รีวิว The 7 Lives of Lea สิงร่างย้อนเวลาสืบสวนแก้สารพัดปัญหาวัยรุ่น (ไม่สปอยล์)
The 7 Lives of Lea
สรุป
ซีรีส์ที่เล่าเรื่องปมปัญหาชีวิตวัยรุ่นผสมแนวไซไฟย้อนเวลาสิงร่างคน 7 คนไปสืบสวนคดีปริศนา บทเก๋มาก มีความแปลกแหวกแนวน่าสนใจ การเดินเรื่องดูสนุกในระดับหนึ่ง มีฉากจบที่คาดเดาทางได้ยาก แล้วก็จบได้ดีน่าจดจำ (จบในซีซั่นลงตัวเลย แต่จะทำต่อก็ได้) แต่การเดินเรื่องจะเน้นแก้ปมปัญหาชีวิตมากกว่าสืบสวน ซึ่งอาจจะไม่หวือหวาทันใจแบบที่คนส่วนใหญ่ชอบกันเท่านั้นครับ (เป็นซีรีส์ฝรั่งเศสด้วยซึ่งมาสไตล์นี้อยู่แล้ว)
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- แนวไซไฟวัยรุ่นย้อนเวลาค้นหาเป้าหมายชีวิต
- เล่าเรื่องปมปัญหาทัศคติผิดๆ ของวัยรุ่นในอดีตที่ได้นางเอกในปัจจุบันไปแก้
- บทสืบสวนผูกปมรวมไว้กับเรื่องปัญหาชีวิตครอบครัวได้ดี
- มีเพลงเก่าฮิตๆ แทรกมาในเรื่อง
- ติดตลกนิดๆ กับนางเอกที่สิงร่างคนไม่ซ้ำกัน
- ไม่ใช่ลิมิเต็ดซีรีส์ แต่จบในซีซั่นได้ลงตัว
Cons
- เน้นเล่าเรื่องการแก้ปัญหาชีวิตมากกว่าสืบสวนที่อาจจะดูช้าๆ ไป
- งานโปรดักชั่นส่วนของย้อนเวลาไปยุค 90 ไม่ค่อยเน้นให้เห็นอะไรมาก
The 7 Lives of Lea ลีอา 7 ชีวิต ซีรีส์ Netflix ฝรั่งเศส 7 ตอนจบแนววัยรุ่นสืบสวนไซไฟย้อนเวลา ที่พาผู้ชมไปพบกับการสิงร่างของนางเอกสู่คน 7 คน เพื่อไขปริศนาการตายของศพลึกลับกับความลับต่างๆ ในอดีตที่เชื่อมโยงมาถึงชีวิตครอบครัวของเธอในปัจจุบัน พร้อมค้นหาตัวตนเส้นทางชีวิตของเธอไปพร้อมกันด้วย
ตัวอย่าง The 7 Lives of Lea
เรื่องย่อ
ลีอา เด็กสาววัยรุ่นที่ครอบครัวมีปัญหา ตัวเธอก็ไม่มีเป้าหมายในชีวิต จนเธอได้ไปพบศพโครงกระดูกหนุ่มปริศนาที่ตายมานานแล้ว 30 ปี ตั้งแต่นั้นมาทุกคืนที่เธอหลับเธอจะย้อนอดีตกลับไปยังยุค 90 ในร่างคนอื่น ซึ่งล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการตายของศพปริศนาที่เธอพบเจอ นั่นทำให้เธอเริ่มมีเป้าหมายในชีวิตด้วยการเริ่มสืบสวนหาสาเหตุและหยุดยั้งการตายของชายหนุ่มปริศนาคนนั้น
รีวิว The 7 Lives of Lea
ซีรีส์ฝรั่งเศสเรื่องนี้สร้างจากนิยายวัยรุ่น มีทั้งหมด 7 ตอนตามชื่อเรื่องลี 7 ชีวิตเลย เป็นเรื่องราว 1 ตอนต่อ 1 คนที่ตัวนางเอกได้ไปสิงร่างทุกคืนที่เธอหลับไป ซึ่งวันเวลาในเรื่องจะต่อเนื่องกันไป 7 วันด้วย โดยนางเอกหลับกลางคืน ตื่นมาในอดีตตอนเช้า ใช้ชีวิตสลับไปมาในร่างปกติปัจจุบันกับอดีตที่เป็นคนอื่น เพื่อสืบสวนไขคดีการตายลึกลับของหนุ่มปริศนา “อิชมาเอล” ที่ตอนแรกเลยเธอก็จะได้สิงร่างเขา และมาล่วงรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อแม่ของเธอในการตั้งวงดนตรีด้วยกัน ทำให้การย้อนอดีตของเธอได้กลับไปพ่อแม่ช่วงวัยรุ่น พร้อมทั้งผองเพื่อนพ่อแม่ในโรงเรียนที่ล้วนตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการตายของอิชมาเอลได้ทั้งนั้น
