รีวิว The Gray Man อีกหนึ่งหนังแมสฟอร์มยักษ์ที่ตรงตามมาตรฐาน Netflix (ไม่สปอยล์)
The Gray Man ล่องหนฆ่า
Summary
ก็เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งหนัง Netflix ที่ยังคงเสมอต้นเสมอปลายดีกับหนังแมสตกมาตรฐาน ที่มักเอานักแสดงดัง ผู้กำกับมีชื่อเสียงมาขาย แต่ผลงานที่ได้มาแค่พอดูได้ผ่านๆ แถมอาจจะเลวร้ายด้วยถ้าคนดูคาดหวังจากชื่อเสียงผู้กำกับพี่น้องรุสโซ่และนักแสดงนำทั้งคริส อีแวนส์กับไรอัน กรอสลิ่ง ทั้งเรื่องมีดีแค่ฉากแอ็กชั่นเล่นใหญ่ตรงกลางเรื่องเท่านั้น นอกนั้นคืออะไรที่ไม่ค่อยเข้าท่า เป็นบทหนังสายลับสูตรสำเร็จทื่อๆ ไม่มีพลิกแพลงหรือหักมุมอะไรเลย จนดูเชยมากในยุคนี้ (ทำจากนิยายเก่า 18 ปีก่อน)
Overall
5.5/10User Review
( vote)Pros
- หนังแอ็กชั่นสายลับที่ได้ดาราดังมาร่วมแสดงเยอะ
- ทุนสร้างมหาศาล 200 ล้านเหรียญ
- หนังของผู้กำกับพี่น้องรุสโซ่
- ทำจากนิยายดังที่มีมาแล้วหลายเล่ม
- ฉากแอ็กชั่นเล่นใหญ่โตมาก
- นางเอกสวย
- มีพากย์ไทย
Cons
- เนื้อเรื่องสูตรสำเร็จแบบทื่อๆ มาก
- ปูแบ็คกราวด์ตัวละครความเป็นมาน้อย
- หลายฉากไม่สมเหตุผลเหมือนเล่นๆ กันทั้งๆ ที่ต้องถึงตาย
- จบแบบทิ้งตัวร้ายไว้เยอะเพื่อทำภาคต่อเกินไป
- ฉากดราม่าพระเอกกับเด็กอ่อนมากไม่ชวนอิน
- คริส อีแวนส์ไว้หนวดจิ๋มจนดูตลก
- ตัวเรื่องพยายามยัดมุกตลก แต่กลับไม่ตลกเลย
The Gray Man ล่องหนฆ่า หนังแอ็กชั่นสายลับของ Netflix จากพี่น้องรุสโซ่ที่ได้ไรอัน กอสลิงกับคริส อีแวนส์ มานำแสดง ซึ่งมองภายนอกนี่คือโปรเจ็กต์ฟอร์มยักษ์เลยด้วยทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญ และตัวนิยายเรื่องนี้เองก็ทำออกมาแล้ว 11 เล่มตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปัจจุบัน เรียกว่าวางตัวไว้เลยว่าจะทำเป็นแฟรนไชนส์กันยาวๆ แน่นอน
รีวิว The Gray Man ล่องหนฆ่า
ถึงจะวางแผนกันไว้ว่าต้องเป็นแฟรนไชนส์ภาคต่อหากินยาวๆ จากพื้นฐานนิยายดัง แต่ตัวหนังเองกลับมีปัญหาตั้งแต่ภาคแรกนี้ด้วยความที่ตัวนิยายอาจจะเก่ามากๆ ทำให้ตัวเนื้อเรื่องค่อนข้างเชยมาก เป็นแนวสูตรสำเร็จสายลับนักฆ่าที่ถูกฝึกมาดี ไปรู้ความลับองค์กร ก็เลยโดนตามเก็บ ทั้งเรื่องเดินไปตามสูตรปกติแทบจะไม่มีออกนอกลู่นอกทางอะไรเลย แม้แต่จุดหักมุมอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น เรียกว่าเป็นหนังแอ็กชั่นสายลับที่ทื่อสุดๆ ตั้งแต่บทแล้วจนไม่แน่ใจว่าทำไมผู้กำกับอย่างพี่น้องรุสโซ่ถึงไม่ปรับแต่งหรือทำอะไรกับบทเชยๆ นี้บ้างเลย