รีวิว The Expanse SS1-4 มหากาพย์ไซไฟยุคใหม่เทียบเท่า Game of Thrones (ไม่มีสปอยล์ทุกซีซั่น)
The Expanse
-
คะแนน SS1 - 8/10
8/10
-
คะแนน SS2 - 9.5/10
9.5/10
-
คะแนน SS3 - 9.5/10
9.5/10
-
คะแนน SS4 - 7/10
7/10
สรุป
ซีรีส์แนวไซไฟสุดยิ่งใหญ่ เนื้อเรื่องลึกล้ำเกินจินตนาการ และไม่เหมือนหนังไซไฟเรื่องดังในยุคที่ผ่านๆ มาอย่างสตาร์เทร็ค สตาร์วอร์ หรือเรื่องอื่นๆ เลย มีพื้นฐานสร้างจากนิยาย 9 เล่มรองรับ ทำให้ดีเทลรายละเอียดต่างๆ แน่น พร้อมด้วยความสมจริงทางฟิสิกส์ในอวกาศที่เป็นกฎเกณฑ์สำคัญใช้ประกอบการดำเนินเรื่องตลอด ใครที่ชอบแนวไซไฟ หรือหาซีรีส์แนวแอ็กชั่นดราม่าดีๆ ห้ามพลาดโดยเด็ดขาดครับ
Overall
8.5/10User Review
( votes)Pros
- เน้นความสมจริงของฟิสิกส์ในอวกาศ
- งานสร้างโปรดักชั่นคุณภาพสูงมากทุกด้าน
- เนื้อเรื่องแนวไซไฟยุคใหม่ที่ฉีกแตกต่างไปจากในอดีต
- มีพื้นฐานนิยายรองรับไว้จนจบแล้วแน่นอนที่ 9 เล่ม
Cons
- เรื่องราวการเมืองระหว่างฝ่ายเยอะ บางช่วงอาจจะดูน่าเบื่ออยู่บ้าง
- ตัวละครเยอะในตอนแรกและยังแบ่งเป็นหลายฝ่าย ทำให้ช่วงแรกมีสับสนงงๆ ตามเรื่องไม่ทัน
- ซีซั่น 4 เริ่มเรื่องขึ้นใหม่หมด ทำให้เรื่องดูเบาดรอปลงไปมาก
The Expanse (ดิเอ็กซ์แพนซ์) ซีรีส์แนวไซไฟระดับมหากาพย์ของ Amazon Prime เรื่องราวของจุดกำเนิดเฟิร์สคอนแทคกับสิ่งมีชีวิตนอกพิภพ ที่ยิ่งใหญ่ลึกล้ำเกินจินตนาการกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจได้ จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามระหว่างดวงดาวที่มีเดิมพันถึงขั้นจุดจบของมวลมนุษย์ชาติ
ตัวอย่าง The Expanse
ด้วยความที่ซีรีส์เรื่องนี้มีมายาวนาน 5 ปีแล้วกับ 4 ซีซั่น และก็โด่งดังมากในต่างประเทศ แต่ที่ไทยอาจจะไม่ค่อยมีใครรู้จักมากนัก ทั้งๆ ที่เคยลง Netflix มาก่อนด้วยเหมือนกัน รีวิวนี้จึงขอเท้าความเรื่องราวความเป็นมาของเรื่องนี้ก่อนจะมาอยู่ที่ Amazon Prime คร่าวๆ ให้ได้เข้าใจกันก่อนว่ามันเป็นมายังไงถึงได้ย้ายค่ายจนมาอยู่ที่ Amazon ได้ที่สุดครับ
