playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Irregulars แก๊งนักสืบวัยรุ่นสูตร Stranger Things ผสมเชอร์ล็อก โฮล์ม ลุคใหม่สายขี้ยา (ไม่มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญ)

สรุป

ตัวเรื่องถูกออกแบบมาผสมผสานแนวทางที่คนดูเน็ตฟลิกซ์ส่วนใหญ่ชื่นชอบให้ดูสนุกเพลินๆ ตามสูตรสำเร็จ ทั้งสืบสวน สยองขวัญ แฟนตาซี โรแมนติก โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่ชอบแนวรักน้ำเน่าพล็อตเจ้าชายมาหลงรักสามัญชนคงถูกใจแน่นอน แถมยังดึงเอาตัวละครจาก “เชอร์ล็อก โฮล์ม” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยโดยตรง แต่ส่วนนี้ถูกดัดแปลงจนแทบไม่เหลือซากเค้าโครงคาแรกเตอร์เดิมเลย แฟนๆ ที่ติดภาพเชอร์ล็อกก็คงทำใจรับได้ยากเหมือนกันครับ

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
3 (2 votes)

Pros

  • การดัดแปลงตัวละครจาก “เชอร์ล็อก โฮล์ม” แบบหักดิบทำใหม่หมด
  • คดีเหนือธรรมชาติแนวสยองขวัญจบในตอน แต่เชื่อมต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน
  • แนวโรแมนติกน้ำเน่าสุดๆ กับบทเจ้าชายมาหลงรักนางเอกสามัญชน
  • นางเอกหน้าตาหมวยแท้ๆ แต่เคมีเข้ากับพระเอกได้ แถมเป็นสายรุก
  • ยุควิกตอเรียแบบสมมุติไม่มีเชื้อชาติมาเกี่ยวข้อง (คนดำเป็นชนชั้นสูงได้)
  • เรื่องราวจบเคลียร์หมดเกือบทุกอย่าง ไม่ได้ทิ้งเรื่องไว้ทำต่อซีซั่น 2

Cons

  • ใครที่ติดภาพตัวละครจากเชอร์ล็อกแบบเดิมคงยากที่จะรับได้
  • เรื่องติดเรตรุนแรง แต่กลับไม่ได้มีฉากสยองทำให้ตกใจอะไรเลย มีแต่ฉากแหวะเฉยๆ
  • จบเคสในตอนง่ายๆ ไปหมด ขาดความซับซ้อนแบบแนวสืบสวนแท้ๆ
  • โครงเรื่องหลักแบบเดียวกับซีรีส์ Stranger Things มากจนเดาเรื่องได้หมด

ADBRO

The Irregulars แก๊งนักสืบไม่ธรรมดา ซีรีส์  Netflix 8 ตอนจบ แนววัยรุ่นสืบสวนสยองขวัญ เรื่องราวของแก๊งนักสืบวัยรุ่นที่จะมาไขคดีปริศนาเหนือธรรมชาติในกรุงลอนดอนยุควิกตอเรีย โดยดึงตัวละครจาก “เชอร์ล็อก โฮล์ม” มาเกี่ยวข้องด้วย

 The Irregulars (2021) on IMDb

ตัวอย่าง The Irregulars แก๊งนักสืบไม่ธรรมดา

ซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่แบบ Original Netflix แท้ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นมารองรับฐานลูกค้าวัยรุ่นของ Netflix โดยตรงแบบชัดเจนมากๆ จากแนวเรื่องที่ผสมผสานกันหลายอย่าง สืบสวน สยองขวัญ แฟนตาซี วัยรุ่น โรแมนติก มีครบรสหลักๆ ที่ตรงกับจริตคนดูแน่นอน แถมยังพ่วงด้วยการเอาตัวละครจาก “เชอร์ล็อก โฮล์ม” มาใช้ แต่ดัดแปลงรูปลักษณ์ใหม่ให้เข้ากับตัวเรื่องที่ค่อนข้างผสมหลายอย่างได้แหวกแนวเหลือเกิน