ในเมื่อยุคนี้มีหนังสายลับมากมายที่ดีกว่าและดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างเจมส์บอนด์ มิชชั่นอิมพอสซิเบิล หรือแม้แต่พวกมาใหม่อย่างคิงแมนก็ยังทำได้ดีกว่ามากกับบทตรงนี้ จนทำให้นี่เป็นปัญหาตลอดเวลาที่ดูเลยคือ นอกจากเราจะเดาเรื่องออกต่อไปเป็นช็อตๆ แบบง่ายดายแล้ว ตัวเรื่องยังมีปัญหาความไม่สมจริงตามมาอีกมากมาย
ความไม่สมจริงที่ว่าก็ตั้งแต่การวางพื้นฐานปูเรื่องของพวกเกรย์แมนแล้ว ที่วางว่าพวกนี้คือนักโทษต้องคดีแรงแล้วถูกจับมาฝึกโดย CIA ให้เป็นนักฆ่ารับงานจากรัฐ โดยยื่นเงื่อนไขปล่อยตัวออกมาก่อนเวลา แต่กลับต้องกลายเป็นทาสตลอดชีวิต ตายฟรีได้ทุกเมื่อเพราะจะถูกลบประวัติหมดไม่มีตัวตนให้สมกับชื่อเรื่องมนุษย์เงา ซึ่งเรื่องเปิดมาตอนแรกปูนิดเดียวแทบไม่รู้เรื่องอะไรมากขึ้นเลย แล้วก็กระโดดมา 18 ปีผ่านไป อยู่ๆ พระเอกก็คิดทรยศงานที่ทำมาตลอดดื้อๆ โดยเหตุผลและแรงจูงใจก็ไม่สมเหตุผลเลยสักนิดเมื่อแลกกับการโดนตามล่าจากทั้งองค์กรขนาดนั้น แล้วตัวเรื่องก็แทบจะไม่ปูพื้นความสัมพันตัวพระเอกกับคนอื่นที่ร่วมงานแล้วพยายามขอความช่วยเหลือเลย แบ็คกราวด์ตัวละครแทบจะว่างเปล่ากลวงๆ ทำให้เรื่องดำเนินไปแบบพระเอกขยันหาแต่เรื่องเดือดร้อนให้เพื่อนเก่าอดีต CIA ทั้งนั้น เรียกว่าเป็นตัวซวยล้วนๆ แล้วแต่ละคนก็ไม่ได้มีความรู้สึกหรือฉากโชว์ว่าเก่งอะไรเลย เหมือนทั้งเรื่องทำมาเพื่อโชว์พระเอกล้วนๆ โดยมีนางเอกกับตัวร้ายมาเสริมแค่นั้น
โอเคการได้คริส อีแวนส์มาเป็นตัวร้ายอาจจะทำให้น่าสนใจ แต่กลายเป็นว่าคาแรกเตอร์ที่คริสได้เล่นกลับเป็นเหมือนนักฆ่าตัวตลก ดูเหมือนโหด มีความโหด แต่ก็ทำอะไรแบบตลกๆ แบบอีหยังว่ะอยู่บ่อยครั้ง เป็นฉากที่พี่น้องรุสโซ่ตั้งใจให้เป็นมุกตลกในเรื่องเลย แต่มันกลายเป็นการทำให้ตัวละครนี้เหมือนทีเล่นทีจริงไปหมด แถมทรงผมกับการไว้หนวดจิ๋มพิลึกๆ ยิ่งทำให้ตัวละครนี้ดูเด่อด๋าไม่เข้าที่เข้าทาง ซ้ำร้ายยังมีฉากที่ทำให้เห็นว่าบทตัวละครนี้โง่แค่ไหน อย่างการใช้มีดจ้วงแทงพระเอกจากการต่อสู้ตัวๆ ได้ แต่ก็จิ้มทีแล้วก็ออกมายิ้มๆ เหมือนอ่อยให้ ทั้งๆ ที่ฉากนั้นคือไคลแม็กซ์ตัดสินชีวิตกันแล้วด้วยซ้ำ
