playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์ The Last of Us ไม่ใช่งานแนวซอมบี้ แต่เป็นดราม่าลุ่มลึกกัดกินใจผู้ชม (ไม่สปอยล์)

The Last of Us

Summary

นี่คือซีรีส์ที่มีดีมากมายต่างจากแนวซอมบี้ที่ทำกันมาดาษดื่นก่อนนี้ ด้วยคะแนนผู้ชมกับสื่อที่ให้สูงมากอาจจะถูกมองว่าโอเวอร์เรต จากการที่เป็นเกมดังมาก่อนด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นผลงานที่ดัดแปลงถ่ายทอดหัวใจเรื่องราวจากเกมออกมาได้สมบูรณ์แบบ และเติมเต็มมันให้มากขึ้นไปอีก ด้วยความละเอียดละไมของเนื้อหาที่ลงลึกถึงแก่นของจิตใจตัวละคร โฟกัสเรื่องไว้ที่มุมเล็กๆ ของชีวิตตัวละคร 2 คน ทั้งตัวเอกและคู่อื่นๆ สมกับชื่อ The Last of US แม้ฉากแอ็กชั่นต่อสู้กับผู้ติดเชื้อจะมีน้อยมาก ไปเน้นความน่ากลัวของคนมากกว่า แต่นี่ก็คือหัวใจหลักของเรื่องที่ต้องการเล่นกับฉากดราม่าบีบคั้นสะเทือนใจกันทุกตอน ซึ่งตัวเรื่องคงธีมนี้ได้ไม่มีตกมาตรฐานเลยสักนิดตั้งแต่ต้นจนจบ และยังสะท้อนแก่นแท้ความหมายตามชื่อเรื่องได้เป็นอย่างดีครับ 

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  •  สร้างจากเกมดังและถ่ายทอดดัดแปลงออกมาได้สมบูรณ์แบบ
  • การติดเชื้อราที่มีรายละเอียดมากกว่าซอมบี้ทั่วไป
  • ดราม่าลึกซึ้งกินใจทุกตอน
  • อารมณ์ระทึกกดดันทุกตอน
  • ฉากโหดรุนแรงเยอะ
  • เพโดร ปาสคาล เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • เรื่องเล่าแบบสโลว์เบิร์นช้าๆ ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบแนวนี้
  • ตัวเอลลี่เล่นแบบล้นๆ น่ารำคาญ (แม้จะมีเหตุผลรองรับ)

ADBRO

The Last of Us ซีรีส์ HBO 9 ตอนจบซีซั่นแรก สร้างจากเกมดังบน Playstation 3 ปี 2013 ซึ่งกลายมาเป็นกระแสแรงสุดของต้นปีนี้ เรื่องราวของโลกล่มสลายจากผู้คนที่ติดเชื้อรามรณะที่ควบคุมคนให้กลายเป็นเหมือนซอมบี้ได้ และยังกลายพันธ์เป็นอมนุษย์ โจเอลชายผู้ไม่เหลืออะไรในชีวิตได้มาพบกับเอลลี่สาวน้อยที่มีภูมิต้านทานการติดเชื้อได้คนเดียวในโลก เขาจึงต้องเดินทางพาเอลลี่ไปส่งยังจุดหมายที่หวังใช้เอลลี่สร้างวัคซีนป้องกันเชื้อรานี้

The Last of Us (2023) on IMDb

 

รีวิวซีรีส์ The Last of Us

นี่ไม่ใช่ซีรีส์แนวซอมบี้เต็มตัว แต่เป็นซีรีส์ดราม่าเข้มๆ โดยมีส่วนผสมทริลเลอร์ระทึกขวัญเข้ามาเติมให้ดราม่าเข้มๆ นั้นหนักแน่นขึ้นไปอีกมากกว่า โดยธีมของเรื่องก็ตามชื่อ The Last of Us เลยคือ เหลือแค่เรา ซึ่งในที่นี่ก็คือการเล่นกับเรื่องราวในแต่ละตอนที่มีเนื้อหาเฉพาะเจาะลึกไปที่อารมณ์ความรู้สึกโดดเดี่ยว หวาดระแวง ของตัวละครในตอนนั้น แต่ก็มีความสุขเจือปนอยู่ด้วย ซึ่งตัวละครในแต่ละตอนมีบทมากกว่าตัวเอกโจเอลกับเอลลี่ ยังมีตัวละครมากมายอีกหลายตัวปรากฎตัวระหว่างทางในแต่ละตอน แล้วก็ได้รับบทเด่นเป็นตอนของตัวเองโดยมีจุดเชื่อมเล็กๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเดินเรื่องหลักของโจเอลกับเอลลี่

