playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Fall of the House of Usher บ้านปีศาจ ผ่านมาตรฐาน Mike Flanagan แค่ฉากสยองขวัญ

The Fall of the House of Usher

Summary

สรุปเป็นซีรีส์จาก Mike Flanagan ที่ทำฉากสยองขวัญได้ดีตรงตามมาตรฐาน มีทั้งผีในแบบภาพหลอนกับการตายที่เหนือธรรมชาติในทุกตอน โดยใช้ทีมนักแสดงคู่บุญของเขามาเล่นแทบทั้งเรื่อง แต่มีปัญหาในการเล่าเรื่องที่เน้นบทพูดละเอียดจนดูยืดเยื้อมาก โดยไม่ใช่ในแบบปกติที่ชวนให้ผู้ชมขบคิดหรือถกเถียงในทางศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์แบบเดิม อีกทั้งการเฉลยตัวละครปริศนาตอนท้ายก็ธรรมดามากจนน่าผิดหวัง

แต่ถ้าไม่ใช่แฟนผลงานของผู้กำกับ นี่ก็เป็นซีรีส์ที่องค์ประกอบทั้งหมดทำออกมาดีพอชวนให้ชมได้ แต่อาจจะต้องทนกับบทสนทนามากมายที่เป็นไปอย่างช้าๆ เท่านั้นครับ

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ซีรีส์จาก Mike Flanagan ที่ทำฉากสยองขวัญได้ดีตรงตามมาตรฐาน
  • ดัดแปลงจากนิยายดังของ Edgar Allan Poe
  • ทีมนักแสดงเดิมที่คุ้นเคย
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • บทพูดที่ยืดเยื้อในแบบไม่ชวนให้ขบคิดถกเถียงใดๆ
  • ตอนจบเฉลยได้ธรรมดามาก

ADBRO

The Fall of the House of Usher บ้านปีศาจ ซีรีส์ Netflix สยองขวัญ 8 ตอนจบ ที่สร้างจากผลงานของเอ็ดการ์ อัลลัน โพ โดยไมค์ฟลานาแกน สองพี่น้องมหาเศรษฐีร็อดเดอริกและแมเดอลีน อัชเชอร์ได้ก่อร่างสร้างเวชภัณฑ์ฟอร์จูนาโต้จนพรั่งพร้อมไปด้วยความร่ำรวย อภิสิทธิ์และอำนาจ ทว่าความลับแต่หนหลังกำลังจะเผยออกมา เมื่อทายาทของตระกูลอัชเชอร์เริ่มเสียชีวิตด้วยน้ำมือของหญิงลึกลับจากอดีต
The Fall of the House of Usher (2023) on IMDb

รีวิว The Fall of the House of Usher บ้านปีศาจ (ไม่มีสปอยล์)

ซีรีส์สยองขวัญจาก Mike Flanagan ผู้สร้าง Midnight Mass, The Haunting of Hill House ซึ่งผู้ชม Netflix น่าจะรู้จักกันดีถึงมาตรฐานผลงานของเขา แม้บางเรื่องจะแปลกๆ และไม่ได้รับการตอบรับดีพอ อย่าง The Midnight Club หรือภาคต่อ The Haunting of Bly Manor เองนั่นก็เพราะสองเรื่องนี้เขาไม่ได้มากำกับหรือเขียนบทเองเต็มตัว โดยกำกับแค่ 1-2 เน้นนั่งโปรดิวเซอร์เอาชื่อเขามาปะหน้าขายมากกว่า ซึ่งเรื่องนี้ก็เช่นกัน โดยบทดัดแปลงจากนิยายดังของ  Edgar Allan Poe ในชื่อเดียวกัน และกำกับ 4 ตอน (1,2,5,6) ซึ่งทำให้เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ผลงานของเขาแแท้ๆ 100% ตามสไตล์ผลงานสมัยก่อนของเขาเช่นกัน ซึ่งตรงนี้บอกไว้ให้ผู้ชมเข้าใจกันว่า การปะชื่อหน้า Mike Flanagan ก็ไม่อาจจะการันตีมาตรฐานผลงานได้อย่างที่คาดหวังไว้นัก ซึ่งผู้เขียนเป็นแฟนผลงานของเขามาตั้งแต่หนังโรง Oculus และก็ติดตามมาตลอดเมื่อเขาผันตัวมาเป็นคนทำซีรีส์ยาวหลายปี จนเหมือนจะไม่กลับไปทำหนังโรงอีกแล้ว (เจ็บหนักจากรายได้ของ Doctor Sleep) ซึ่งเอกลักษณ์ของเขาเลยคือ ประเด็นความเชื่อปรัชญาผูกผันเกี่ยวข้องเข้ากับเหตุผลวิทยาศาสตร์ ทำให้เกิดข้อถกเถียงต่างๆ เสมอมาในเรื่องราวแนวเหนือธรรมชาติทุกเรื่องของเขา ไม่ใช่ว่าการมีผีก็คือจะต้องเป็นผีล้วนๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็พยายามทำแบบนี้เช่นกัน 