โครงเรื่องเหนือธรรมชาติแบบ Stranger Things ในยุควิกตอเรีย

ชื่อเรื่อง Irregulars แปลว่าสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ ซึ่งก็หมายถึงคดีต่างๆ ในเรื่องนี้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งหมด โดยเรื่องราวเริ่มจากกลุ่มเด็กวัยรุ่นจรจัด บี เจสซี่ บิลลี่ สไปก์ และลีโอ ได้รับการว่าจ้างจากสำนักงานนักสืบของหมอวัตสัน ให้มาช่วยติดตามคดีเด็กทารกหลายคนหายตัวปริศนาเป็นคดีแรก ซึ่งพวกเขากลับพบว่าคดีนี้กลายเป็นคดีเหนือธรรมชาติ และเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหา “รอยแยกต่างมิติ” ที่เกิดขึ้นในลอนดอน และเจ้าสิ่งนี้เองที่เป็นที่มาของคดีเหนือธรรมชาติที่ปรากฎตามมาเรื่อยๆ โดยมีส่วนเชื่อมโยงกับฝันร้ายของเจสซี่ น้องสาวของบี (นางเอก) ที่มีพลังพิเศษเข้าถึงจิตใจคนได้ และการที่หยุดฝันร้ายนี้ได้ก็ต้องปิดรอยแยกต่างมิตินี้ให้ได้ ก่อนที่มันจะขยายตัวจนทำให้โลกหายนะ

โปสเตอร์แอบคล้าย Upside Down ของ Stranger Things อีก

จะเห็นเลยว่าโครงเรื่องนี้มาในสูตรเดียวกับ Stranger Things ชัดเจน แต่ปรับปรุงใหม่ให้เป็นยุคสมัยวิกตอเรีย (ระหว่างปี ค.ศ. 1837 ถึงปี ค.ศ. 1901) เปลี่ยนตัวละครแก๊งเด็กๆ มาเป็นแก๊งวัยรุ่นสืบสวนเรื่องเหนือธรรมชาติจำกัดพื้นที่ไว้แค่ในกรุงลอนดอน ตัวละครอย่าง L ที่เป็นคนเดียวใน Stranger Things ที่มีพลังเหนือธรรมชาติไว้ช่วยเพื่อน ในเรื่องนี้ก็เป็นเจสซี่ทีมีพลังพิเศษคนเดียวในเรื่องเหมือนกัน และก็ยังเป็นคนเดียวที่ปิดประตูมิติได้อีกต่างหาก จะว่าบังเอิญก็ไม่ใช่ แต่ก็เข้าใจได้ว่า Netflix คงต้องการขยายแตกไลน์แนวเรื่องยอดนิยมแบบนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งมันก็ใช้ได้เลยทีเดียว แม้จะรู้สึกถึงความเหมือนของสูตรสำเร็จนี้อยู่ตลอดเวลาที่รับชมก็ตาม

 