ซีรีส์เรื่องนี้สร้างมาจากนิยายในชื่อเดียวกันของ James S.A. Corey ที่เป็นนามปากการ่วมของนักเขียนผู้แต่งเรื่องนี้สองคน Daniel Abraham กับ Ty Franck ทั้งคู่อาศัยอยู่ในรัฐนิวเม็กซิโก ของอเมริกา โดยมีผลงานนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องแรกในซีรีส์ The Expanse Leviathan Wakes วางจำหน่ายเมื่อปี 2011 และก็ได้ผลตอบรับดีเยี่ยมทันที จนถึงขั้นได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Hugo Award for Best Novel ปี 2012 และรางวัล Locus Award ปี 2012 สำหรับนวนิยายแนววิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นตัวการันตีความเยี่ยมยอดของเรื่องนี้ได้ และทั้งคู่ก็ได้ปล่อยผลงานต่อเนื่องในซีรีส์ชุดนี้มาต่อเนื่องติดๆ กันแทบทุกปี Caliban’s War (2012), Abaddon’s Gate (2013) และอื่นๆ จนถึงตอนนี้คือเล่ม 9 กำลังวางขายปี 2021 ในชื่อ Leviathan Falls ที่ยังคงเป็นเรื่องราวต่อเนื่องกันมาทั้งหมดตั้งแต่เริ่มแรกและมาสิ้นสุดที่เล่มนี้เป็นเล่มสุดท้าย (ดูเว็บไซต์หลักของผู้แต่งที่นี่)
ในส่วนของซีรีส์ชุดนี้ถูกสร้างขึ้นและฉายครั้งแรกปี 2015 บนช่อง Syfy เคเบิลของอเมริกาที่เน้นแนวไซไฟของเครือ NBC โดยมีผู้สร้าง Mark Fergus กับ Hawk Ostby ที่เป็นผู้เขียนบทเรื่อง Children of Men ที่ได้เข้าชิงออสการ์สามรางวัล ของผู้กำกับ Alfonso Cuarón ที่หลายคนอาจจะไม่คุ้นเชื่อเท่าไหร่ แต่ถ้าบอกว่าเขาคือผู้กำกับเรื่อง Gravity คงร้องอ๋อกันด้วยความสมจริงของฟิสิกส์ในห้วงอวกาศมากกว่าเรื่องไหนๆ ที่เคยมีมาทั้งหมด ซึ่ง The Expanse เองก็ยึดถือแนวทางนี้ไว้ด้วยเช่นกัน โดยซีรีส์ก็เคารพนิยายและทำตามลำดับเรื่องที่เกิดขึ้นต่อเล่มเรียงเหมือนกันหมด ตั้งแต่ซีซั่น 1 จนปัจจุบันถึงซีซั่น 4 และซีซั่น 5 กำหนดฉาย 16 ธันวาคม 2020 ครับ
แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ก็ลำบากจนถึงขั้นถูดตัดจบมาแล้วจากช่อง Syfy ในซีซั่น 3 แม้จะครีเอทงานสร้างได้ยอดเยี่ยม แต่ก็มีปัญหาทุนสร้างสูงมากไป จำนวนเรตติ้งผู้ชมในช่องไม่เพียงพอ ซึ่งหลังถูกตัดจบไปก็เกิดกระแส #SaveTheExpanse เรียกร้องให้สตูดิโออื่นมารับไปทำต่อ โดยมีคนลงชื่อในแคมเปญเกินแสนคน มีเซเลบดังร่วมด้วยอย่างผู้แต่ง Game of Thrones George R. R. Martin ก็มาร่วมสนับสนุนเพราะเป็นแฟนซีรีส์เรื่องนี้ด้วย (ในอีกชื่อเสียงหนึ่งของ The Expanse ก็ถูกยกเป็นมหากาพย์ Game of Thrones อวกาศด้วย) ซึ่งตอนนั้นปี 2018 ตัวนิยายไปไกลจนเกือบจบแล้ว ตัวซีรีส์ก็ขายลง Netflix ทำให้ได้ฐานผู้ชมเพิ่มขึ้นอีก สุดท้ายก็มีบิ๊กเซอไพรส์ Jeff Bezos บอสใหญ่สุดของ Amazon ประกาศอุ้มรับเรื่องนี้มาทำต่อภายใต้แพลตฟอร์มสตรีมของ Amazon Prime และตัดไม่ให้ Netflix ได้ฉายต่อด้วย ซึ่งการที่ Jeff Bezos ลงมาเองครั้งนี้ก็เป็นการการันตีไปถึงแฟนๆ ซีรีส์เรื่องนี้ด้วยว่าจะทำจนจบตามนิยายที่วางไว้แน่นอน (แม้ในอีกแง่เพื่อช่วยโปรโมท Blue Origin โครงการอาณานิคมบนดวงจันทร์ของเขาที่สอดคล้องกับเรื่องนี้) เรียกว่านี่จะเป็นซีรีส์มหากาพย์ไซไฟจริงๆ ที่จะได้ดูยาวนานอย่างน้อยก็อีกถึง 5 ปีถึงจะจบเรื่องราวนี้ได้สมบูรณ์ แบบที่ Game of Thrones ก็เคยจะเป็น แต่กลับทนรอนักเขียนไม่ไหวเขียนบทเองจนจบ จนกลายเป็นฟีดแบ็คแง่ลบมากมาย แต่ The Expanse ไม่เป็นแบบนั้นค่อนข้างแน่นอน เพราะมีพื้นฐานนิยายวางไว้หมดแล้ว
The Expanse เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร? (ไม่สปอยล์)
เรื่องราวของเริ่มต้นในยุคที่มนุษย์เจริญถึงจุดสูงสุดสามารถไปตั้งรกรากอยู่อาศัยทำงานในอวกาศได้เป็นเรื่องปกติแล้ว แต่มนุษย์กลับแบ่งฝ่ายเป็น 3 ฝ่าย โลก ดาวอังคาร กลุ่มดาวเคราะห์น้อย จากเหตุผลทางการเมือง ความคิด อุดมคติที่แตกต่างจากการเกิดของคนรุ่นใหม่ในอวกาศและคนรุ่นเก่าที่เป็นผู้บุกเบิกมีความคิดกับโลกเปลี่ยนไป และเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ ทรัพยากรน้ำกับอากาศในอวกาศยังมีจำกัดมีค่ามากกว่าทุกสิ่ง ไม่เหมือนโลกที่ฟุ่มเฟือยผลาญทรัพยากรทุกอย่างจนมีสิ่งแวดล้อมมีมลพิษปนเปื้อน เหมือนสภาพในยุคนี้ต่อไปที่ยังแก้ไขไม่ได้
การที่โลกส่งคนพวกนี้ไปตั้งรกรากที่ใหม่ๆ ก็เลยกลายเป็นจุดให้เกิดการปลดแอกมีรัฐบาลปกครองตนเอง อย่างดาวอังคารก็เกิดจากการรวมตัวนักวิทยาศาสตร์ทหัวกระทิในอดีตที่ถูกส่งไปจากโลกเพื่อพยายามสร้างสภาวะชั้นบรรยากาศให้เหมือนที่โลก (ในเรื่องต้องอยู่แต่ภายในโดม) ซึ่งเป็นความฝันร้อยปีมาตั้งแต่อดีตที่ยังทำไม่สำเร็จ ส่วนพวกกลุ่มดาวเคราะห์น้อยคือชนชั้นล่างของสังคม ที่ถูกส่งมาเป็นแรงงานขุดหาทรัพยากรตามดาวเล็กๆ ส่งกลับไปให้โลกที่พวกเขาก็ไม่ได้กลับไปอยู่อาศัยได้ จนกลายเป็นเหมือนทาสในอวกาศที่ถูกจองจำด้วยระบบบริหารจากรัฐบาลบนโลกที่มีอำนาจผ่าน UN ในยุคที่รัฐบาลทั่วโลกมีปัญหาการปกครอง จนทำให้ผู้คนในกลุ่มดาวเคราห์น้อยคิดแยกตัวเป็นเอกราช โดยมี OPA กลุ่มที่เป็นเหมือนกองกำลังที่พยายามสร้างความรุนแรงต่อโลก เพื่อหวังให้โลกตอบรับข้อเรียกร้องนี้ (คล้ายๆ ขบวนการแยกดินแดนในโลกปัจุบัน)