พล็อตเรื่องย้อนเวลาไปเจอพ่อแม่ตัวเองอาจจะไม่ใหม่สักทีเดียว แต่สิ่งที่ 7 ลีอาทำให้แตกต่างได้เก๋ๆ คือการย้อนเวลาแบบสิงร่างคนนี่แหละ ซึ่งไม่ใช่แค่การเข้าไปสิงแทนเพื่อเอาร่างนี้ไปสำรวจสืบหาเหตุการณ์ในอดีต แต่ได้เข้าไปสำรวจเรื่องราวชีวิตอีกด้านที่คนนอกไม่ล่วงรู้ อย่าง หนุ่มเกเรประจำโรงเรียนที่พ่อใช้ความรุนแรงกับเขา หัวโจกสาวเซ็กซี่ของโรงเรียนที่บ้านยากจนสุดๆ ซึ่งการได้สวมร่างนี้ทำให้ลีอาได้มองเห็นความจริงอีกด้านจากมุมมองที่แตกต่างไปในตอนแรกที่ลีอาได้เห็นคนนี้จากร่างอื่น กลายเป็นเรื่องมีสองด้าน อะไรที่เห็นในตอนแรก พอลีอาได้สิงร่างก็จะได้รู้ความจริงอีกด้านที่พวกเขาปกปิด และทำให้ลีอาใช้ร่างนี้ 1 วันเพื่อแก้ไขชีวิตที่ผิดพลาดของคนๆ นั้นไปด้วย แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ใน 1 วัน แต่ก็ส่งผลต่อเส้นทางชีวิตในอนาคตข้างหน้า ซึ่งพอลีอาตื่นเธอก็จะได้พบกับตัวตนของคนในอดีตที่เธอสิงร่างแล้วชีวิตเปลี่ยนไปด้วย (เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ทุกคนในชุมชนรู้จักกันหมด) ซึ่งจุดนี้เองทำให้เรือ่งนี้มีความแตกต่างและสอดแทรกปัญหาวัยรุ่นจากยุคอดีตมาปัจจุบันไว้หลายอย่าง ในยุค 90 บางสิ่งอาจจะดูปกติ แต่ในปัจจุบันคนเข้าใจสิทธิความเท่าเทียมต่างๆ มากขึ้น ทำให้ลีอาเหมือนตัวแทนวัยรุ่นในปัจจุบันที่ได้มีโอกาสเข้าไปปรับแก้ตรกะความผิดเพี้ยนในอดีตให้หายไปด้วย ซึ่งทำให้เรื่องดูทันสมัยมากแม้จะย้อนเวลากลับมากกว่า 80% ของเรื่องก็ตาม (ใน 1 ตอนยาว 45 นาที ลีอาจะย้อนอดีตราวๆ 30 นาที ส่วนที่เหลือคือการตื่นในโลกปัจจุบัน)
ถึงลีอาจะเป็นตัวแก้ปัญหาชีวิตในอดีตให้แต่ละร่าง แต่เมนเรื่องหลักจริงๆ คือการสืบหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับอิชมาเอล ซึ่งเรื่องก็สอดแทรกการสืบสวนไว้ระหว่างนั้นด้วย โดยทุกคนที่ลีอาสิงร่างจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างให้ลีได้เบาะแสตามรอยไปเรื่อยๆ แล้วก็ตื่นมาสืบในปัจจุบันหลังเวลาผ่านไป 30 ปีอีกที เนื้อเรื่องส่วนนี้จะไม่ใช่แนวสืบสวนเข้มๆ อะไรมาก เพราะตัวเรื่องลีอาคือเด็กสาววัยรุ่นไม่เอาไหนคนหนึ่งเท่านั้น โดยคีย์หลักของเรื่องก็คือการเกิดเป้าหมายของชีวิตที่ลีอาไม่เคยมีมาก่อน เมื่อเธอเริ่มสืบสวนก็เริ่มหมกหมุ่น มีเพียงเพื่อนสาวขาพิการคนเดียวที่รับฟังเรื่องนี้แล้วเชื่อเธอคอยช่วยสืบสวนด้วยอีกแรง