รีวิว The Adam Project หนังไรอัน เรย์โนลส์ ที่ซึ้งนิดๆ ดูเพลินๆ แต่บทอ่อนเหลือเกิน
The Adam Project
สรุป
หนังของไรอัน เรย์โนลส์ ที่ยังมาในไตล์ขายบทกวนๆ เช่นเดิม แต่เพิ่มน้องเด็กที่เล่นเป็นตัวเขาเข้ามาอีกคนแบบเข้าคู่ดูโอกันดี แจมด้วย มาร์ก รัฟฟาโล เสริมเข้าไปอีกคน ซึ่งในแง่ดราม่าครอบครัวถือว่าทำได้อบอุ่นซึ้งนิดๆ ดีพอประมาณ แต่ด้านแอ็กชั่นไซไฟบทค่อนข้างอ่อนมาก รวมภถึงแนวเส้นเรื่องย้อนเวลาเมนหลักก็ทำออกมาแค่ผิวเผิน ไม่ได้มีความแปลกใหม่หรือซับซ้อนอะไรเลยสักนิด เป็นหนังที่ดูฟอร์มใหญ่ แต่อะไรต่างๆ ก็ยังทำได้แค่กลางๆ เท่านั้น
Overall
6.5/10User Review
( vote)Pros
- รวมดาราดังหลายคน
- แนวย้อนเวลาจิกกัดสไตล์กวนๆ ของไรอัน
- พาร์ทครอบครัวดูอบอุ่นซึ้งนิดๆ
- งานโปรดักชั่น CG ดี
- มีพากย์ไทย
Cons
- บทอ่อน หลายจุดไม่สมเหตุผล
- แนวคาแรกเตอร์เดิมซ้ำๆ ของไรอัน เรย์โนลส์
- ไม่มีคำอธิบายหลายอย่างแบบตั้งใจข้ามไปหมด
- ตัวร้ายทื่อๆ ไม่มีชั้นเชิง
The Adam Project ย้อนเวลาหาอดัม หนังดราม่าแอ็กชั่นไซไฟ ฟอร์มใหญ่ของ Netflix ที่รวมดาราดังไว้มากมาย โดยขาย ไรอัน เรย์โนลส์เป็นหลัก เรื่องราวของ นักบินผู้เดินทางข้ามเวลาร่วมมือกับตัวเขาเองในวัยหนุ่มและพ่อผู้ล่วงลับเพื่อจัดการกับอดีตและกอบกู้อนาคต
ตัวอย่าง The Adam Project ย้อนเวลาหาอดัม
เรื่องย่อ
อดัม นักบินจากปี 2050 ย้อนเวลามาเจอตัวเองในปี 2022 เพื่อหยุดยั้งจุดกำเนิดของเครื่องย้อนเวลาในโลกที่สร้างโดยพ่อของเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว และตามสืบหาสาเหตุของการหายตัวไปของผู้หญิงที่เขารัก ที่คาดว่าอาจจะเกี่ยวกับบริษัทผู้สร้างเครื่องย้อนเวลานี้เอง
รีวิว
หนังจากงานสร้างของผู้กำกับ Shawn Levy จากเรื่อง Free Guy ที่ทำกับไรอัน เรย์โนลส์แล้วดังมาหมาดๆ มาเรื่องนี้ด้วยชื่อเครดิตผู้สร้างดารานำ ดาราสมทบที่มีชื่อเสียงหลายคนอย่าง มาร์ก รัฟฟาโล กับโซอี ซัลดานา พร้อมด้วยสไตล์แนวหนังแอ็กชั่นไซไฟที่ดูหน้าหนังเหมือนจะลงทุนสูงไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มีเปิดเผยว่าเท่าไหร่ ทำให้หลายๆ คนก่อนดูน่าจะคาดหวังว่านี่อาจจะเป็นหนังใหญ่ฟอร์มดีทีเดียวเลยของเน็ตฟลิกซ์แน่ๆ แต่กลับไม่ได้เป็นแบบนั้นสักเท่าไหร่ สุดท้ายก็ยังเป็นมาตรฐานกลางๆ ของเน็ตฟลิกซ์อยู่เช่นเดิม
ว่ากันด้วยในแนวหนังย้อนเวลาที่ทำกันมาเยอะแล้วก็ต้องมีจุดขายใหม่ๆ มีทฤษฎีใหม่ หลักการใหม่ๆ มันถึงจะทำให้ผู้ชมในแนวนี้รู้สึกว้าวกับชวนขบคิดอะไรแบบนี้ได้ แต่หนังเรื่องนี้ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจคิดอะไรแบบนั้นไว้เลย ตัวบทดำเนินเรื่องแบบทื่อๆ เป็นเส้นตรงแค่พระเอกย้อนกลับหาตัวเองตอนเป็นเด็ก เพื่อจะจัดการแก้วิกฤติเวลาที่เป็นจุดเริ่มใยยุคนี้เท่านั้น ซึ่งตัวเรื่องเส้นเวลาไม่มีอะไรใหม่ แล้วก็ไม่มีความซับซ้อนเลย เข้าใจว่าตัวผู้สร้างคงตั้งใจทำให้มันย่อยง่ายเหมือนหนังครอบครับที่มีไรอัน เรย์โนลส์ มาเป็นตัวชูโรงพูดสไตล์กวนๆ แค่นั้นก็พอ ไม่ต้องมีเรื่องเวลาอะไรให้ซับซ้อน ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร แต่มันก็ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังย้อนเวลาที่บทตรงนี้อ่อนเอามากๆ ไปตั้งแต่แรกตั้งโปรเจ็กต์ที่คิดจะขายไรอันนำล้วนๆ มากกว่า
