playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Lazarus Project (HBO) ซีรีส์สายลับย้อนเวลากู้โลกแตกที่สนุกซับซ้อนไม่เหมือนใคร!

The Lazarus Project

Summary

นี่คือซีรีส์ไซไฟวนลูปเวลาที่เล่าเรื่องด้วยไอเดียที่ประหลาดและแตกต่างมากจากเรื่องอื่นที่เคยดูกันมา มีความสนุกในแนวทางของตัวเองที่ไม่ซ้ำกับใคร แถมฉากแอ็กชั่นก็เล่นใหญ่โต ดารานักแสดงที่มีเอกลักษณ์ รวมๆ แล้วคือห้ามพลาดถ้าคุณชอบแนวทางไซไฟที่ครบรสเป็นเหมือน  Groundhog Day+James Bond แบบนี้ครับ

 

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • แนวไซไฟย้อนเวลาผสมสายลับกู้โลก
  • เล่าเรื่องด้วยปมปัญหาความรักจากการกู้โลกซ้ำๆ
  • ฉากแอ็กชั่นลงทุนสูงในแบบซีรีส์
  • นักแสดงโดดเด่นมีเอกลักษณ์

 

 

Cons

  • ฉากวนลูปซ้ำเยอะมากๆ จนมีเบื่อได้

ADBRO

The Lazarus Project  ซีรีส์ HBO แนวไซไฟ 8 ตอนจบซีซั่น 1 เรื่องราวขององค์กรลับสุดยอดที่อุทิศตนเพื่อป้องกันเหตุการณ์หายนะโลก โดยมีเครื่องมือย้อนเวลากลับไปได้เรื่อยๆ 

The Lazarus Project (2022) on IMDb

 

รีวิว The Lazarus Project (ไม่สปอยล์)


ซีรีส์จากช่อง Sky MAX ของอังกฤษ เมื่อเดือนมิถุนายน 2022 ซึ่ง HBO ก็ได้นำมาลงต่อและพึ่งจบไปในเดือนสิงหาคม 2023 (ซีซั่น 2 ทางช่อง Sky MAX ก็ใกล้ฉายในปี 2023 เช่นกัน) ซึ่งนี่คือซีรีส์แนวท่องเวลาที่แปลกใหม่ ด้วยการนำเรื่องย้อนเวลามารวมกับแนวสายลับ ผสมด้วยเรื่องดราม่าปัญหาความรัก ทำให้เป็นเรื่องราวแนวไทม์ทราเวลที่แปลกพิสดารเอามากๆ

เรื่องนี้เป็นแนวไซไฟย้อนเวลาที่แปลกแตกต่างด้วยการให้มีหน่วยงานลับของรัฐบาล (ที่น่าจะเป็นอังกฤษ) เป็นทีมที่ทำภารกิจเหมือนสายลับกู้โลกแตก อารมณ์เหมือนเจมส์บอนด์ที่ต้องเจอภารกิจระดับโลกทั้งหมดถึงจะมาถึงมือของทีมนี้ โดยมีเครื่องมือย้อนเวลาที่ไม่ถูกเปิดเผยให้เห็นในเรื่องนี้เลยสักนิดมาเป็นตัวช่วยแก้ปัญหา ซึ่งจะมีกฎการย้อนเวลากับจุดเช็คพ้อยท์ที่สมาชิกทุกคนในทีมต้องทำตาม โดยนำจุดเช็คพ้อยท์มาเป็นแกนหลักของเรื่องที่เหมือนวิดีโอเกม คนในทีมจะสามารถตายกี่ครั้งก็ได้ ก่อนโลกจะหายก็จะย้อนกลับไปได้เรื่อยๆ พร้อมความจำที่ติดตัวซ้อนไปเรื่อยๆ แต่ถ้ากู้โลกได้แล้วจะไม่มีการย้อนเช็คพ้อยท์ทำให้ตายจริง ซึ่งในเรื่องมีกฎเรื่องพวกนี้ในตอนแรกคร่าวๆ ไม่ให้ผู้ชมงงมาก ก่อนจะค่อยๆ ทำให้เห็นรายละเอียดที่ชัดเจนพร้อมข้อปลีกย่อยของกฎในภายหลัง 

 