ซึ่งประเด็นเป้าหมายชีวิตนี้จะถูกเชื่อมโยงกลับไปยังอดีตถึงตัวพ่อแม่ของเธอด้วย ที่เวลานั้นยังเป็นวัยรุ่นบ้าดนตรีไม่ได้มีอนาคตกันสักเท่าไหร่เหมือนกัน ซึ่งปมการเกิดเป้าหมายชีวิตนี้ถูกผูกเรื่องราวกลับมาปัจจุบันเมื่อลีอาเห็นพ่อแม่ในอดีตแย่ๆ แต่ปัจจุบันกลับมาดุด่าว่าเธอเรื่องเดียวกัน ทำให้ปัญหาครอบครัวที่มีอยู่แล้วเริ่มแตกแยกมากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวเรื่องได้ขมวดเอาปมนี้เข้ามารวมกับเรื่องย้อนเวลาสืบสวนได้ดีมาก กลายเป็นจุดพลิกทำให้เรื่องราวทั้งหมดที่ลีอาย้อนไปในอดีตอาจจะกลายเป็นการส่งผลมาทำให้ปัจจุบันครอบครัวเธอเป็นแบบนี้ หรือเธอต้องเลือกทางเดินที่ต่างออกไปเพื่อรักษาครอบครัวไว้ แต่นั่นก็อาจจะทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนและมีผลกระทบมาถึงตัวเธอเองได้เช่นกัน ซึ่งตอน 7 ของเรื่องนี้คือแอบทึ่งกับปมสำคัญของเรื่องที่เดาทางฉากจบได้ยาก และก็ทำให้ฉากจบเรื่องนี้มีดีชวนให้จดจำได้เลยเหมือนกัน
และด้วยความที่เรื่องนี้เป็นการย้อนเวลาแล้วตัวละครเกี่ยวข้องกับวงดนตรี ทำให้เรื่องมีเพลงเพราะๆ จากสมัยนั้นมาประกอบแซมๆ ชวนให้คิดถึงพอได้ดีพอสมควร อย่าง Kiss me ของวง Sixpence None The Richer ผ่านเครื่องเล่นวอล์คแมนที่วัยรุ่นในยุคนั้นต้องมีกัน รวมถึงมุกจากอดีตเล็กๆ น้อยๆ ที่ลีอาในปัจจุบันต้องกลับไปเจออะไรเก่าๆ พวกนี้คือกิมมิคแทรกเล็กๆ ในระหว่างย้อนเวลา
จุดด้อยของเรื่องนี้ก็อาจจะตรงที่เรื่องเน้นการแก้ปัญหาดราม่าชีวิตวัยรุ่นมากกว่าอย่างอื่น ทำให้ทุกครั้งที่ย้อนอดีตไปคนดูอาจจะอยากรู้เรื่องสืบสวนมากกว่า แต่กลายเป็นเรื่องจะต้องแวะพาไปหาปมดราม่าชีวิตของร่างที่ลีอาสิง ซึ่งบางคนก็เป็นเรื่องราวที่ดีเลย ดูสนุกจากการที่ลีอาเอาความคิดการกระทำในปัจจุบันไปใช้ในเวลานั้น แต่หลายตอนก็ออกแนวน่าเบื่อแบบไม่รู้จะเสียเวลาไปทำไม ซึ่งทำให้เรื่องโดยรวมอาจจะไม่ได้ถึงกับสนุกต่อเนื่องมาก แต่ก็ต้องบอกว่าหลายตอนที่ดูไม่มีอะไร แต่พอเรื่องทั้งหมดรวมเข้ากันที่ตอน 7 สุดท้ายของซีรีส์นี้ (ไม่แน่ว่ามีซีซั่น 2 มั้ยเพราะเรื่องจบในตัวเลย) ทุกตัวละครที่ลีอาไปสิงจะได้มารวมกันแล้วก็จะได้เห็นบทเฉลยที่ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมบางตอนถึงต้องเล่าถึงคนๆ นี้ ถือว่าบทเขียนมาดีมาก แต่อาจจะไม่สนุกทันใจผู้ชมแค่นั้นเองครับ
สรุป
เป็นซีรีส์วัยรุ่นไซไฟที่บทเก๋มาก มีความแปลกแหวกแนวน่าสนใจ การเดินเรื่องดูสนุกในระดับหนึ่ง แต่อาจจะไม่หวือหวาทันใจแบบที่คนส่วนใหญ่ชอบๆ กันเท่านั้นครับ
อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่