รีวิว The Call (Netflix) ลุ้นระทึกกดดันปั่นประสาท ผ่านห้วงเวลาทางโทรศัพท์ (ไม่มีสปอยล์)
The Call
สรุป
พล็อตอาจจะดูไม่แปลกใหม่ แต่เนื้อในนี่คือสุดยอดของหนังไซไฟทริลเลอร์ที่ครบเครื่อง กดดันลุ้นระทึกกันตลอดเวลา และก็ทำได้ถึงในทุกองค์ประกอบและแนวทาง ทั้งทริลเลอร์ระทึกขวัญ ไล่เชือดเลือดสาด ดราม่าซึ้งๆ ตรึงอารมณ์ ฉากไซไฟนี่ล้ำจนต้องกรอดูซ้ำกันเลยทีเดียว อีกทั้งฉากจบที่กล้าแตกต่างและปลายเปิดเผื่อไว้ไปต่อได้อีกด้วย และแน่นอนว่าแค่ดูนางเอกพัคชินฮเยก็คุ้มแล้วครับ
Overall
9/10User Review
( votes)Pros
- ส่วนผสมของแนวไซไฟทริลเลอร์แบบเอเชีย ที่ทำได้ถึงในทุกองค์ประกอบของเรื่อง
- นางเอกพัคชินฮเยกับบทสองลุคผมยาวผมสั้นที่น่ารักมากทั้งคู่
- นักแสดงจุนจงซอในบทคู่ปรับนางเอกที่เล่นได้จิตสุดๆ
- ประเด็นปัญหาครอบครัวที่มีความลึกถึงปมทางจิตที่มีผลกระทบต่อเด็ก
- ฉากวิชวลไซไฟที่ครีเอทออกมาได้ล้ำมาก
- มีฉากโหด และความรุนแรงสูง (แต่ไม่แหวะ)
- มีเสียงพากย์ไทย
Cons
- ขาดที่มาที่ไปของเรื่องการโทรศัพท์ข้ามห้วงเวลา
- ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงอนาคตบางจุดยังดูหลวมๆ ขาดเหตุผล
The Call สายตรงต่ออดีต หนังเกาหลี Original Netflix แนวไซไฟทริลเลอร์ เมื่อหญิงสาวเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่ และได้รับสายโทรศัพท์จากคนในอดีตที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกัน ก่อเกิดเป็นมิตรภาพเพื่อนต่างห้วงเวลา ที่ชักนำไปสู่คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่มีเธอเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องทั้งหมด
ตัวอย่าง The Call สายตรงต่ออดีต
สำหรับพล็อตเรื่องการได้ยินเสียงจากอดีตผ่านเครื่องมือสื่อสารข้ามห้วงเวลา มีทำกันมาหลายเรื่องแล้ว ทั้งเกาหลีเองอย่างซีรีส์ซิกแนล หรือของฝรั่งเองก็หลายเรื่องนับไม่ถ้วน ซึ่งก็มีทั้งแนวหนังรักข้ามเวลา หรือพวกดราม่าจัดๆ แนวทริลเลอร์มีเช่นกันเพราะพล็อตเรื่องแนวนี้สามารถบิดให้เป็นแนวไหนก็ได้ ซึ่ง The Call เองก็วางตัวเป็นแนวทริลเลอร์ สยองขวัญ ดูจากภายนอกอาจจะไม่ได้แตกต่างไปจากเรื่องอื่น แต่ลึกลงไปภายในเรื่องนี้กลับกลายเป็นหนังที่ต้องบอกว่าน่าจะเต็ง 1 ของปีนี้ที่มีบน Netflix ทั้งในแง่ของความสนุก ฉีกแตกต่าง งานโปรดักชั่นคุณภาพสูงมากแทบไร้ที่ติ แทบไม่น่าเชื่อว่านี่เป็นผลงานกำกับครั้งแรกพ่วงเขียนบทด้วยของ ลี ชอง-ฮยอน (แอบหล่อมากด้วย คลิกดูรูปที่นี่) แถมยังด้วยดารานำขวัญใจคนดูอย่าง น้องผัก หรือ พัคชินฮเย ที่ก่อนนี้ Netflix ก็พึ่งเอาเรื่อง #ALIVE มาลง เป็นแนวซอมบี้ที่แทบไม่มีความแปลกใหม่อะไรเลย แต่ก็ยังโดดเด่นด้วยดารานำอย่างพัคชินฮเยเช่นเดียวกัน ซึ่งในเรื่องนี้เธอเป็นดารานำคู่กับ จุนจงซอ (Jun Jong-Seo) ที่มีผลงานภาพยนตร์ก่อนนี้เพียงเรื่องเดียวอย่าง Burning แต่ก็ถือว่าเป็นหนังดังที่ทำให้เธอแจ้งเกิดในวงการนี้ได้ และก็คงถูกจับตามากขึ้นไปอีกเมื่อมารับบทนำเล่นคู่กับพัคชินฮเย ในบทที่เป็นทั้งเพื่อนรักต่างห้วงเวลาและเป็นฆาตกรต่อเนื่องในเวลาเดียวกัน