ตัวละคร เชอร์ล็อก โฮล์ม มาเกี่ยวข้องมากน้อยแค่ไหน

ซ้าย เชอร์ล็อก โฮล์ม ขวา หมอวัตสัน

จุดที่ทำให้  The Irregulars ดูแตกต่างจากสูตร Stranger Things ก็คือการเอา เชอร์ล็อก โฮล์ม มาเกี่ยวข้องด้วย โดยเป็นตัวละครหลักคู่ไปกับแก๊งเด็ก มีบทเกือบ 50% ของเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ดัดแปลงตัวละครใหม่หมด แตกต่างจากผลงานหนัง Enola Holmes ของ Netflix เองที่ทำมาก่อนหน้านี้ที่ยังคงไว้มากกว่า โดย เชอร์ล็อก โฮล์ม เวอร์ชั่นนี้กลายเป็นนักสืบฮิปปี้ ต้องการมีชื่อเสียงให้โลกจดจำ แถมยังติดยาอย่างหนักจนเป็นขี้ยาโทรมๆ หมอวัตสันก็เป็นคนผิวดำ แถมยังเปลี่ยนเพศสภาพใหม่ให้อีก นอกจากนี้ก็มีไมครอฟต์ โฮมส์ พี่ชายของเชอร์ล็อกตามมาด้วย แต่ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานค้นคว้าเรื่องเหนือธรรมชาติของรัฐบาล และถ่ายทอดความสนใจส่วนตัวไปให้เชอร์ล็อก เพื่อปรับให้ตัวละครเชอร์ล็อกกลายเป็นนักสืบที่สนใจเรื่องไสยศาสตร์เหนือธรรมชาติเป็นหลักมากกว่าคดีปกติ เพราะเชื่อว่าถ้าไขคดีพวกนี้สำเร็จจะมีชื่อเสียงมากกว่า (ในเรื่องเชอร์ล็อกเป็นพวกยึดติดกับชื่อเสียง ต้องการเป็นคนดังที่โลกจดจำ) นอกจากนี้ยังมีบทเชื่อมโยงตัวละครพวกนี้เข้ากับอดีตของตัวนางเอกในเรื่องเข้าไปอีก ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการเพิ่มเติมผูกเรื่องใหม่แบบที่ไม่มีเค้าโครงในนิยายเชอร์ล็อกดั้งเดิมเลยแม้แต่น้อย

เชอร์ล็อกขี้ยา

ซึ่งการปรับแต่งใหม่หมดแบบนี้สำหรับแฟนๆ เชอร์ล็อก โฮล์ม คงทำใจรับได้ยาก และน่าจะถึงขั้นแอนตี้เรื่องนี้ได้เลย แต่สำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนและเข้าใจว่าตัวละครเชอร์ล็อกหมดลิขสิทธิ์ถือครองตามกฎหมายแล้ว ใครจะเอามาต้มยำทำแกงยังไงก็ได้ ก็คงเฉยๆ กับการดัดแปลงในเรือ่งนี้ แต่ถ้าถามว่าผู้เขียนถูกใจไหม ในฐานะที่ไม่ใช่แฟนเชอร์ล็อกก็ต้องบอกว่า ไม่ดีสักเท่าไหร่ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบหักดิบล้างรูปลักษณ์เดิมไปหมดจนเกินไปจริงๆ ทำให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับเชอร์ล็อกที่เข้าใจถูกบิดเพี้ยนไปเป็นแบบใหม่ที่ไม่ชินเอาเลยจริงๆ ครับ

 