ตัวละครที่ดูดีกลับเป็นนางเอกที่เล่นโดย อนา เดอ อาร์มาส คือเธอสวย มีเสน่ห์ รับบทเป็นสายลับที่คอยคุมพระเอกแต่กลับติดร่างแหโดนเหมาไปด้วย บททำให้เธอเป็นพาร์ทเนอร์คู่หูของพระเอกที่ดี มีแอบรับส่งมุกกันบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องรักอะไรมาเกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ตัวเรื่องพยายามวางตัวละครในเรื่องไว้เพื่อเป็นภาคต่ออย่างชัดเจน คือทั้งเรื่องเราได้เห็นว่า CIA ระดับหัวๆ เลวแค่ไหน แต่ตอนจบของเรื่องกลับทิ้งค้างไว้ทั้งหมด เหมือนเป็นหนังที่ตั้งใจปล่อยตัวละครร้ายๆ ให้รอดไว้เยอะเพื่อเปิดทางไปภาคต่อ ซึ่งถ้าเดินตามนิยายก็เข้าใจแต่ได้ แต่มันทำให้เรื่องนี้กลายเป็นหนังที่ทำไว้ค้างๆ คาๆ จนน่าเกลียดอยู่เหมือนกัน (คือถ้าจะทำภาคต่อก็ควรมีชั้นเชิงทิ้งไว้มากกว่านี้)
สิ่งที่พอทำให้เรื่องดูสนุกตื่นเต้นได้ก็คงมีแค่ฉากแอ็กชั่นที่พยายามเล่นใหญ่โตในกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ค ตอนกลางเรื่องที่ใหญ่โตกว่าฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องที่ไม่ค่อยมีอะไรให้น่าพูดถึงนัก โดยฉากนี้เป็นฉากที่พระเอกต้องถูกระดมยิงถล่มจากนักฆ่าที่ CIA ส่งมายิงคนในเมืองทิ้งแบบไม่สนใจใครว่าจะตาย ขอแค่เด็ดหัวพระเอกให้ได้ แล้วเรื่องก็ไล่ล่ากันบนรถรางกลางเมืองที่พาให้บ้านเมืองที่ผ่านไปชิบหายกันหมด เป็นฉากที่โม้โอเวอร์สุดๆ มากตั้งแต่ตำรวจกรุงปรากมีปืนกล ขนรถติดปืนกลมายิงถล่ม ตัวร้ายก็มีทั้งปืนกลทั้งเครื่องยิงจรวดถล่มกันเหมือนเป็นหนังสงครามย่อมๆ เลย ซึ่งแน่นอนว่าได้ความสนุกสะใจแน่ๆ แต่ถ้าคิดถึงความสมเหตุผลของฉากนี่สอบตกบรรลัยมากเช่นกันครับ
นอกจากฉากแอ็กชั่นแล้วตัวเรื่องพยายามให้มีดราม่าพระเอกเป็นคนดี ตามช่วยเหลือเด็กสาวที่เป็นหลานของหัวหน้าเก่า ตัวเรื่องพยายามบิ้วให้ทั้งคู่มีความหลังผูกพันธ์กันในช่วงสั้นๆ แล้วก็เอามันมาใช้ในตอนก่อนจบเพื่อให้พยายามบีบคั้นให้เรื่องดูเศร้า แต่เวลาที่เรื่องให้กับสองคนนี้มันน้อยมากจนไม่รู้ถึงความผูกพันอะไรเลย แถมตัวเด็กสาวในเรื่องก็ไม่ได้ถึงกับมีบทเด่นหรือเล่นดีมีเสน่ห์อะไรมาก เรียกว่าไม่ได้มีความน่าจดจำใดๆ เมื่อเทียบกับพล็อตเรื่องนักฆ่าช่วยเด็กแนวๆ เดียวกันที่มีมาก่อนแล้วมากมาย อย่างโปรเฟสชั่นแนลลีออง อีควอไลเซอร์ เป็นต้น
ก็เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งหนัง Netflix ที่ยังคงเสมอต้นเสมอปลายดีกับหนังแมสตกมาตรฐาน ที่มักเอานักแสดงดัง ผู้กำกับมีชื่อเสียงมาขาย แต่ผลงานที่ได้มาแค่พอดูได้ผ่านๆ แถมอาจจะเลวร้ายด้วยถ้าคนดูคาดหวังจากชื่อเสียงผู้กำกับกับนักแสดงนำในเรื่องแบบนี้ครับ ทั้งเรื่องมีดีแค่ฉากแอ็กชั่นเล่นใหญ่ตรงกลางเรื่องเท่านั้น นอกนั้นคืออะไรที่ไม่ค่อยเข้าท่า เป็นบทหนังสายลับสูตรสำเร็จทื่อๆ ไม่มีพลิกแพลงหรือหักมุมอะไรเลย จนดูเชยมากในยุคนี้