รีวิว The Bubble (Netflix) หนังรวมดาราฮาไปกับมุกล้อเลียนจูราสสิคปาร์ค+โควิด
The Bubble
สรุป
หนังรวมดาราล้อเลียนงานสร้างจูราสสิคปาร์คแบบทุนต่ำ โดยอาศัยช่วงปัญหาโควิดมาเล่าเป็นแบ็คกราวด์ประกอบ เพื่อจิกกัดวงการภาพยนตร์และสตูดิโอฮอลลีวู๊ดตลอดเรื่อง โดยมีดาราตัวหลักในบทที่แปลกแตกต่างไปจากที่เราเห็นกันมาหลายคน รวมถึงยังมีดารารับเชิญจากทั้งมาร์เวลกับ DC มาแทรกฉากยิงมุกขำๆ จิกกัดตัวเองด้วย ซึ่งถ้าใครตามมุกในเรื่องทันก็คงสนุกขำฮาก๊ากได้หลายครั้งอยู่ แต่ถ้าไม่ทันก็จะกลายเป็นหนังน่าเบื่อยืดยาวถึง 2 ชั่วโมงที่หาแก่นสารอะไรแทบไม่ได้เลย เพราะนี่เป็นงานที่เหมือนด้นสดเขียนบทมาหลุดโลกเพื่อเอาฮาเท่านั้น
Overall
7/10User Review
( vote)Pros
- รวมดาราดังมาเล่นอะไรหลุดโลกล้อเลียนวงการภาพยนต์
- ล้อเลียนงานเบื้องหลังฉากกรีนสกีน
- จิกกัดนายทุนสตูดิโอฮอลลีวู๊ด
- นักแสดงจากมาร์เวลกับ DC มาเป็นดารารับเชิญ
- งาน CG ทุนต่ำแต่ค่อนข้างดีเลย
- มีพากย์ไทย
Cons
- หนังยาวสองชั่วโมงแบบเล่นอะไรไปเรื่อยเปื่อยเรื่อยๆ ถ้าไม่เก็ทไม่คลิกกับมุกพวกนี้ก็น่าเบื่อทันที
- จบเหมือนตั้งใจให้เจ๋ง แต่ก็ไม่ได้เจ๋งอะไรมาก
The Bubble ภาพยนตร์ Netflix ตลกสุดฮา ที่มาในคอนเซปต์รวมเหล่านักแสดงในวงการดังๆ หลายคน ที่ต้องมาเล่นหนังล้อเลียนจูราสสิคปาร์ค ในช่วงโควิด 19 ระบาด และต้องติดอยู่ในโรงแรมเพื่อกักตัวถ่ายทำร่วมกัน จนทำให้พวกเขาประสาทแดก
ตัวอย่าง The Bubble
หนังตลกที่เหมือนคิดมุกสดล้อเลียนการทำหนังในช่วงระบาดโควิด 19 ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องใหม่เพราะมีหลายเรื่องก็เอาช่วงโควิดมาเล่นเป็นมุกตลกมาก่อนแล้ว แต่เรื่องนี้ดูจะจริงจังกับการล้อเรื่องโควิดกันสุดๆ กว่าเรื่องไหน เพราะล้อตั้งแต่พล็อตเรื่องที่ว่าด้วยการสร้างหนังภาคต่อไดโนเสาร์บินได้กินคนที่มีมาแล้ว 5 ภาค ที่ดูก็รู้ว่าล้อเลียนจูราสสิคพาร์คกันตรงๆ โดยอ้างว่าถ้าไม่ทำหนังออกมาอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของฮอลลีวู๊ดต้องมีอันล่มจมแน่ ซึ่งเรื่องนี้ก็เลือกโลเกชั่นการระบาดไปที่อังกฤษเมื่อ 2 ปีก่อน แล้วบังคับให้ดารานักแสดงในเรื่องต้องอยู่ในโรงแรมถ่ายทำเรื่องนี้ในแบบมาตรการป้องกันโควิดสุดๆ ที่เรียกว่า “บับเบิล” คือเซฟทุกอย่างให้ปลอดภัยไม่ให้โควิดมาทำลายการถ่ายทำนี้ได้ แต่ในอีกนัยนึงก็คือทางสตูดิโอจับพวกนักแสดงมาขังบังคับเล่นหนังเรื่องนี้ให้จบในสภาวะการกักตัวถ่ายทำที่เลวร้ายขั้นสุดยอด