พล็อตพระเอกสุดน้ำเน่ากับนางเอกสไตล์ใหม่ หมวยแท้ๆ

พระเอกลีโอกับนางเอกบี

ด้วยความที่ตัวละครหลักเป็นวัยรุ่นก็ย่อมต้องมีความรักมาเกี่ยว ในเรื่องมีการวางแนวรักสามเส้าไว้ในช่วงแรกนิดเดียว แต่บทก็เทมาให้ตัวพระเอกลีโอ ที่เป็นเจ้าชายขี้โรคของประเทศอังกฤษเสด็จออกมานอกวังครั้งแรกก็มาปิ๊งรักแรกพบกับบี นางเอกที่เป็นเด็กกำพร้าจรจัดหนีจากบ้านดัดสันดาน ที่ทารุณกรรมเธอกับน้องและบิลลี่ (เพื่อนชายที่แอบรักเธอ) ซึ่งพล็อตแนวเจ้าชายมาปิ๊งรักหญิงสาวสามัญชนอาจจะไม่แปลก เพราะใช้กันบ่อยจนเรียกว่าพล็อตน้ำเน่า แต่มันก็ยังใช้ได้ผลดีอยู่เสมอ เป็นเหมือนการเติมจินตนาการในฝันของผู้ชมสาวๆ แม้แต่ผู้ชายเองก็อมยิ้มนิดๆ กับเรื่องอะไรแบบนี้ได้ แต่สิ่งที่ถือว่าแปลกใหม่เลยคือ การที่นางเอกในเรื่องใช้นักแสดงจีนแท้ๆ หน้าจีนจ๋ามาเลยไม่ใช่ลูกครึ่ง ซึ่งรับบทโดย Thaddea Graham เป็นคนเชื้อชาติจีนเที่เกิดในไอร์แลนด์เหนือ อายุ 23 ปี ซึ่งบทในเรื่องนี้แม่ของเธอก็เป็นฝรั่งแท้ๆ ส่วนพ่อไม่ได้ถูกเล่าออกมาให้เห็น แต่การที่ Netflix ตั้งใจใช้นักแสดงจีนมาเล่น ก็อาจจะตั้งใจขายความแปลกใหม่ทางเชื้อชาติ แบบเดียวกับซีรีส์ Bridgerton ที่มีพระเอกเป็นคนผิวดำชนชั้นสูง โดยตัดเรื่องความสมจริงของยุคสมัยนั้นออกไปเลย กลายเป็นไม่มีประเด็นเชื้อชาติมาเกี่ยวข้อง ในเรื่องนี้ก็มาในแบบเดียวกัน เมื่อนางเอกเป็นคนจีน แม่ฝรั่ง หมอวัตสันเป็นคนผิวดำ ตัวละครในเรื่องใหญ่โตระดับขุนนางหรือเศรษฐีใหญ่ของลอนดอนก็เป็นคนผิวดำเช่นกัน ในเรื่องจึงเหลือไว้แค่ประเด็นทางชนชั้นของพระเอกกับนางเอกที่ต่างกันมาก แต่ก็ใส่เข้ามาเบาๆ ไม่ได้หนักมาก แค่ชวนให้คนดูลุ้นว่าสุดท้ายแล้วความรักของทั้งคู่ทีมีอุปสรรคทางชนชั้นจะจบลงได้ยังไงเท่านั้น (ตัวเรื่องเคลียร์จบเกือบหมดไม่ค้างคาอะไร)

น้องที่หน้าตาฝรั่งแท้ๆ ไม่เหมือนพี่สาว ในเรื่องจะมีคำอธิายตามมาทีหลัง

สำหรับคนที่สงสัยว่านางเอกจีนแท้ๆ แถมไม่ได้คัดมาแนวสวยหุ่นดีหรือขาวสไตล์พิมพ์นิยมคนสวยแบบนี้ดูแล้วจะอินไหม ขอตอบเลยว่าแรกๆ อาจจะรู้สึกขัดๆ อยู่บ้าง แต่พอดูๆ ไปกลับรู้สึกว่าเข้ากันได้กับพระเอกไม่ขัดอะไรมาก บทโรแมนติกในเรื่องก็ถือว่าดี ชวนจิ้นสูงมาก นางเอกในเรื่องก็เป็นสายรุกอ้อมๆ พระเอกกลับเป็นไก่อ่อนไม่ทันลูกอ่อยของนางเอกซะอีก (เพราะเป็นเจ้าชายนอนเตียงอยู่แต่ในวังมาตลอด) ซึ่งก็ชวนให้ขำน่ารัก มีโมเมนต์ดูแล้วมีความสุขไปตลอด เรียกว่าเคมีของทั้งคู่ผ่านเลย ถ้าไม่ติดที่มองกันแต่รูปร่างหน้าตาของนางเอกภายนอกเท่านั้นนะครับ

 