เนื้อเรื่อง The Call สายตรงต่ออดีต
ตัวเรื่องครึ่งแรกเดินเรื่องไปด้วยมิตรภาพใสๆ ต่างห้วงเวลา ที่คงทำให้คนดูที่ไม่เคยดูตัวอย่างหรือรู้แนวเรื่องมาก่อนนึกว่าเป็นแนวใสๆ เลยก็ว่าได้ เพราะมีฉากที่ทั้งคู่แลกเปลี่ยนมิตรภาพผ่านห้วงเวลากันเป็นอะไรที่ดีมาก โดยซอยอนก็เปิดยูทูบหานักร้องที่ยองซุกชอบเพื่ออัดเทปกลับไปฟังได้ ยองซุกเองก็ส่งของจากในอดีตมาให้ซอยอน ต่างคนต่างเติมเต็มกันและกัน ซึ่งตัวละครทั้งคู่ต่างมีบาดแผลเดียวกันคือกำพร้าพ่อกับการที่ไม่ชอบแม่ ในกรณีของซอยอนคือการกล่าวโทษว่าแม่เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุที่ทำให้พ่อตาย ซึ่งต่อมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามเปลี่ยนอดีต และลึกๆ แล้วตัวหนังยังซ่อนความลับในเรื่องนี้ไว้ลึกลงไปอีกในภายหลัง ซึ่งถือว่าการเขียนบทนี้ไม่ธรรมดาเลยที่ปมพื้นๆ ในเรื่องยังมีอะไรมากอีกมายในนั้น และก็เป็นจุดที่ทำให้เรื่องใส่แนวดราม่าครอบครัวลึกซึ้งเพิ่มได้อีก โดยใช้ปมนี้ปมเดียวมาเป็นจุดพลิกของเรื่องราวได้อีกหลายครั้ง ซึ่งรับรองว่าแอบมีน้ำตาซึมกันได้แน่ๆ ครับ และตัวน้องผักเองก็เอาอยู่กับบทบาทที่ได้รับในเรื่องนี้ ทั้งฉากดราม่าซึ้งๆ และฉากถูกไล่เชือดที่สวยใสทั้งสองลุค ผมสั้นกับผมยาว สลับไปมาตามอนาคตที่เปลี่ยนไป
ในส่วนของยองซุกกับแม่บุญธรรมที่ทารุณกรรมลูกอยู่ตลอดเวลา ก็กลายมาเป็นชนวนเหตุฝังรากลึกให้ตัวละครนี้มีบาดแผลในจิตใจ ที่นอกจากโรคจิตเภทที่เธอเป็นอยู่แล้ว แม่ของเธอกลับทำให้หนักขึ้นไปอีก ซึ่งช่วยให้น้ำหนักกับการเปลี่ยนแปลงตัวละครนี้จากมิตรภาพใสๆ กับซอยอน กลายมาเป็นฆาตกรต่อเนื่องได้อย่างน่าเชื่อถือ และก็มีความน่าเห็นใจลึกๆ ไปพร้อมกัน และไม่ใช่แค่ฆาตกรธรรมดา แต่ยองซุกเรียกว่าเป็นฆาตกรที่ฉลาด สามารถใช้อดีตเล่นงานอนาคตของซอยอน เพื่อบีบให้เธอช่วยเหลือด้วยข้อมูลในอนาคตส่งกลับมาหาเธอได้ ซึ่งก็กลายเป็นเกมชิงไหวพริบวางแผนจัดการอีกฝ่ายต่างห้วงเวลา ที่คนเขียนบทเรื่องนี้ร้ายมากที่สามารถทำให้ทั้งคู่ต่างสูสีกันได้ และก็มีจุดได้เปรียบเสียเปรียบในคนละห้วงเวลาพอๆ กัน ซึ่งในช่วงหลังเต็มไปด้วยฉากลุ้นระทึกคาดเดาไม่ได้ไปจนจบ และต้องบอกเลยว่าฉากจบต่อเนื่องในเอนเครดิตของเรื่องนี้คือ ความกล้าแตกต่างจากสูตรสำเร็จที่ไม่ธรรมดา แถมยังแอบปลายเปิดให้ทำต่อได้อีกด้วย