จุดเด่นของ The Expanse (ไม่สปอยล์)
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่เปิดเรื่องตอนแรกก็คือ “ความสมจริงของฟิสิกส์ในห้วงอวกาศ” ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาที่รับชม อย่างสภาวะเกือบไร้แรงโน้มถ่วง การเกิดบาดแผลในสภาวะแบบนี้จะส่งผลเช่นไร เลือดที่ไหลในอวกาศจะมีทิศทางแบบไหน จะเก็บกวาดออกได้อย่างไร การเกิดของมนุษย์ใน Gen ใหม่ที่แรงโน้มถ่วงน้อยกว่าโลกจะทำให้คนเหล่านี้มีสภาพร่างกายเป็นอย่างไร การเดินทางด้วยความเร็วสูงมีข้อจำกัดยังไงกับร่างกายมนุษย์ หรือแม้แต่เรื่องเสียงที่ถุกต้องตามหลักไม่ได้ยินนอกยานอวกาศ แต่ได้ยินในยานเพราะมีอากาศ เรียกว่าซีรีส์เข้มข้นเอาจริงกับเรื่องพวกนี้สูงมาก และก็มีคำอธิบายให้คนดูเข้าใจด้วย (อย่างการที่เลือดไม่หยุดไหลในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง)
แต่ก็ไม่ใช่ว่าพอเป็นแบบนี้จะไม่มีเรื่องที่โอเว่อร์เกินจริง หลายๆ อย่างในเรื่องก็ถือว่าล้ำเกินจนไม่แน่ใจว่าจะเป็นจริงได้หรือไม่เช่นกันครับ แต่เรื่องก็ยังคงพยายามอิงกับกฎทางฟิสิกส์ในปัจจุบันที่คนดูพอเข้าใจตามได้อยู่ ซึ่งความที่ซีรีส์เข้มในส่วนนี้มากก็มาจากแกนหลักของเรื่อง การพบเจอกับสิ่งลึกลับที่พร้อมจะอยู่นอกกฎฟิสิกส์ตลอดเวลา ซึ่งจุดนี้แหละที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับเรื่องอยู่เรื่อยๆ กับการแหกกฎที่วางไว้ให้คนดูรับรู้ แต่แล้วกลับมีสิ่งประหลาดหลุดกฎเกณฑ์เหล่านั้นมาได้ (แบบเว่อร์มาก) ทำให้ทีมพระเอกต้องหาทางควบคุมสถานการณ์ที่หวุดหวิดจะเป็นหายนะครั้งใหญ่อยู่ตลอดเวลาทุกซีซั่น ซึ่งเรื่องราวจะเชื่อมต่อกันหมด จากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งที่ใหญ่กว่าขึ้นเรื่อยๆ
CG และงานโปรดักชั่นทุกอย่างในเรื่องก็มีคุณภาพสูงมาก จนอาจจะเรียกได้ว่าดีที่สุดของซีรีส์ไซไฟที่มีเคยทำมาเลยก็ได้ (สื่อต่างประเทศยกให้เป็นที่หนึ่งของซีรีส์แนวไซไฟเลย) ซึ่งนอกจากจะจำลองฟิสิกส์ในอวกาศด้วย CG ที่เนียนกริบแล้ว รายละเอียดสิ่งก่อสร้าง ชุด พร็อบ ยานรบ เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ชุมชนความเป็นอยู่ของคนทั้งบนโลกที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดาวอังคาร กลุ่มดาวเคราะห์น้อย