เรื่องหลักคือการเดินทางส่งเอลลี่ไปยังกลุ่มไฟร์ไฟล์ที่เป็นกบฎต่อต้านทหารที่ปกครองโลกในตอนนี้ เพื่อให้ผลิตวัคซีนป้องกันการติดเชื้อราคอร์ดิเซ็ปที่ล้างโลกมา 20 ปี ซึ่งทั้งคู่ก็มีนิสัยไม่ถูกกันในตอนแรก แต่ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทางจนกลายเป็นเหมือนพ่อลูกกัน โดยโจเอลนั้นเสียลูกสาวไปตั้งแต่วันแรกของหายนะ ส่วนเอลลี่เติบโตมาในยุคหลังจากนั้น โดยเรื่องเดินหน้าแบบสโลวเบิร์น ละเมียดละไมค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นทุกตอนจากการผ่านเรื่องร้ายๆ ที่เข้ามาในชีวิตระหว่างทาง ทุกตอนมีเรื่องบีบคั้นสะเทือนจิตใจของทั้งคู่ ซึ่งตัวซีรีส์คงธีมรักษามาตรฐานอารมณ์ของเรื่องนี้ได้ดีพอๆ กันทุกตอน แต่จะมีบางตอนที่โดดเด่นขึ้นไปอีก ซึ่งนี่คือจุดขายหลักของเรื่องที่ไม่ใช่แนววิ่งหนีซอมบี้อย่างที่หลายคนคิด (ในเกมยังมีฉากพวกติดเชื้อมากกว่า ในซีรีส์แทบจะตัดไปหมดถ้าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องในตอนนั้น)

ตัวเรื่องรองในบางตอนจะมีการเล่าเรื่องแยก เป็นเหมือนตอนพิเศษ อย่างตอน 3 ที่โจษจันมากที่สุดของซีรีส์เรื่องนี้คือการเล่าตัวละคร บิลกับแฟรงก์ คู่เกย์ที่ต่างมาจบเจอกันหลังหายนะโลก แล้วก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต โดยที่ในเกมไม่ได้มีฉากเล่าถึงตรงนี้ แต่ซีรีส์นำจุดเล็กๆ มาขยายและเติมเต็มเรื่องราวในเกมได้ลึกซึ้งกินใจ พลิกอารมณ์จากตอนก่อนหน้าที่ยังหนีฝูงผู้ติดเชื้อแบบระทึก กลายมาเป็นดราม่ารักโรแมนติกที่ทำออกมาได้น่าประทับใจ ซึ่งก็ไม่ใช่มีแค่ตอนนี้ตอนเดียวยังมีตอนของคู่อื่นอย่างตอน 5 ที่เล่าเรื่องพี่ชายน้องชายผิวดำที่มาร่วมทางสั้นๆ กับตัวเอก แล้วก็เผยให้เห็นเรื่องราวการเอาชีวิตของสองคนนี้ที่สะเทือนอารมณ์ไม่แพ้คู่ตัวเอกเลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ลงลึกละเมียดละไมกว่าเนื้อหาในเกม และเป็นสิ่งที่ผู้สร้างเกมก็ต้องการให้ทีมซีรีส์ทำออกมาเช่นกัน (เกมไม่สามารถตัดมาเล่าดราม่าล้วนๆ ของตัวละครเสริมได้)

แต่ถึงฉากแนวซอมบี้จากผู้ติดเชื้อจะน้อย ในเรื่องก็ถือว่าใส่มาแบบบาลานซ์สมเหตุผล มีรายละเอียดการดัดแปลงจากเกม เล่าที่มาของเชื้อ มีหลักการที่มาที่ไปของพัฒนาการเชื้อรา ที่เชื้อพวกนี้จะฝังตัวในดินแล้วส่งสัญญาณหากันได้ ซึ่งมาทีก็คือจะตามมาทั้งฝูง ในเรื่องจึงไม่ได้เน้นฉากสู้กับพวกนี้แบบซอมบี้เรื่องอื่น ซึ่งในเกมเองก็คล้ายๆ กัน แน้นแอบเป็นแนวสเตลท์มากกว่าสู้ เพราะถ้าสู้แล้วมีเสียงดังขึ้นอย่างปืนก็คือจะเจอพวกที่เหลือแห่ตามกันมาอีก ซึ่งในซีรีส์เองก็ถ่ายทอดอารมณ์มาแบบเดียวกัน และยังเลเวลอัพให้ผู้ติดเชื้อมีเชื้อรางอกออกมาจากปากทำให้ดูน่ากลัวว่าในเกมขึ้นไปอีก แต่ตัวบอสของเรื่องที่โผล่มานิดเดียวก็อาจจะไม่ถูกใจแฟนเกมเท่าไหร่ เหมือนใช้ไม่คุ้ม

