ้อมๆ ถึงความลับกับความเป็นไปในครอบครัวผู้ก่อตั้ง The Loop ไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นวิธีเล่าเฉลยเรื่องราวที่ร้อยเรียงกันได้แนบเนียนมาก คือดูตอนนึงเหมือนไม่เกี่ยว แต่กลับอธิบายปมของอีกตอนได้ แม้ว่าจะไม่ถึงขนาดเฉลยหมดว่าวัตถุลึกลับใน The Loop ที่เปิดมาในตอนแรกคืออะไรกัน แต่ก็เคลียร์ปมต่างๆ ของครอบครัวนี้จนหมดได้อย่างสวยงาม แต่อาจจะไม่ถูกใจคอไซไฟที่ต้องการคำอธิบายของเรื่องลึกลับต่างๆ แต่ก็อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้ทำจากอาร์ทบุ๊คเกมกระดานที่ไม่ได้ต้องการความสมจริงแต่แรกแล้ว เมื่อเลือกใช้โลกยุค 80s แต่กลับมีสิ่งประดิษฐ์ล้ำเกินยุคในเรื่องใส่มาเหมือนปกติ ดังนั้นคนที่หวังหาคำตอบอะไรแบบนั้นก็ต้องข้ามเรื่องนี้ไปเลยครับ

ตัวเรื่องในแต่ละตอนมีดีมีด้อยไม่เท่ากัน ส่วนตัวเรื่องเปิดมาในตอนแรกยอมรับว่าประทับใจมากกับการเล่นเรื่องมิติเวลาสุดมหัศจรรย์ แต่ตอนต่อมาแม้จะดี แต่กลับจบแบบคาใจมากๆ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องบอกว่าให้ดูไปเรื่อยๆ ก่อน เพราะว่าเรื่องราวในตอนที่ 2 จะเป็นจุดกำเนิดปมของโครงเรื่องหลักทั้งหมดของครอบครัวนี้ ตอนที่ชอบที่สุดคือตอน 5 (ที่เป็นปกกับสกรีนช็อตด้านบนล่างนี้) เรื่องราวของหัวหน้าครอบครัวที่ต้องการปกป้องเมียกับลูกสาว ด้วยการซื้อหุ่นยนต์ที่เชื่อมต่อกับร่างกายได้มาใช้เป็นเครื่องมือเฝ้าบ้าน แต่กลับถูกเพื่อนบ้านในละแวกนั้นมองว่าเป็นภัยคุกคาม ตัวเรื่องนอกจากทำได้ดีเกินหน้าตอนอื่นมากแล้ว ดารานักแสดงเด็กในเรื่องที่เล่นเป็นเด็กพิการหูหนวกเป็นใบ้ เล่นเรื่องนี้ครั้งแรกได้เก่งและน่ารักน่าชังมาก ซึ่งเป็นตอนที่บอกเลยว่าถ้าคนดูมาแล้วอาจจะเฉยๆ ง่วงๆ ก็จะมาตื่นเอาตอนนี้แหละครับ แต่ไม่แนะนำให้ดูข้ามตอน เพราะแม้เรื่องจะแยกจากกัน แต่ว่ามันจะมีจุดเชื่อมต่อปูมาจากตอนก่อนหน้านี้ทั้งหมดครับ

จุดเด่นของเรื่องอีกอย่างที่ถูกนำเสนอคู่กันไปคืองานด้านภาพธรรมชาติที่สวยงดงามมากๆ แถมยังมีการใช้วิชวลเอฟเฟ็กต์ที่เนียนมากผสมลงไปด้วยกัน อย่างหุ่นยนต์ในเรื่องนี่ที่โชว์ความเนียนของเอฟเฟ็กต์แบบไร้ที่ติ เพราะกลมกลืนไปกับธรรมชาติในเรื่องแบบแยกไม่ออกเลยจริงๆ เรียกว่าให้คะแนนเต็มไปกับจุดนี้ได้เลย

Tales from the Loop เป็นซีรีส์แนวไซไฟที่มีเอกลักษณ์แตกต่างเป็นของตัวเองสูง ทั้งเรื่องราวที่ล้ำมากแต่อยู่ในโลกย้อนยุคได้อย่างกลมกลืน งานภาพธรรมชาติสวยๆ บวกกับวิชวลเอฟเฟ็กต์กลมกลืนไร้ที่ติ เรื่องราวมีความเป็นดราม่าเข้าถึงอารมณ์หลากหลายแบบ เรื่องราวผูกผันกันทั้งหมด แต่แยกเป็นตอนๆ ได้อย่างน่าสนใจ ข้อเสียของเรื่องมีเพียงการเล่าเรื่องที่เนิบๆ ช้ามากจนคนที่ดูแนวไซไฟปกติเดินเรื่องไวๆ อาจจะไม่ไหวเอา กับอีกเรื่องคือการที่ตัวเรื่องเลือกไม่อธิบายที่มาที่ไปของปรากฎการณ์พิศวงต่างๆ สักเท่าไหร่ นั่นทำให้คนดูที่คิดมากอยากได้คำอธิบายตรงนี้คงดูแล้วไม่สนุกเช่นกันครับ

รีวิว Electric Dreams ซีรีส์ไซไฟชวนฝันขั้วตรงข้าม Black Mirror

อ่านรีวิวหนังซีรีส์ Amazon Prime VDO คลิกที่นี่

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!