ความสยองในเรื่องมากน้อยแค่ไหน

ซีรีส์เรื่องนี้ติดเรตของ Netflix เองที่ 18+ ก็คือมีความรุนแรงจะๆ หลายอย่าง ทั้งฉากการตายสยองขวัญที่เปิดมาตอนแรกก็ได้เห็นกันตามภาพด้านล่าง (จริงๆ คือมีฉากตายสยดสยองในเรื่องเลย แต่หนังสือพิมพ์ในภาพเป็นตัวอย่างโปรโมท) ในเรื่อง 4 ตอนแรกจะเป็นตอนละ 1 เคสจบในตอนเลย เป็นคดีที่ตัวร้ายมีความสามารถพิเศษที่ได้แตกต่างกันไปจากรอยแยกต่างมิติในเรื่อง ที่เหมือนประทานพรสวรรค์ให้ไปใช้อัพเกรดความสามารถที่ติดตัวมา (แอบคล้ายการ์ตูนโจโจ้นิดๆ) แต่คนที่ได้พลังนั้นกลับนำไปใช้ในทางที่ผิด กลายเป็นล้างแค้นหรือสนองความต้องการตัวเองไป ซึ่งแต่ละเคสก็แอบดึงแนวเรื่องสยองขวัญที่เคยมีมาก่อน อย่างเช่นฝูงนกที่รุมทำร้ายคน โคลนนิ่งคนขึ้นมาใช้ประโยชน์ แนวแปลงร่างเลียนแบบที่คล้ายๆ ตำนาน Doppelgänger หรือแนวปลุกชีพศพแบบแฟรงเกนสไตน์ก็มี รวมถึงแนวซอมบี้ยอดฮิตด้วย ซึ่งแต่ละคดีก็มีความรุนแรงสูง แต่ไม่มีฉากแนวทำให้ตกใจหรือสะดุ้งเลยแม้แต่น้อย (ไม่มีพวกมุกตุ้งแช่) ซึ่งคนที่กลัวอะไรแบบนี้ก็คงดูได้ชิลๆ เลย แค่เลือดกับฉากแหวะเยอะเท่านั้นเอง

The Irregulars

เรื่องดูสนุกน่าติดตามและจบได้ดีแค่ไหน

ตัวเรื่องช่วงแรกในการปิดแต่ละคดีถือว่าทำออกมาสนุกเลย ด้วยความที่แต่ละตอนต้องปิดเคสในตอน ทำให้เรื่องถูกเล่าแบบไวมาก เปิดมาสืบแปบๆ คนร้ายปรากฎตัว แต่ในอีกทางก็กลายเป็นจุดด้อยไปด้วย เมื่อแต่ละเคสขึ้นต้นดูลึกลับมาก แต่กลับเฉลยกันง่ายๆ จบในแต่ละตอนไม่ค่อยเร้าอะไรมาก ไม่มีฉากต่อสู้จริงจังกับคนร้ายในเรื่องสักเท่าไหร่

ในช่วงกลางเรื่องไปคดีไม่ได้จบแบบเคสในตอนอีกแล้ว เพราะช่วงหลังเป็นเรื่องคดียาวที่มีเชอร์ล็อกมาเกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้เรื่องถูกลากยาวเป็นเรื่องเดียวไปจนจบ กลายเป็นจากที่กระชับรวดเร็วในช่วง 4 ตอนแรก กลับมายืดๆ มีความอืดผสมเข้ามาพอสมควรเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หนักไปทางดราม่าชีวิตอะไรมาก ทำให้ยังพอน่าติดตามได้ตลอดจนจบ แต่ตอนจบของเรื่องนี้ไม่ได้มีฉากสู้บู๊แหลกอะไรทั้งนั้น เป็นฉากจบแบบเรียบๆ เคลียร์ทุกอย่างจนเกือบหมดสิ้น ไม่มีฉากส่งต่อไปซีซั่น 2 ด้วย ซึ่งถือว่าประหลาดมากกับแนวทางซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ แต่เรื่องก็ยังพอทำต่อได้ไม่ยากถ้าจะทำต่อครับ

อัพเดท Netflix ไฟเขียวทำต่อซีซั่น 2 แล้วครับ

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!