ตัวเรื่องเต็มไปด้วยคำถามต่างๆ ว่าทีมนี้สร้างมาจากไหน และสมาชิกแต่ละคนมาร่วมทีมได้ยังไง ซีรีส์ใช้วิธีอธิบายโดยแต่ละตอนจะย้อนไปเล่าถึงสมาชิกแต่ละคน โดยมี จอร์จ ตัวเอกผิวดำที่ถูกนำมาเข้าทีมใหม่ในตอนแรกเป็นตัวเชื่อมเรื่องราวในปัจจุบันเข้ากับอดีตพวกนั้นและเดินหน้าเรื่องราวล่าสุด โดยทุกสิ่งที่จอร์จได้พบเห็นในการทำงานทั้งภาคสนามและในห้องทำงาน มันมีร่องรอยมาจากอดีตของสมาชิกทุกคนในทีมที่ปกปิดไว้เหลืออยู่ ซึ่งในแต่ละตอนจะย้อนไปเห็นอดีตที่แม้จะกู้โลกได้ แต่สิ่งที่ทุกคนจำได้กลับฝังไว้ในใจ และค่อยๆ กลายมาเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าการกู้โลกที่ดูจะชิลๆ กันไปแล้ว

ซีรีส์ผูกเรื่องโดยใช้ความรัก แต่ละคนจะมีความรักในแบบต่างๆ ซึ่งการย้อนเวลานั้นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ตามมา มากกว่าจะสามารถแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้ ซึ่งซีรีส์ได้เจาะลึกทุกปัญหาของความรักในรูปแบบไซไฟได้เกินกว่าที่เราคาดคิดมาก เป็นเหมือนอย่างหนัง Groundhog Day วันรักจงกลมที่ไม่มีที่สิ้นสุด และคาดเดาอะไรไม่ได้เลยจริงๆ 

และด้วยการเป็นทีมสายลับตระเวนกู้โลกไปทั่ว ก็ทำให้เรื่องนี้มีฉากแอ็กชั่นที่ลงทุนสูงอยู่ตลอดเรื่อง (ดูตัวอย่างได้ในคลิปที่ลงไว้ด้านบน) หลายฉากดูดีเกินกว่าซีรีส์ทั่วไป และก็ใช้โลเกชั่นต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งไม่แน่ใจว่าถ่ายจริงแค่ไหน แต่ทำได้เนียนเหมือนประเทศนั้นจริงๆ มาก 

 

เหล่านักแสดงในเรื่องก็โดดเด่น ทุกคนได้บทที่เป็นตัวละครสีเทาๆ กันหมด ตัวเอกจอร์จเป็นนักแสดงผิวดำที่ดูเป็นคนดีในตอนแรกก็มีจุดที่ทำให้เขากลายมาเป็นคนละคนในเวลาต่อมา แต่ที่เด่นสุดคือ อาชี่ สาวสวยเปรี้ยวที่ชวนจอร์จมาเข้าทีม (แสดงโดย Anjli Mohindra ) เป็นตัวละครที่เหมือนนางเอกของเรื่องที่เก่งกาจที่สุดในทีมและก็มีความลับมากมายอยู่ในตัว แต่ก็ซื่อตรงกับงานนี้ที่สุดเช่นกันโดยมีชีฟที่เป็นตัวละครที่เกือบเก่าแก่ที่สุดในทีมมาเป็นเพื่อนสนิทของเธอ

 

จุดด้อยของซีรีส์ก็คงมีเรื่องการวนลูปซ้ำๆ ที่เรื่องนี้มากมายมหาศาลกันเหลือเกิน จากภารกิจกู้โลกที่มีหลายครั้งมาก (ประมาณ 2 ตอน 1 ภารกิจ โลกแตกในเรื่องนี้บ่อยมาก) หลายตอนอาจจะมีฉากซ้ำที่กินเวลามาก แม้จะมีจุดปลีกย่อยที่แตกต่าง แต่ก็ยังแอบเบื่ออยู่บ้างกับฉากวนซ้ำพวกนี้ ซึ่งผู้สร้างก็คงเข้าใจดีจึงทำให้การวนซ้ำแบบนี้ส่งผลกับจิตใจของตัวละครในทีมทุกคนเช่นกัน และนำไปสู่ปมปัญหาใหญ่ของเรื่องไปด้วย

 

ตัวเรื่องจบซีซั่น 1 ด้วยการแง้มเปิดทางไปสู่กฎเกณฑ์ใหม่ของการย้อนเวลา โดยฉีกแนวแปลกแตกต่างจากซีซั่นแรกไปอีกทาง และก็น่าติดตามมาก เพราะมีการดึงมหาอำนาจในโลกมาเกี่ยวข้องโดยตรงกับซีซั่น 2 นี้โดยตรง

 

สรุปนี่คือซีรีส์ไซไฟที่เล่าเรื่องด้วยไอเดียที่ประหลาดและแตกต่างมากจากเรื่องอื่นที่เคยดูกันมา มีความสนุกในแนวทางของตัวเองที่ไม่ซ้ำกับใคร แถมฉากแอ็กชั่นก็เล่นใหญ่โต ดารานักแสดงที่มีเอกลักษณ์ รวมๆ แล้วคือห้ามพลาดถ้าคุณชอบแนวทางไซไฟที่ครบรสเป็นเหมือน  Groundhog Day+James Bond แบบนี้ครับ

 

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!