ทุกอย่างถูกออกแบบมาดีไซน์มาอย่างดี สอดคล้องกับความเชื่อของผู้คนแต่ละฝ่ายที่เปลี่ยนแปลงตัวเองไป จากการมาอาศัยอยู่ในสภาวะที่แตกต่างกันของห้วงอวกาศเป็นเวลานาน จนเกิดการประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ที่ใช้เฉพาะของฝ่ายตัวเองขึ้นมา รวมถึงความเหลื่อมล้ำของเทคโนโลยีที่แตกต่างกันด้วย (ดาวอังคารล้ำกว่าที่อื่นในเรื่องเทคโนโลยีทางทหาร แต่มีปัญหาด้านจำนวนประชากรไม่พอจะขึ้นมามีอำนาจ เพราะการเปลี่ยนสภาพดาวให้มีบรรยากาศแบบที่อยู่อาศัยได้เหมือนโลกยังไม่สำเร็จ ทำให้ทรัพยากรน้ำกับอากาศมีจำกัด)
การเมืองในเรื่องคือความขัดแย้งระหว่างฝ่าย ที่มีการสมคบคิดซ่อนอยู่เบื้องหลังในทุกซีซั่น ซึ่งเรื่องราวตรงนี้แรกๆ ทุกคนที่ดูคงมีปัญหากับกับการจดจำตัวละครมากมายจากทั้ง 3 ฝ่าย (ไม่รวมทีมพระเอก) ซึ่งมีบทบาทเท่าๆ กันในทุกซีซั่น ต่างฝ่ายจะมีเรื่องราวของตัวเองที่กระทบไปยังความสัมพันธ์กับฝ่ายอื่นๆ และก็หมิ่นเหม่ต่อการเกิดสงครามอยู่ตลอดเวลา ตัวเรื่องไม่ได้มีฝ่ายไหนดีหรือเลวชัดเจน ต่างมีอุดมการณ์กับผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝงอยู่ทั้งสิ้น โดยมีทีมของพระเอกที่นำโดย “จิม โฮลเดน” เป็นตัวกลางฝ่ายอิสระที่ต้องหลงเข้าไปอยู่ในวังวนความขัดแย้งทางการเมืองของพวกนี้ และต้องหาทางหยุดยั้งหายนะที่ทั้งสามฝ่ายก่อขึ้นทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว
มีนักแสดงชาวไทยร่วมเล่นด้วยในบทสำคัญของเรื่อง (ไม่สปอยล์)
เรื่องนี้ได้นักแสดงชาวไทย ฟลอเรนซ์ วนิดา เฟเวอร์ (Vanida Florence Faivre) มาเล่นในบท “จูลี่ เหมา” สำคัญมากของเรื่อง มีบทในซีซั่น 1-3 (ภาพปกของเรื่องนี้ก็คือเธอเช่นกัน รวมถึงปกของงานนี้ด้วย) ซึ่งเธอจะเปิดตัวตั้งแต่ตอนแรกของซีซั่น ก่อนจะหายไปแล้วมาโผล่ช่วงท้ายอีกครั้ง เธอเป็นนางแบบอาชีพ ลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส สูง 174 เซนติเมตร มีชื่อเสียงจากบทนำในภาพยนตร์ไทยเรื่อง ทวิภพ ซึ่งได้เข้าชิงรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ และรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และต่อมาก็โกอินเตอร์เล่นภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง รวมถึงซีรีส์ Agents of S.H.I.E.L.D ของมาร์เวลอีกด้วยครับ
จุดด้อยของเรื่อง (ไม่สปอยล์)