สิ่งที่ฮาในเรื่องนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่มุกเรื่องโควิดสักเท่าไหร่ เพราะส่วนนี้เป็นแค่โครงหลวมๆ หุ้มเรื่องนี้ไว้เหมือนบับเบิลที่รอวันแตกแน่ๆ เท่านั้น แต่เป็นความฮาจากความติ๊งต๊องการถ่ายทำหนังคลิฟบีสต์ในเรื่องมากกว่า ส่วนนึงเลยที่ฮาก็เพราะมันพยายายามล้อจูราสสิคปาร์คหลายอย่างแบบทุนต่ำ ด้วยการเล่นกับเบื้องหลังกรีนสกรีนโดยมีคนแต่งเป็นไดโนเสาร์หลอกๆ ไว้เป็นเป้าสายตาของนักแสดง ซึ่งมันก็คือเบื้องหลังการถ่ายทำของหนังจูราสสิคปาร์คจริงๆ แต่ถูกนำมาทำให้ฮาจากคนเบื้องหลังฉาก โดยมีฉากจริงที่ทำให้เสร็จแล้วให้ดูก่อนตัดมากรีนทสกรีน และบทหนังไดโนเสาร์ที่ทำออกมาก็เจาะกลุ่มเด็กดู จนบทจะเขียนยังไงก็ได้ แบบมีไดโนเสาร์ออกมาเต้นลงติ๊กต็อกแบบนี้หน้าตาเฉย หรือฉากยิงเจี๊ยวไดโนเสาร์เพราะมันเป็นจุดอ่อนงี้ ซึ่งก็ชวนให้ขำได้อยู่เรื่อยๆ ตัวนักแสดงก็ต้องทนเล่นกับบทหนังพิลึกๆ แบบนี้จนทำเอาสติแตกตามไปด้วย แต่ก็แย้งไม่ได้เพราะผู้กำกับสั่งมายังไงก็ต้องเล่น กลายเป็นสะสมความไม่พอใจไว้รอระเบิดในตอนท้ายด้วยการรวมตัวหนีจากบับเบิล ซึ่งก็พยายามทำให้เป็นไคลเม็กซ์งบจำกัดทุนต่ำ แต่ก็มีอะไรพอให้ขำอยู่นิดๆ ได้เหมือนกัน
ที่ฮาอีกส่วนคือการต่อสู้กันของทีมงานผู้สร้างที่พยายามกักตัวนักแสดงไม่ให้หนีออกกอง โดยใช้การป้องกันที่เว่อร์เกินจริงเหมือนสนามรบ มีแสงอินฟาเรดดักจับพื้นที่นอกโรงแรมกันคนหนี มีกระทั่งใช้ปืนจริงยิงนักแสดงที่พยายามหนีจนเนื้อกระจุยด้วยก็มี ตัวหนังจึงติดเรต R ไม่ใช่แค่เพราะมุกตลกลามกเท่านั้น แต่มีความรุนแรงจากแหวะกับฉากหวาดเสียวด้วย แต่ฉากเหล่านั้นก็ถูกทำออกมาให้เป็นตลกล้วนๆ ซึ่งก็พอขำๆ ได้อยู่
นอกจากนี้ตัวหนังยังเน้นจิกกัดการทำงานเบื้องหลังในวงการของพวก โปรดิวเซอร์ นายทุน ในรูปแบบเล่นบทโหดกรูไม่สนใจ ยังไงคนทำหน้างานก็ต้องทำให้ได้ แม้ดาราจะเจ็บป่วย ทรมานแค่ไหน ทุนกับเวลาไม่พอถ่ายก็ขอเพิ่มไม่ได้ พวกนี้ก็ต้องเล่นบทโหดต่อหน้าบังคับให้ทำกันให้ได้เป็นทอดๆ ซึ่งก็ฮาดีเพราะความจริงเบื้องหลังในวงการก็ประมาณนั้นเลย เมื่อทุกอย่างไม่พร้อมแต่ดันทุรังถ่ายให้จบ ก็กลายมาเป็นงานคุณภาพต่ำในภายหลัง ผู้กำกับกับดาราก็ซวยต้องรับผิดชอบไป