ดูเหมือนหนังตั้งใจเล่นพาร์ทดราม่าครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งส่วนนี้ก็ทำได้ดีในพอประมาณแบบพอซึ้งนิดๆ ด้วยเรื่องราวสูตรสำเร็จที่ตัวเองโตกว่าย้อนกลับมาเห็นตัวเองในตอนเด็กที่นิสัยไม่ดี ทำให้แม่เครียด ก็เป็นเหมือนการสอนตัวเองให้เติบโตขึ้นแบบหนัง Coming of Age นิดๆ แต่ติดสไตล์กวนๆ มากกว่าจะแนวซึ้งๆ ซึ่งทั้งไรอันกับน้องนักแสดง Walker Scobell ที่พึ่งเล่นหนังใหญ่เรื่องนี้เรื่องแรก ต่างทำได้ดี ทั้งคู่ต้องเล่นในบทที่เหมือนฝาแฝดกัน ทำอะไรหลายอย่างพร้อมกันได้เข้าขากันดี ตัวน้องมีความน่ารักจิกกัดกวนๆ ตบมุกกับไรอันได้สูสี คือดูแล้วพอเชื่อได้ว่าด้วยลักษณะท่าทางแบบนี้โตมาก็เป็นแบบนั้นได้จริงๆ ซึ่งถือว่าตัวหนังทำได้ผ่านเลยในจุดที่บทของทั้งคู่คือตัวเอกหลักของเรื่องที่มีบทคู่กันตลอดในแทบทุกฉากด้วย
แต่ที่ผู้เขียนชอบกว่าก็คือการแสดงของ มาร์ก รัฟฟาโล ที่มาในบทพ่อของอดัมทั้งสองคน คือตัวพาร์ทดราม่าช่วงแรกๆ แม้จะมีช่วงที่อดัมตอนโตมาเจอกับแม่เพื่อจะบิ้วให้ซึ้งๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้อินได้นัก แต่พอถึงช่วงที่พ่อของอดัมที่ มาร์ก รัฟฟาโล เล่น กลายเป็นช่วงที่เหมือนเขาแทบขโมยบทนำไปเลย ด้วยนิสัยที่ยึดมั่นว่าตัวเองไม่ควรรู้อะไรในอนาคตทั้งสิ้น (ในเรื่องคืออีกไม่กี่ปีเขาจะตาย) ทำให้เขาดูเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการสุดๆ แต่บทก็เปิดโอกาสให้เขาได้เข้ามาช่วยกู้วิกฤติมีบทมากมายในช่วงหลัง จนถึงเป็นคนพลิกเกมตอนจบ และต่อด้วยดราม่าครอบครัวที่อบอุ่นปิดท้าย ซึ่งมาร์กทำได้ดีมากจนคนดูน่าจะอินพอสมควรกับจุดนี้ของเรื่องได้ไม่มากก็น้อย
ส่วนตัว โซอี ซัลดานา นี่เหมือนงบจ้างมาแค่นั้นสั้นๆ เธอออกมาหลักๆ แค่กลางเรื่อง ซึ่งก็เป็นคาแรกเตอร์สายบู๊ตามสไตล์ของเธอที่หนังเรื่องไหนๆ ก็ชอบวางตำแหน่งนี้ไว้ คือบู๊เก่งกว่าพระเอกอีก และในส่วนของพาร์ทดราม่าก็มีสั้นๆ ซึ่งก็น่าเสียดายที่บทของเธอมีแค่นั้นจริงๆ
ในส่วนแอ็กชั่นไซไฟตัวหนังทำได้แค่เพลินๆ ในระดับหนึ่ง คือก็มีฉากใหญ่โชว์แอ็กชั่นต่อสู้ตัวๆ ของอดัมที่มีกระบองแสงเหมือนไลท์เซเบอร์ติดตัว มีฉากขับเครื่องบินไล่ล่า มีฉากใหญ่ปิดท้ายเรื่องแบบแนวระเบิดภูเขาเผากระท่อม แต่ทั้งหมดก็ยังทำได้แค่กลางๆ ไม่ได้เดือด มันส์ ลุ้น อะไรมาก คือดูเอาสนุกๆ ได้ แต่ก็ไม่ขนาดว่าน่าจดจำอะไร แถมหลายจุดในฉากพวกนี้ไม่สมเหตุผลขนาดที่ผมต้องเอ๊ะสงสัยกันแน่ๆ อย่างพวกที่มาตามจับพระเอกถูกกระบองตีโดนตรงไหนก็สลายหายเลย สรุปนี่มันคือยังไงในเรื่องก็ไม่มีอธิบาย ฉากใหญ่ตอนท้ายก็เหมือนบริษัทร้างไม่มีการป้องกันภัยอะไรเลย ตัวบทเหมือนแค่ต้องการเซ็ตให้มีฉากแบบนี้ๆ ก็ยัดเข้ามาให้มันมีเท่านั้น ตัวร้ายก็ออกแนวง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน เปิดตัวกันตั้งแต่แรก ไม่มีหักมุมใดๆ ทั้งสิ้น แต่โดยรวมถ้าไม่คิดถึงเหตุผลเลยก็ดูผ่านๆ เอาสนุกได้อยู่ครับ งานโปรดักชั่น CG ทั้งหมดก็ทำได้ดี แค่อาจจะไม่ดูบิ๊กหรือเนี๊ยบมากเท่านั้น
สรุป The Adam Project สนุกและดีไหม
สนุกแบบพอดูเพลินๆ ได้ แต่ไม่ได้เป็นหนังที่ดีอะไรมาก เน้นย่อยง่ายสไตล์หนังเด็กที่มีผู้ใหญ่เข้ามาเป็นตัวเอกร่วมด้วยแค่นั้น