ต้องบอกว่าเรื่องนี้ถ้าคนชอบแนวไซไฟสมจริงนี่คือเรียกได้ว่าที่สุดของซีรีส์แนวนี้แล้วแน่ๆ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบแนวไซไฟนัก การอิงกับฟิสิกส์ของจริงอยู่ตลอด ก็คงทำให้เรื่องอาจจะดูไม่โลดโผนหรือเร้าอารมณ์กันง่ายๆ ยกตัวอย่างเรื่องเสียงระเบิดที่เกิดขึ้นในหนังไซไฟต่างๆ มักดูรุนแรงโครามคราม แต่เรื่องนี้กลับเงียบมองเห็นแค่การระเบิดเท่านั้น หรืออาวุธปืนที่ใช้ก็ไม่ได้มีปืนเลเซอร์หรืออะไรที่ล้ำไปมากกว่าปัจจุบัน ขีปนาวุธก็ยังเป็นนิวเคลียร์รุนแรงสุด แทบทุกอย่างยังตั้งอยู่ในกรอบของความเป็นไปได้ของการพัฒนาทางเทคโนโลยี อย่างนึกอยากจะวาร์ปก็ไม่ได้วาร์ปกันง่ายๆ มีกฎมีข้อจำกัดมากมายมาเกี่ยว ซึ่งความที่ไม่ได้ล้ำไปมากแบบเรื่องอื่นๆ ก็อาจจะทำให้คนดูทั่วไปเบื่อได้เหมือนกัน
ทุกตอนจะมีเรื่องการเมืองเข้ามาเยอะ ซึ่งเต็มไปด้วยบทพูดกับทฤษฎีสมคบคิดหลายฝ่าย คนที่ใจร้อนอยากให้เรื่องมีแต่ลุยๆ (ซึ่งก็มีเยอะพอควร) ก็อาจจะรู้สึกเบื่อกับการต้องมาดูเนื้อเรื่องในส่วนนี้ครับ
แต่ทั้งนี้ยืนยันว่าแม้เรื่องอาจจะไม่ได้เร้าหรือบู้ต่อเนื่อง แต่ก็มีเรื่องให้ลุ้นไปได้เรื่อยๆ เพียงแต่ช่วงแรกคงต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจโลกของเรื่องนี้ก่อนว่าฝ่ายไหนทำหน้าที่อะไร และมีความขัดแย้งกันยังไง ซึ่งตัวซีรีส์ไม่ได้มีอธิบายตรงๆ แต่ผ่านการเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ถ้าเข้าใจภาพรวมของโลกในเรื่องนี้แล้ว ก็จะดูสนุกขึ้นทันทีครับ
สรุปรีวิว SS1 (ไม่สปอยล์)
ซีซั่นแรกที่เน้นวางรากฐานโครงเรื่องของโลกไว้ให้คนดูเข้าใจก่อนมี 10 ตอนจบ โดยเป็นการเล่าเรื่องหลัก 2 ฝ่ายคือ การรวมทีมของตัวเอกหลักในเรื่อง ซึ่งมี จิม โฮลเดน เป็นกับตัน, นาโอมิ นากาตะ วิศวะกรประจำยาน, อเล็ก คามาล นักบิน, เอมอส ชายผู้ชอบตัดสินเรื่องต่างๆ ด้วยความรุนแรง ซึ่งทั้ง 4 คนนี้จะได้มาร่วมทีมกันโดยบังเอิญ จากการที่มียานรบล่องหนไล่ทำลายยานต่างๆ โดยมีฉากหลังเป็นเรื่องการเมืองของแต่ละฝ่ายที่ต่างโทษกันไปมาว่ากำลังเป็นต้นเหตุชนวนสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นจากยานรบล่องหนปริศนานี้ ส่วนอีกด้านคือ โจ มิลเลอร์ ตำรวจของดาวเคราะห์น้อยที่สืบคดีการหายตัวไปของ จูลี่ เหมา สาวแกร่งทายาทเศรษฐี ก่อนที่เรื่องราวทั้งสองด้านจะมาบรรจบกันในช่วงท้าย เฉลยความลับสำคัญของเรื่องทั้งสองด้าน และตัดจบค้างเพื่อเปิดเรื่องใหม่ในซีซั่น 2