ในเรื่องยังมีส่วนกิมมิคเจ๋งๆ คือการใส่ดาราดังรับเชิญมาในบทสั้นๆ หลายช่วง (นอกเหนือจากดาราหลักหลายคนที่เป็นรุ่นเก๋ามากอย่าง เดวิด ดูคอฟนี ที่เล่นซีรีส์ X-file ในตำนาน) ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากมาร์เวลด้วย เพราะอย่างนางเอกเองก็คือ คาเรน กิลแลน ที่เล่นเป็นเนบิวล่าในการ์เดียน ในตัวอย่างเราจะเห็น เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ แต่ในเรื่องยังมีมากกว่านั้นอย่าง เจมส์ แม็กอะวอย และยังมีนักแสดงจาก DC ที่ดังตอนนี้ด้วย ส่วนจะเป็นใครต้องลองดูเองครับ ถึงมาสั้นๆ ก็จริง แต่ก็ชวนฮาทุกครั้งที่มีดาราพวกนี้โผล่หน้ามาขโมยซีนครับ
ในเรื่องนี้ถึงแม้จะเล่าเรื่องเบื้องหลังการถ่ายทำมากกว่า แต่ตัวหนังคลิฟบีสต์ที่ซ้อนในเรื่องเองก็มีการเล่าเรื่องตัดฉากตามลำดับตั้งแต่ต้นจนจบให้ดูด้วย โดยเป็นแบบหนังที่ทำ CG เสร็จแล้ว และก็ออกมาสวยใช้ได้เลย คือถึงจะไม่เนียนขนาดจูราสสิคปาร์ค แต่ก็ไม่ขี้เหร่แบบเกรด B อะไรขนาดนั้น ให้สัก B+ ซึ่งพอดูไปดูมาอยากให้ทำเรื่องนี้ออกมาจริงๆ เหมือนหนังแนวจูราสสิคแต่เบาสมองกว่า เชื่อว่าก็น่าจะมีคนอยากดูไม่น้อย เพราะแค่ในเรื่องนี้ก็ถือว่าสนุกใช้ได้เลย
ด้วยความที่ตัวหนังยำเรื่องราวมากมาย แถมบางทียังรู้สึกว่าบทเหมือนด้นสดกันอีก ทำให้ตัวเรื่องเหมือนหาทางจบไม่ลงสักทีจนลากยืดยาวไปสองชั่วโมง แรกๆ อาจจะสนุกได้หลายฉาก แต่พอยาวไปก็เริ่มเบื่อ ซึ่งพอจะจบก็เลยหักเรื่องจบลงดื้อๆ ด้วยมุกฉีกแบบจิกกัดคนดูไปอีกว่าหนังทำทั้งเรื่องมาแย่แค่ไหน คนก็สนใจแค่ตอนจบเท่านั้น ถ้ามันดีคนก็พูดถึงกันแค่ตรงนี้ ซึ่งมันก็มีความจริงอยู่หน่อยๆ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ถือว่าจบดีอะไร ออกจะห้วนๆ มั่วๆ ไปนิดๆ ด้วย
สรุป The Bubble สนุกและดีไหม
หนังดูสนุกได้ถ้าคนตามมุกจิกกัดล้อเลียนต่างๆ ในเรื่องทัน แต่ถ้าตามไม่ทันก็กลายเป็นหนังติ๊งต๊องน่าเบื่อได้ทันทีเหมือนกัน เหมือนหนังที่คนสร้างทำออกมาฆ่าเวลาไปพลางๆ ระหว่างปัญหาโควิดมากกว่าครับ