และด้วยความที่เป็นซีรีส์ที่เดินไปเจอคนมากกว่าผู้ติดเชื้อ การพบเจอคนจึงอันตรายกว่า เล่นดราม่าความระทึกกดดันบรรยากาศไม่น่าไว้ใจทุกครั้งเมื่อคนเจอกัน และมักจะจบลงด้วยความโหดร้ายแทบทุกครั้ง ซึ่งตัวโจเอลก็ตีแผ่บรรยากาศความโหดนี้ออกมาได้ดี เป็นตัวละครที่สะท้อนการเอาตัวให้รอดในโลกออกมาตรงๆ ด้วยการไม่ไว้ใจใครเลยสักคน จนกว่าจะพิสูจน์ให้แน่ใจได้ เจอใครน่าสงสัยก็ฆ่าทิ้งทันทีไม่มีปราณี การไม่ยอมปล่อยให้ใครที่มีปัญหากับเขารอดเลยสักคน แม้จะอ้อนวอนยังไงก็ตาม  ซึ่งซีรีส์ทำโจเอลออกมาได้ดาร์คอำมหิตสมจริงมาก แต่ก็มีเหตุผลที่ผู้ชมเข้าใจได้ว่าเพราะเขาต้องการปกป้องเอลลี่เพียงเท่านั้น ซึ่งจุดนี้จะสานต่อไปถึงตอนจบของเรื่องที่โจเอลเลือกตัดสินใจทิ้งโลกหมดไปเพื่อใช้ชีวิตกับเอลลี่เท่านั้น สมชื่อ The Last of US ครับ

จุดด้อยของเรื่องเอาจริงๆ นอกจากแนวดราม่าสโลวเบิร์นเล่าเอื่อยๆ เรื่อยๆ ซึ่งถ้าคนไม่ได้ชอบแนวนี้ก็อาจจะหลับเลยก็ได้ แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ชมที่ดูแนวนี้ได้อยู่แล้ว หลายเรื่องเอื่อยกว่านี้มากด้วย เรื่องนี้ยังมีอารมณ์กดดันระทึกอยู่เรื่อยๆ มากกว่า ดังนั้นสิ่งที่ดูจะไม่ชอบที่สุดคงเป็นตัวละครเอลลี่ ที่น้องนักแสดงเล่นแนวนี้บ่อย และก็ดูล้นๆ น่ารำคาญ มากกว่าในเกมด้วย แต่จริงๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากถ้าคนเข้าใจที่มานิสัยใจคอของตัวละครนี้ ซึ่งแรกๆ เราจะไม่ได้เห็นภูมิหลังของเอลลี่ ต่างกับโจเอลที่เปิดมาเราก็เข้าใจทันทีว่าเขาสูญเสียลุกสาวไป ซึ่งภายหลังเรื่องราวของเอลลี่ค่อยๆ เผยออกมาก็ทำให้นิสัยก๋ากั่นน่ารำคาญนั่นเป็นที่เข้าใจได้ โดยเฉพาะการที่เอลลี่ไม่ใช่เด็กผู้หญิงตามเพศกำเนิดนั่นเอง

 

โดยรวมแล้วนี่คือซีรีส์ที่มีดีมากมายต่างจากแนวซอมบี้ที่ทำกันมาดาษดื่นก่อนนี้ ด้วยความละเอียดละไมของเนื้อหาที่ลงลึกถึงแก่นของจิตใจตัวละคร โฟกัสเรื่องไว้ที่มุมเล็กๆ ของชีวิตตัวละคร 2 คน ทั้งตัวเอกและคู่อื่นๆ สมกับชื่อ The Last of US แม้ฉากแอ็กชั่นต่อสู้กับผู้ติดเชื้อจะมีน้อยมาก ไปเน้นความน่ากลัวของคนมากกว่า แต่นี่ก็คือหัวใจหลักของเรื่องที่ต้องการเล่นกับฉากดราม่าบีบคั้นสะเทือนใจกันทุกตอน ซึ่งตัวเรื่องคงธีมนี้ได้ไม่มีตกมาตรฐานเลยสักนิดตั้งแต่ต้นจนจบ และยังสะท้อนแก่นแท้ความหมายตามชื่อเรื่องได้เป็นอย่างดีครับ 

 

 

อ่านรีวิวหนังซีรีส์ HBO เรื่องอื่นเพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!