ซีซั่นแรกถ้าคนที่ไม่ได้อ่านรายละเอียดมาก่อนคงงงตามไม่ทันเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลายฝ่ายพร้อมกัน ตัวซีรีส์ก็ไม่ได้มีการเล่าเรื่องปูพื้นโลกนี้ให้คนดูเข้าใจแบบง่ายๆ เลย ต้องพยายามเข้าใจความสัมพันธ์ของแต่ละฝ่ายเอง ระหว่างเรื่องก็มีปมปริศนาเรื่องยานรบล่องหนเป็นฉากแอ็กชั่นยานรบในอวกาศให้ดูเป็นระยะๆ แต่ตัวเรื่องก็กั๊กไม่ยอมเปิดเผยปริศนาการหายตัวไปของจูลี่เหมา โดยไม่มีโผล่มาให้เห็นอีกเลยหลังจากขึ้นต้นเรื่อง กว่าจะมาเฉลยก็ตอน 9 เกือบจบแล้ว ซึ่งก็อาจจะช้าไปบ้างสำหรับคนที่ดูเพราะอยากรู้ว่าตอนต้นเรื่องคืออะไร
สรุปรีวิว SS2 (ไม่สปอยล์)
เนื้อเรื่องซีซั่นสองต่อจากตอนจบซีซั่น 1 มีตอนเพิ่มเป็น 13 ตอน เป็นการเริ่มทำความเข้าใจสิ่งลึกลับนอกพิภพที่ปรากฎขึ้นมาในจักรวาลของเรื่องนี้มากขึ้นว่ามันลึกล้ำมากกว่าที่เห็น ตัวเรื่องขยายความถึงดาวอังคารที่ซีซั่นแรกแทบไม่มีรายละเอียดให้เห็นเลย มาซีซั่นนี้เป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวละครใหม่เป็นทหารหญิงสุดแกร่งนาม “บ็อบบี้ แดรปเปอร์” ที่มีอคติฝังใจกับคนบนโลกมาก จนถึงขั้นอยากให้สงครามเกิดขึ้น แต่แล้วการที่เธอได้มายังโลก ก็ทำให้ความคิดของเธอแปรเปลี่ยนไป ตัวเรื่องได้มีโอกาสเปิดโลกในตอนนี้ที่ซีซั่นแรกแค่เอ่ยถึงคร่าวๆ ให้คนดูได้เห็นอะไรมากขึ้นว่าสภาพการเป็นอยู่ของคนเป็นอย่างไรซีซั่น 2 คือพลิกเปลี่ยนการเล่าเรื่องจากซีซั่นแรกไปเกือบทั้งหมด แม้เรื่องการเมืองจะยังคงเป็นพื้นหลักของเรื่อง แต่ว่าตัวเรื่องเปิดโลกทั้ง 3 ฝ่ายให้เห็นมากขึ้น ทำให้คนดูเข้าใจได้ง่าย ตัวละครบ็อบบี้ยังเป็นตัวละครสำคัญมาก เป็นตัวเอกหลักคนหนึ่งในซีซั่นต่อๆ ไป (นิยายมีภาคแยกของเธอเองด้วย) และก็มีฉากบู้มากขึ้นจากการที่เธอเป็นทหาร ซึ่งองค์ประกอบของซีซั่น 2 เต็มไปด้วยการรบและฉากบู๊หลายฉาก รวมถึงความสามารถเหนือกฎฟิสิกส์ของสิ่งลึกลับในซีซั่นแรกก็จะได้เห็นในซีซั่นนี้ พร้อมกับการมาของสัตว์ประหลาดสุดโหดในตอนท้ายเรื่อง แต่นี่ยังเป็นแค่การโหมโรงก่อนที่จะไประเบิดของจริงในซีซั่นต่อไปครับ
สรุปรีวิว SS3 (ไม่สปอยล์)