จุดเด่นของเรื่องนอกจากการไล่ล่าข้ามห้วงเวลาแล้ว ก็คือฉากไซไฟแก้อดีตเปลี่ยนแปลงอนาคต ที่นำเสนอภาพวิชวล CG แบบครีเอทออกมาได้ล้ำมากๆ ถึงขั้นเรียกว่าระดับเท่ากับหนังฮอลลีวู๊ดดังๆ ได้เลย ซึ่งรับรองว่าฉากแรกที่ยองซุกเปลี่ยนอดีตให้กับซอยอนครั้งแรกเป็นอะไรที่ตื่นตะลึง ล้ำจนคนดูว้าวจนต้องกรอดูซ้ำได้เลย เพราะโดยทั่วไปหนังที่เปลี่ยนอดีต-อนาคตแบบนี้มักจะไม่ได้มีฉาก CG อะไรมาก ส่วนใหญ่ก็แค่ตื่นมาเห็นการเปลี่ยนแปลงไป แต่กับเรื่องนี้คือการเปลี่ยนสดๆ ณ เวลานั้นเลย และก็ครีเอทฉากออกมาให้อนาคตกับอดีตสัมพันธ์กันได้อย่างแนบเนียน ซึ่งไม่ใช่แค่การโชว์เหนือ แต่ฉากเหล่านี้ยังช่วยส่งอารมณ์ของเรื่องในตอนนั้นให้คนดูอินได้มากขึ้นอีกด้วย แต่แอบเสียใจนิดๆ ที่ระหว่างทางโชว์ CG มาตลอด แต่ตอนจบที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญสุดของเรื่อง กลับทำออกมาเรียบง่ายเหมือนไม่ได้ต้องการใช้ CG อะไร ซึ่งก็อาจจะเป็นความต้องการของผู้กำกับที่ไม่อยากให้ฉากวิชวลตอนนี้มาบดบังดราม่าปิดเรื่องในตอนจบก็เป็นได้ครับ
แม้จะวางตัวเป็นแนวไซไฟทริลเลอร์ แต่ตัวเรื่องมีความโหดเลือดสาด พร้อมความรุนแรงสูงจนเรียกว่าเป็นแนวสยองขวัญเพิ่มไปอีกก็ได้ ซึ่งฉากโหดในเรื่องก็เริ่มมาจากแม่ของยองซุกที่ทำทารุณกรรมลุกสาวต่างๆ นาๆ แบบน่าหวาดเสียว จนยองซุกเองก็กลายมาเป็นฆาตกรวิปริต ซึ่งมีฉากศพถูกหั่น แทงคอเลือดกระฉูด ฉากราดน้ำร้อนทรมานเหยื่อ ซึ่งในแง่ของความรุนแรงแล้วหนังจัดมาเต็มที่ แต่ก็ไม่ได้ออกมาแหวะจนดูไม่ได้ครับ
จุดด้อยของเรื่องก็คงเป็นเรื่องไซไฟที่ไม่มีคำอธิบายว่าทำไมทั้งคู่ถึงติดต่อกันผ่านโทรศัพท์ข้ามเวลาได้ รวมถึงทฤษฎีการเปลี่ยนอดีตแก้อนาคตในเรื่องที่มีช่องโหว่ให้เห็นอยู่บ้าง อย่างทำไมยองซุกไม่จัดการนางเอกในอดีตไปเลย แต่กลับเอามาเธอมาเล่นเกมปั่นหัวจนถึงตอนหลังที่ความสามารถนางเอกน่าจะไม่มีประโยชน์กับเธอแล้ว หรือการที่นางเอกได้รับผลกระทบโดยตรง แต่กลับจำอดีตที่ถูกเปลี่ยนไม่ได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นที่เธอเป็นเด็ก แต่รวมๆ แล้วถ้าไม่คิดมากแบบจับผิด ก็จะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องพวกนี้ครับ เพราะเรื่องก็ค่อนข้างสมูธมากแล้วในการเปลี่ยนผ่านแต่ละครั้ง ยกเว้นเรื่องขาดคำอธิบายของโทรศัพท์ข้ามมิติเท่านั้น ถ้ามีใส่มาสักนิดน่าจะทำให้เรื่องสมบูรณ์มากกว่านี้ครับ
ต้องบอกว่านี่เป็นหนังเกาหลีของ Netflix ที่ดีมากจนรู้สึกเลยว่าเน็ตฟลิกซ์มาถูกทาง หรืออาจจะถูกหวยจากการไปซื้อหนังดีขนาดนี้มาลงในระบบได้เพราะปัญหาโควิดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งนี่คือหนังที่คุณภาพสูงมากทุกด้าน จนห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงครับ