รีวิว The Children’s Train รถไฟขนเด็ก (Netflix) อบอุ่นด้วยความรักจากแม่หลังสงครามโลก
The Children's Train
Summary
หนังจากประวัติศาสตร์จริงของอิตาลีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลในด้านดีและฉายภาพการสร้างประเทศใหม่ด้วยความหวังของทางเหนือที่อยากช่วยเด็กทางใต้มาดูแลให้รอดปลอดภัยจากทุกอย่าง ตัวเรื่องเล่าถึงเด็กที่ได้รับความอบอุ่นจากทางเหนือจนทำให้แม่ทางใต้กลัวจะเสียลูกไป จนเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่ส่งผลร้ายกับเธอแต่มันดีกับลูก ซึ่งหนังมีโทนอบอุ่นฟีลกู๊ดแทบทั้งเรื่อง แทบไม่มีภาพสงครามความโหดร้ายสะเทือนใจให้เห็น เรื่องดูเรียบๆ แต่ก็ดีงามในความรู้สึกที่สะท้อนอารมณ์ความรักของแม่ออกมาได้แตกต่างทั้งสองด้าน ถือเป็นหนังแนวประวัติศาสตร์จากสงครามที่อบอุ่นด้วยความรักและมักไม่ค่อยมีใครทำแนวนี้ออกมาครับ
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- สร้างจากจากนิยายขายดีทั่วโลก
- ประวัติศาสตร์จริงของอิตาลีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
- ความรักของแม่ที่แตกต่าง
- คอมมิวนิสต์ด้านดีในยุคนั้น
- นักแสดงเด็กที่ดีงาม
- มีพากย์ไทย
Cons
- ต้องรู้ประวัติศาสตร์ของอิตาลีตรงนี้มาก่อนหรือไปอ่านเพิ่มเติมบ้างเพราะหนังแทบไม่ได้เล่าอธิบายสังคมตอนนั้นเลย โดยเฉพาะประเด็นคอมมิวนิสต์ที่แตกต่างออกไป
The Children’s Train รถไฟขนเด็ก ภาพยนตร์ Original Netflix อิตาลี แนวดราม่า เรื่องราวของ ในปี ค.ศ. 1946 เด็กชายอายุ 8 ขวบออกเดินทางจากแม่ที่ยากจนส่งเขาขึ้นรถไฟเพื่อไปอาศัยอยู่กับครอบครัวที่มีฐานะดีกว่าในภาคเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการจากพรรคคอมมิวนิสต์หลังสงครามที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ให้พ้นจากความยากจน แต่สิ่งนี้กลับทำให้เขากับแม่ต้องแยกทางกันตลอดไป
รีวิว The Children’s Train รถไฟขนเด็ก
หนังเรื่องนี้สร้างจากนิยายดังที่ตีพิมพ์ไปทั่วโลก ในไทยก็มีแปลวางขายมานานแล้วเช่นกัน ด้วยเรื่องราวที่เรียบง่ายอบอุ่นเต็มไปด้วยความรักหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง แต่บ้านเมืองก็ไม่ฟื้นคืนกลับมาได้เหมือนเดิม ทำให้ผู้คนต่างลำบากป่วยไข้และอดตายโดยเฉพาะเด็กเล็กๆ จึงมีโครงการส่งเด็กไปทางเขตที่มีชีวิตที่ดีกว่า แต่กลับมีการต่อต้านมากมายจากคนที่ไม่เข้าใจและกลัวภัยร้ายจากคอมมิวนิสต์ ซึ่งนี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในอิตาลี ยุคที่ยังมีแนวคิดคอมมิวนิสต์หลงเหลืออยู่ในประเทศครับ
ถึงหนังจะอยู่ในฟีลแนวประวัติศาสตร์จากสงคราม แต่เรื่องราวในหนังไม่ได้ขายภาพความโหดร้ายแบบหนังสงครามให้ดูน่ากลัว นอกจากพวกโครงกระดูกที่หลงเหลือเป็นซากยังไม่ได้เก็บ สิ่งอื่นๆ คือสภาพสังคมหลังจบสงครามที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังเท่านั้น พร้อมกับสะท้อนภาพความคิดที่หลงเหลืออยู่หลังจากโซเวียตช่วยทำให้ชนะนาซีได้ การรุกคืบเข้ามาของคอมมิวนิสต์ในเรื่องก็ไม่ได้เป็นในแบบน่ากลัว เรื่องแทบจะทำตรงกันข้ามเลยเพราะนำเสนอผู้คนในยุคนั้นที่ส่วนหนึ่งเชื่อว่าคอมมิวนิสต์จะมาช่วยฟื้นฟูประเทศได้จริงๆ จากความตั้งใจดีของคนอิตาลีเอง โดยตอนนั้นก็เป็นพรรคการเมืองที่มีพลังและความตั้งใจผลักดันโครงการส่งเด็กขึ้นรถไฟไปเหนือเพื่อช่วยประชาชนจริงๆ ซึ่งทีมงานคอมมิวนิสต์เหล่านี้ก็คือคนที่ต่อสู้กับนาซีช่วยประเทศให้รอดมาด้วย เพียงแต่ความกลัวของแม่ที่ต้องเสียลูกไปช่วงเวลานั้นทำให้เกิดการประโคมข่าวคอมมิวนิสต์ไปในทางชั่วร้าย อย่างการตัดมือเด็ก ทำให้โครงการนี้ถูกต่อต้านในช่วงแรก แต่ความหิวโหยกับโรคร้ายก็ทำให้แม่ตัดสินใจเสี่ยงดีกว่าปล่อยลูกตายไปกับเธอ
หนังถ่ายทอดภาพการรวมใจกันฟื้นฟูประเทศ โทนหนังในเรื่องนี้จึงไม่ได้มาแนวหดหู่ แต่ถูกนำเสนอด้วยภาพความหวัง ความรัก อบอุ่นอบอวลไปตลอดเวลาที่อยู่กับผู้ใหญ่ ซึ่งในเรื่องคืออิตาลีเหนือกับใต้ ทางใต้ที่แม่กับเด็กอยู่คือยากจน แต่ถึงลำบากยังไงแม่ก็ยังมีความรักที่มอบให้ลูกอยู่เสมอ เพียงแต่เขายังเด็กก็อาจจะไม่เข้าใจความปราถนาดีนี้ ส่วนทางเหนือคือผู้หญิงที่เป็นคนส่วนใหญ่ในสังคมเพราะผู้ชายไปรบล้มตายกันไปเยอะ จึงกลายเป็นสังคมหญิงแกร่งที่ดูแลตัวเองได้และอยากรับเด็กจากทางใต้มาช่วยดูแลให้เป็นอนาคตต่อไปของประเทศ ซึ่งหนังถ่ายทอดฟีลความรักต่อเด็กของทั้งสองฝั่งออกมาคนละแบบ โดยผู้ชมเองก็คงรู้สึกว่าเด็กควรอยู่กับฝั่งทางเหนือมากกว่า แต่หนังก็แสดงให้เห็นประวัติศาสตร์ที่ดีกว่านั้นเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันแม้เด็กจะกลับมาอยู่ทางใต้แล้วก็ยังมีการติดต่อส่งจดหมายกับของใช้มาช่วยด้วย เป็นความรักที่ไม่อาจจะตัดขาดกันแม้จะห่างไกลกันมาก ซึ่งสิ่งนี้ก็หลงเลหือมาถึงปัจจุบันด้วยเช่นกัน
แต่สิ่งที่เรื่องนี้นำเสนอต่างออกไปก็คือ ตัวเอกเด็กชายจอมแสบที่ชื่อ อเมริโก แม่ของเขาเป็นผู้หญิงสวยเด่นของเมืองที่สามีไปอเมริกาไม่กลับมา ซึ่งในสถานะนั้นก็คือหม้ายสาวสวย มีแอบนอกใจบ้าง แต่นอกจากนั้นก็เป็นแม่ที่ดี เธอส่งลูกชายที่ผอมแห้งขาดอาหารไปเพื่อให้ได้การดูแลที่ดีกว่า แต่พอกลับมาเธอกลับมีความคิดว่าทางเหนือล้างสมองลูกของเธอเนื่องจากสิ่งที่ดีกว่าที่อเมริโกได้พบและเล่าให้เธอฟัง โดยมีไวโอลินจากพ่อบุญธรรมกลับมาเป็นคีย์สำคัญของเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหากับลูกชาย ซึ่งเธอคัดค้านทุกอย่างและกลัวการสูญเสียลูกชายไป ซึ่งหนังนำเสนออเมริโกที่ต้องพบกับความขัดแย้งในใจเมื่อแม่ที่แท้จริงที่เขารักกลับไม่ฟังและส่งเสริมเขา ต่างกับครอบครัวทางเหนือที่รักและใส่ใจในทุกอย่างของเขา ซึ่งเรื่องก็ทำให้อเมริโกตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต และก็มารู้ความจริงเมื่อเวลานั้นสายไปแล้ว ซึ่งหนังก็ถ่ายทอดเรื่องราวตรงนี้มาอย่างเงียบๆ แต่ก็สะเทือนใจไม่น้อยเมื่อความจริงที่ปรากฏขึ้นตรงข้ามกับสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอด
สิ่งที่หนังทำได้สมจริงมากอย่างหนึ่งคือ ตัวนักแสดงเด็กอเมริโกที่ผ่ายผอมเก้งก้างมากจนเหมือนเด็กขาดสารอาหาร ซึ่งเขาผอมแตกต่างจากคนอื่นที่ยังดูปกติในเรื่องอย่างชัดเจน จนดูเหมือนนักแสดงเด็กคนนี้ยอมลดน้ำหนักเพื่อเล่นบทนี้ให้สมจริงมากที่สุด ซึ่งมันเกี่ยวกับการตัดสินใจของแม่ที่ต้องส่งลูกไปและก็มอบแอปเปิลให้เขาไว้ แต่เขากลับไม่กินมัน (สังคมในเรื่องทางใต้คนกินทุกอย่างแม้แต่หมาแมวจนหมดเมือง แต่เป็นแค่คำบอกเล่าไม่มีภาพให้เห็น) ทำให้ประเด็นความอดอยากของเรื่องดูสมจริงมากขึ้นทันที ก่อนที่ตอนไปอยู่ทางเหนือตัวนักแสดงก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ ซึ่งหนังทำให้เห็นชัดถึงการเปลี่ยนแปลงนี้โดยตรงและแม่ของเขาก็รู้สึกถึงสิ่งนี้ได้จนเกิดเป็นความรู้สึกหวงแหนไม่อยากเสียลูกชายไปอีก ซึ่งความดีงามต้องยกให้ตัวนักแสดงเด็กคนนี้จริงๆ ครับ
สรุป หนังจากประวัติศาสตร์จริงของอิตาลีหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุคคอมมิวนิสต์มีอิทธิพลในด้านดีและฉายภาพการสร้างประเทศใหม่ด้วยความหวังของทางเหนือที่อยากช่วยเด็กทางใต้มาดูแลให้รอดปลอดภัยจากทุกอย่าง ตัวเรื่องเล่าถึงเด็กที่ได้รับความอบอุ่นจากทางเหนือจนทำให้แม่ทางใต้กลัวจะเสียลูกไป จนเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่ส่งผลร้ายกับเธอแต่มันดีกับลูก ซึ่งหนังมีโทนอบอุ่นฟีลกู๊ดแทบทั้งเรื่อง แทบไม่มีภาพสงครามความโหดร้ายสะเทือนใจให้เห็น เรื่องดูเรียบๆ แต่ก็ดีงามในความรู้สึกที่สะท้อนอารมณ์ความรักของแม่ออกมาได้แตกต่างทั้งสองด้าน ถือเป็นหนังแนวประวัติศาสตร์จากสงครามที่อบอุ่นด้วยความรักและมักไม่ค่อยมีใครทำแนวนี้ออกมาครับ