เนื้อเรื่องหลักซีซั่น 3 แบ่งเป็นสองช่วง มีทั้งหมด 13 ตอน ครึ่งแรกเป็นการเคลียร์ปมต่อเนื่องจากสิ่งมีชีวิตลึกลับที่ปรากฎในซีซั่น 2 ผ่านสงครามระหว่างโลกกับดาวอังคาร และหาความจริงที่มาของเจ้าสิ่งนี้เพื่อหยุดยั้งสงคราม ช่วงครึ่งหลังเป็นแนวเรื่องที่เข้าสู่จินตนาการสุดล้ำของเอเลี่ยนเริ่มปรากฎให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างในซีซั่นนี้แล้ว และก็เหมือนเป็นซีซั่นจบไตรภาคแรกของเรื่องไปในตัว
ซีซั่นนี้ความเข้มข้นไม่ต่างอะไรกับซีซั่น 2 เลยแม้แต่น้อย ตัวเรื่องเดินหน้าเร็วไปกับฉากบู๊แทบทุกช่วง โดยเฉพาะบ๊อบบี้ที่ได้โชว์สกิลชุดสูทรบของดาวอังคารเต็มที่ และครึ่งหลังของเรื่องก็พาคนดูเข้าสู่แนวไซไฟลึกลับ ซึ่งเป็นช่วงที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลยว่าเรื่องจะเดินต่อไปยังไง เพราะทุกอย่างอยู่ภายใต้การคอนโทรลของเอเลี่ยนที่ปรากฎออกมาให้เห็น แต่กลับไม่ทราบจุดประสงค์ของมัน ซึ่งตัวเรื่องล้ำกว่าสองตอนแรกมาก เหมือนหนังพวกแนวการพบติดต่อกับเอเลี่ยนครั้งแรก ที่มนุษย์แต่ละฝ่ายมองการมาของสิ่งนี้ต่างกัน เป็นทั้งภัยหรือเป็นผลประโยชน์ที่ต้องช่วงชิงมาให้ได้
สรุปรีวิว SS4 (ไม่สปอยล์)
เนื้อเรื่องต่อจากผลลัพธ์ของตอนจบซีซั่น 3 แต่ว่าข้ามช่วงเวลามาสักระยะ และก็ปูพื้นฐานของแต่ละฝ่ายเปลี่ยนไปจากการสงบศึกชั่วคราว ตัวเรื่องมาโฟกัสที่กลุ่มชนดาวเคราะห์น้อยมากขึ้น และก็พาทีมโฮลเดนไปสู่การค้นพบอารยธรรมต่างดาวครั้งใหม่บนดาวลึกลับ โดยยังมีความเชื่อมโยงกับเรื่องเดิมอยู่
ซีซั่น 4 เป็นซีซั่นแรกที่มาอยู่ภายใต้การสร้างของ Amazon Prime จำนวนตอนลดลงเหลือ 10 ตอน เนื้อเรื่องเป็นการปูพื้นโลกใหม่ ในที่แห่งใหม่ หลายๆ อย่างดูดรอปลงจากความเข้มข้นของสองซีซั่นก่อนมาก ตัวเนื้อเรื่องวนเวียนอยู่บนดาวดวงเดียวไม่ใช่ในอวกาศ ซึ่งเกิดปัญหาใหม่ขึ้นจากการค้นพบอารายธรรมต่างดาว ปมปริศนาในภาคนี้ดูอลังการก็จริง แต่จุดพีคเฉลยเรื่องกลับไม่ได้ว้าวเท่าสองซีซั่นก่อน และก็จบลงแบบง่ายๆ อาจจะเพราะว่าเป็นเนื้อเรื่องของนิยายช่วงที่คนเขียนพยายามปูไปสู่ไตรภาคใหม่ก็เลยดูกั๊กๆ ไว้ก็เป็นได้ครับ ซีซั่นนี้แอบผิดหวังอยู่หลายจุดเหมือนกัน แต่โดยรวมก็ยังถือว่ามีมาตรฐานดีอยู่ เพียงแต่ถ้าเทียบกับสองซีซั่นก่อนคะแนนห่างกันมาก
อัพเดทล่าสุด SS5 มา 16 ธันวาคม 2020 ครับ
ดนตรีประกอบอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของเรื่องนี้