เนื้อเรื่องเล่าถึง Roderick Usher มหาเศรษฐีจากบริษัทยักษ์ใหญ่ขายยาที่โดนฟ้องข้อหาหนัก และยังมีคำเตือนจากทนาย Auguste Dupin ว่ามีพยานลับจากทางทายาทของเขาที่พร้อมแฉความเลวร้ายของตระกูลนี้  ซึ่งในกลุ่มทายาทนี้มี 5 คน มีหลาน 1 คน และเกือบทุกคนตายหมดเมื่อตอนเปิดเรื่อง ก่อนที่มหาเศรษฐีจะเชิญทนายคู่ปรับมาที่บ้านเก่าแก่ของเขา เพื่อย้อนฟังคำสารภาพทั้งหมดว่าเกิดอะไรขึ้น 

ด้วยแนวทางการเล่าเรื่องแบบเปิดมาทุกคนตายแล้ว ก่อนจะไล่ย้อนเรื่องราวตั้งแต่ต้นทั้งหมด ตั้งแต่ชีวิตของมหาเศรษฐีจนถึงเหตุการณ์ล่าสุด นี่จึงเป็นแนวย้อนอดีตกันแทบทั้งเรื่อง 70-80% โดยตั้งแต่ ตอน 2 ไปจะเริ่มมีทายาทตายตอนละ 1 คน โดยทั้งตอนนั้นจะเป็นเรื่องเล่าของตัวละครนั้นเป็นหลัก สลับกับเหตุการณ์ของตัวละครอื่นเพื่อปูทางไปสู่ฉากการตายปริศนาติดๆ กันในเวลาไม่กี่วัน ซึ่งแม้ว่าจะดูเป็นอุบัติเหตุและมีพยานอธิบายเหตุการณ์เหล่านั้นได้ แต่ทุกเหตุการณ์จะมีตัวละครปริศนาเป็นผู้หญิงคนเดิมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ  ซึ่งเธอเป็นใคร นี่คือการฆาตกรรมเพื่อตัดหุ้นส่วนมรดกใช่หรือไม่ หรือเกี่ยวข้องกับพยานลับในคดีที่กำลังเกิดขึ้น สิ่งนี้เองคือปริศนาใหญ่สุดของเรื่องนี้ที่ซ่อนไว้ทั้ง 8 ตอนให้ผู้ชมได้ติดตามกันครับ 

ซีรีส์ยังคงเล่าเรื่องแบบช้าๆ เน้นบทสนทนาเยอะมากมายเช่นเดิม ซึ่งใครที่ไม่ชินกับแนวทางนี้ของ  Mike Flanagan ก็มีสิทธิหลับหรือมองเป็นข้อเสียได้ แต่ถ้าเป็นแฟนผลงานของเขาจะรู้ว่าในบทสนทนาละเอียดนี้คือการถ่ายทอดเรื่องราวช้าๆ โดยซ่อนนัยยะต่างๆ ไว้ ซึ่งเรื่องนี้ก็พยายามจะเป็นแบบนั้นเช่นกัน หลายครั้งใช้พวกบทกวีมาพูดแทนเลยด้วยครับ 

 

ในฉากสยองขวัญการตายของแต่ละคน ซีรีส์เริ่มได้ดีมากในท้ายตอน 2 กับฉากสังหารหมู่ในงานปาร์ตี้ลับ ก่อนที่หลังจากนั้นจะเป็นการตายเดี่ยวพิสดารเหมือนหนังอย่าง Final Destination ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้สร้างเล่นกับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่เป็นตัวเร่งเร้าให้ตัวละครนั้นทนไม่ไหว หรือผิดพลาดจนตายในที่สุด ซึ่งในจุดนี้ทำได้ดี แม้จะไม่ถึงกับทำให้น่าตกใจได้แบบพวกหนังผี แต่ก็มีชั้นเชิงหลอกล่อชวนให้คิดว่าทุกคนจะตายได้ยังไง และนอกจากนี้ยังมีอาการป่วยของมหาเศรษฐี ที่เห็นภาพหลอนลูกที่ตายไป ซึ่งภาพหลอนนี้เป็นฉากที่ตั้งใจทำให้ผู้ชมสะดุ้งตกใจแบบหนังผีตรงๆ และบอกใบ้การตายของเหยื่อทายาทในแต่ละตอน ก่อนจะเห็นบทสรุปในตอนท้ายอีกด้วย ซึ่งทำการเชื่อมโยงเข้ากันได้ดีเลย

