รีวิวซีรีส์ The Gentlemen Netflix สปินออฟที่แตกต่างจากหนัง แต่ก็ยังคงสไตล์ กาย ริตชี ครบถ้วนเป๊ะ!
The Gentlemen
Summary
สปินออฟที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นหนัง แต่ยังคงเป็นเรื่องราวสไตล์ของผู้กำกับ กาย ริตชี ล้วนๆ ที่การดำเนินเรื่องเต็มไปด้วยบทสนทนาคมคายกับจังหวะสุดซวยเป็นมุกตลกดาร์คคอมเมดี้ มีตัวละครอาชญากรเท่ๆ พร้อมหักเหลี่ยมเฉือนคมกันทั้งเรื่อง แต่ว่ามันก็ไม่ได้ดุเดือดแบบ Nacos หรือมีความเถื่อนแบบสมจริงในเนื้อเรื่องนัก เรื่องก็จบแบบหาทางออกง่ายๆ ด้วยครับ
Overall
7.5/10User Review
( vote)Pros
- สปินออฟจากหนังโดยผู้กำกับคนเดียวกัน
- โลกอาชญากรรมอังกฤษ
- เล่าเรื่องด้วยบทสนทนาคมคาย
- มุกตลกดาร์คคอมเมดี้เยอะมาก
- ตัวละครเท่ รวมนักแสดงดัง
- มีพากย์ไทย
Cons
- บทไม่ได้เน้นสมจริง หาทางออกกันง่ายๆ
- ฉากอาชญากรรมไม่ดุเดือด
The Gentlemen สุภาพบุรุษมาหากัญ ซีรีส์ 8 ตอนจบ มีพากย์ไทย เรื่องราวของเอ็ดดี้ ฮอร์นิมัน ที่ได้รับมรดกจากพ่อเป็นคฤหาสน์ชนบทหลังใหญ่อย่างไม่คาดคิด เพื่อที่จะมารู้ในภายหลังว่าที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรกัญชา ที่มีแวดวงอาชญากรรมในอังกฤษก็ต้องการเข้ามาแบ่งเค้กผลประโยชน์ในอาณาจักรแห่งนี้ เอ็ดดี้พยายามเล่นไปตามเกมของพวกอันธพาลด้วยความตั้งใจที่จะแยกครอบครัวของเขาออกจากเงื้อมมือของคนชั่ว
รีวิวซีรีส์ The Gentlemen Netflix (ไม่สปอยล์)
ซีรีส์สปินออฟจากหนังในชื่อเดียวกันปี 2019 ของผู้กำกับ กาย ริตชี คนเดิม ซึ่งเรื่องราวก็แตกต่างออกไปด้วยการเล่าเรื่องของตัวละครชนชั้นสูงที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจกัญชาขนาดใหญ่โดยบังเอิญ แต่เรื่องก็ยังเดินไปในแนวเดียวกันด้วยการนำเสนอตัวละครอาญากรหลายกลุ่มที่ต้องเข้ามาร่วมวงแย่งธุรกิจนี้ไปด้วยกัน
ด้วยความที่ผู้กำกับมีเอกลักษณ์ของตนเองเด่นชัดในเรื่องบทสนทนาเจ๋งๆ ซีรีส์เรื่องนี้จึงไม่ได้เน้นให้มีฉากแก๊งฆ่าฟันกันเองเลย แม้เรื่องจะบิ้วให้ถึงจุดที่ต้องเป็นสงครามแก๊งใหญ่โต แต่ก็ยังหาทางออกให้กลายเป็นแค่การจบด้วยเล่ห์เหลี่ยม มีฉากฆ่าคนแต่ก็เป็นการปิดเกมหักเหลี่ยมนั่นเฉยๆ นี่จึงไม่ใช่ซีรีส์ที่ยิงกันดุเดือดเลือดพล่านแบบ Narcos แต่เป็นการเดินเรื่องด้วยบทสนนาคมๆ หักเหลี่ยมเฉือนคมกันระหว่างตัวละครอาชญากรแต่ละคนที่มีอำนาจอยู่ในมือคนละแบบ โดยที่แกนกลางของเรื่องอยู่ที่สองตัวละคร เอ็ดดี้ ฮอร์นิมัน (เล่นโดย Theo James) พระเอกของเรื่องที่เป็นดยุคเจ้าของปราสาทกับ ซูซี่ กลาส (เล่นโดย Kaya Scodelario) ลูกสาวเจ้าของอนาจักรกัญชาใหญ่ที่สุด ที่พ่อของเขาติดคุกอยู่ ซึ่งเรื่องก็เดินไปในแนวสานสัมพันธ์ทางธุรกิจโดยไม่ได้มีเรื่องชู้สาวใดๆ เลย โดยพระเอกอยากหลุดจากตระกูลกลาสที่พ่อของเขาไปทำสัญญาไว้ แต่ความพยายามของเขากลับเข้าทางและทำให้ธุรกิจของกลาสรุ่งเรืองขึ้นไปอีก ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ทำให้เขาถลำตัวเข้ามาในวงการนี้ลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งพระเอกจะหาทางออกไปได้ยังไง ก็ต้องหักเหลี่ยมอาชญากรตัวเอ้ทุกคนให้ได้ โดยที่ซูซี่ กลาส ก็พยายามควบคุมไม่ให้เขาออกจากเกมนี้ เป็นตัวละครคู่หูทางธุรกิจที่แอบแทงข้างหลังกันเองลับๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งนี่คือความสนุกของเรื่องนี้
ซีรีส์แม้จะเล่นเรื่องแวดวงอาชญากรรม แต่เรื่องก็ไม่ได้เครียดเลยสักนิด เพราะสไตล์ของผู้กำกับคือแนวตลกดาร์คๆ ด้วยจังหวะการล้อเล่นกับทุกอย่าง อย่างเช่นจุดเริ่มเรื่องที่ทำให้ตัวเอกถลำลึกลงไปในวงการก็มาจากการช่วยใช้หนี้พี่ชาย แต่พี่ชายต้องแต่งชุดเป็นไก่เต้นให้เจ้าหนี้ดู (ไก่ในความหมายฝรั่งคือพวกไก่อ่อน ขี้แพ้) แล้วก็กลายเป็นเรื่องใหญ่โตบานปลายขึ้นไปเรื่อยๆ จังหวะดาร์คคอมเมดี้ในเรื่องนี้ยิงมาต่อเนื่องไม่หยุด ให้ตัวละครได้เจอจังหวะโบ๊ะเบ๊ะพาตัวเองไปถึงจุดซวยสุดๆ ในจังหวะนรกหัวเลี้ยวหัวต่อเอาชีวิตรอดได้เสมอ ซึ่งฉากพวกนี้เป็นจุดเด่นของ กาย ริตชี จากมุกบ้าบอสิ้นดี แต่เรื่องก็ทำให้เราเชื่อตามและดูสนุกไปมุกเหล่านี้ได้มากมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าทางออกจากจุดโบ๊เบ๊ะเหล่านี้มันทำให้เรื่องดูมีช่องโหว่ไม่ได้สมจริงตามแนวอาชญากรรมมาก โดยเฉพาะตอนจบที่เคลียร์ปัญหากับแก๊งอาชญากรรมต่างๆ ได้ง่ายเกินไปมากๆ ครับ
เสน่ห์ของเรื่องนี้ที่ยังคงเหมือนเดิมกับเวอร์ชั่นหนังคือตัวละครทุกคนมีจุดขายเฉพาะตัว และเป็นนักแสดงดังมีชื่อเสียง ทุกคนได้บทเท่ๆ ฉากเท่ๆ ในแบบของตัวเอง เอ็ดดี้ ฮอร์นิมัน คือทหารที่ค่อยๆ กลายมาเป็นดยุคแล้วต่อด้วยการเป็นอาชญากรที่เจ้าตัวแม้ไม่ชอบ แต่ก็เหมือนเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ซูซี่ กลาส สาวสวยที่เต็มไปด้วยไหวพริบที่พร้อมโหดแบบเงียบๆ ไร้ปราณี พ่อบ้านของปราสาทก็เหมือนพ่อของทุกคนที่คอยสอนดูแลคนในตระกูลมาเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีตัวละครพิเศษที่เล่นโดย Giancarlo Esposito ซึ่งผู้ชมก็จำเขาได้ดีจากบทเจ้าพ่อขายไก่ใน Braking Bad มาเรื่องนี้ก็ยังเป็นบทเดียวกันเป๊ะๆ แค่ไม่ได้ขายไก่ แต่ขายยาไอซ์จากอเมริกา ซึ่งก็เป็นความตั้งใจของของผู้กำกับกาย ริตชี เองนี่แหละที่เอาเขามาเล่นในบทซ้ำกันเพื่อล้อเลียนวงการหนังตามลายเซ็นต์ของเขานั่นเอง
สรุป สปินออฟที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นหนัง แต่ยังคงเป็นเรื่องราวสไตล์ของผู้กำกับ กาย ริตชี ล้วนๆ ที่การดำเนินเรื่องเต็มไปด้วยบทสนทนาคมคายกับจังหวะสุดซวยเป็นมุกตลกดาร์คคอมเมดี้ มีตัวละครอาชญากรเท่ๆ พร้อมหักเหลี่ยมเฉือนคมกันทั้งเรื่อง แต่ว่ามันก็ไม่ได้ดุเดือดแบบ Nacos หรือมีความเถื่อนแบบสมจริงในเนื้อเรื่องนัก เรื่องก็จบแบบหาทางออกง่ายๆ ด้วยครับ