ตัวนักแสดงในเรื่องนี้ก็ยังเป็นทีมขาประจำของผู้กำกับหลายคน ที่เด่นๆ เลยคือ Zach Gilford มาเล่นเป็นมหาเศรษฐีในวัยหนุ่มกับภรรยาสาวที่เล่นโดย Katie Parker ส่วน Samantha Sloyan, Henry Thomas, Henry Thomas, มาเล่นเป็นบททายาทที่แต่ละคนมีปัญหาทางจิตและนิสัยแลวร้ายกันทั้งนั้น แต่ตัวมหาเศรษฐีวัยชราแสดงโดย Bruce Greenwood และน้องสาวแสดงโดย Mary McDonnell ทั้งสองคนนี้เป็นนักแสดงใหม่ของผู้กำกับ ซึ่งการใช้ทีมนักแสดงส่วนมากจากซีรีส์เก่านี่ก็ช่วยทำให้แฟนคุ้นเคยกันดี เพราะแต่ละคนก็คือนักแสดงคู่บุญที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้วจากผู้กำกับนี้นั่นเองครับ 

แต่ถึงองค์ประกอบทุกอย่างจะเป็นไปแบบของ Mike Flanagan ก็จริง แต่เรื่องนี้ก็ทำได้แค่เหมือนแต่เข้าไม่ถึง ปัญหาอย่างแรกคือบทสนทนาในเรื่องที่ละเอียดมากมายนั้นกลับไม่ใช่ปมที่ชวนให้คิดตกผลึกอะไรได้เลย เพราะเป็นบทสนทนาในเชิงกวีเน้นสวยงามมากกว่าทางศาสนาหรือวิทยาศาสตร์ที่ชวนให้ขบคิดติดหัวนำมาถกเถียงหลังดูจบได้มากกว่า อย่างบทพูดของ Zach Gilford ใน Midnight Mass ซึ่งเรื่องนี้แทบไม่มีอารมณ์ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นเลย ซึ่งปัญหาอาจจะเป็นการดัดแปลงเรื่องจาก Edgar Allan Poe โดยผสมเหตุการณ์คดีบริษัทยายักษ์ใหญ่ที่สร้างโอปิออยด์ขายโดยบอกว่าไม่ทำเสพติด ทำให้หนังพยายามเน้นส่วนนี้ให้ดูจริงจังผสมเข้ากับเรื่องเหนือธรรมชาติ ซึ่งตอน 8 บทเฉลยก็ผิดหวังที่หนังไม่สามารถเซอร์ไพรซ์ผู้ชมได้เลย ซึ่งผู้ชมแม้จะสงสัยติดตามดูได้ตลอด แต่ก็คงคาดเดาได้แน่นอน เพราะตัวละครสาวปริศนาคีย์สำคัญของเรื่องนั้นเป็นสิ่งที่หลายเรื่องเคยใช้กันมานานแล้ว จนดูธรรมดามากไป ไม่เหมือนกับผลงานอื่นของเขาที่มีจุดเฉลยหักมุมได้ชวนพิศวงมากกว่านี้ ซึ่งทำให้น่าผิดหวังมากพอสมควรสำหรับแฟนผลงานของเขาโดยตรง 

สรุปเป็นซีรีส์จาก Mike Flanagan ที่ทำฉากสยองขวัญได้ดีตรงตามมาตรฐาน มีทั้งผีในแบบภาพหลอนกับการที่ตายเหนือธรรมชาติในทุกตอน โดยใช้ทีมนักแสดงคู่บุญของเขามาเล่นแทบทั้งเรื่อง แต่มีปัญหาในการเล่าเรื่องที่เน้นบทพูดละเอียดจนดูยืดเยื้อมาก โดยไม่ใช่ในแบบปกติที่ชวนให้ผู้ชมขบคิดหรือถกเถียงในทางศาสนา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์แบบเดิม อีกทั้งการเฉลยตัวละครปริศนาตอนท้ายก็ธรรมดามากจนน่าผิดหวัง แต่ถ้าไม่ใช่แฟนผลงานของผู้กำกับ นี่ก็เป็นซีรีส์ที่องค์ประกอบทั้งหมดทำออกมาดีพอชวนให้ชมได้ แต่อาจจะต้องทนกับบทสนทนามากมายที่เป็นไปอย่างช้าๆ เท่านั้นครับ


including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!