playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวหนัง The Lovebirds หนีจากลงโรงเพราะโควิด มาลง Netflix ให้คนด่าเล่น

The Lovebirds

สรุป

ตัวหนังพยายามรวมเอาปัญหาชีวิตของคู่รักที่แตกต่างมายัดใส่ไว้ด้วยกัน ที่น่าปวดหัวคือบทพูดทะเลาะกันในเรื่องจุบจิบเยอะจนน่ารำคาญ มีความพยายามจะให้ดูตลก แต่กลับไม่ตลกเลย มีส่วนคดีฆาตกรรมของเรื่องเท่านั้นที่พอดึงให้คนดูสงสัยติดตามไปได้จนจบ

Overall
4/10
4/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ปัญหาชีวิตของคู่รักที่แตกต่าง
  • คดีฆาตกรรมที่งงๆ เดาไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

Cons

  • บทพูดถกเถียงกันเยอะจนน่ารำคาญ และก็ไม่ตลกอะไรสักเท่าไหร่ด้วย
  • ดาราทั้งคู่ไม่ค่อยมีเสน่ห์น่าติดตาม
  • ไม่รู้สึกว่าเรื่องโรแมนติกสักเท่าไหร่แบบที่ตัวหนังอยากให้มีฉากตรงนี้

 

ADBRO

The Lovebirds คู่รักที่ความสัมพันธ์ง่อนแง่นเต็มทีบังเอิญเข้าไปพัวพันกับเหตุฆาตกรรม จึงต้องเร่งหาตัวฆาตกรและล้างมลทินให้ตัวเองโดยเร็วที่สุด แต่สถานการณ์กลับทั้งแรงและทั้งฮาไปเรื่อยๆ จนทั้งคู่ต้องคิดหาทางเอาตัวเองและความสัมพันธ์ให้รอดคืนนี้ไปได้

 The Lovebirds (2020) on IMDb

ตัวอย่างหนัง The Lovebirds (Netflix)

หนังตลกที่ตอนแรกตั้งใจนำมาลงฉายในโรง 3 เมษายน 2020 ของ Paramount Pictures แต่โดนพิษโควิดเล่นงานจนเปิดฉายตามกำหนดไม่ได้ ทาง Netflix ก็เลยช้อนซื้อมาเป็น Original ของตัวเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องดีมากเพราะบอกเลยว่าถ้าตีตั๋วเข้าไปในโรงนี่เสียดายตังกันแน่ๆ

ตัวหนังตั้งใจทำเป็นแนวตลกดราม่าคู่รัก แต่กลับเรียกเสียงฮาได้ยากเสียเหลือเกิน ปกติหนังตลกหลักๆ ฮาไม่ฮาจะอยู่ที่มุกโดนไม่โดน หรือไม่ก็ตรงกับรสนิยมคนดู (ไทย) หรือไม่ แต่เรื่องนี้มันไม่ฮาเพราะแทบไม่ได้ปล่อยมุกอะไรเลยมากกว่า ทั้งเรื่องตั้งแต่เปิดตัวก็เต็มไปด้วยบทพูดทะเลาะกันของคู่รักต่างสีผิวในเรื่อง คือตั้งใจให้เห็นความแตกต่างนั่นแหละ เพราะในเรื่องมีการพูดถึงสีผิวในเชิงตลกล้อเลียนหลายครั้ง แต่บทพูดทะเลาะกันในเรื่องนี้กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะทั้งเรื่องส่วนตัวของทั้งคู่ เรื่องสัพเพเหระทั่วไปก็หยิบเอามาทะเลาะกัน จนน่าเบื่อเอามากๆ บอกเลยว่าไม่ได้ฮากริบ แต่แทบไม่ได้มีมุกตลกในบทพูดเลยมากกว่า ซึ่งมันกินเวลาของเรื่องไปเยอะมาก อย่างตอนแรกที่เปิดมาก็เถียงกันปาไปเกือบ 10 นาทีถึงเข้าเรื่องฆาตกรรม เรื่องจึงตั้งใจเน้นดราม่าชีวิตความสัมพันธ์ที่แยกทางกันสดๆ แต่กลับต้องมาร่วมทางแก้ไขปัญหากันอีกครั้ง และก็ตามสูตรว่าทั้งคู่ก็ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ที่เคยน่าเบื่อเวลาทะเลากัน จนสุดท้ายก็แฮปปี้เอนดิ้งนั่นแหละ

แต่สิ่งที่ช่วยดึงให้ดูจนจบได้มากกว่าจะเป็นตัวปมปริศนาฆาตกรรมว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนขี่จักรยานที่ตายในตอนแรก ซึ่งเดายากจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตัวเรื่องพาตัวละครทั้งคู่ไปตามเบาะแสที่ได้มาทีละนิดหน่อย แต่ดูไปก็งงไปว่ากลุ่มคนที่ไปเจอแต่ละครั้งมาเกี่ยวกันได้ยังไง แถมยังมีตัวฆาตกรโหดไล่ตามเก็บพวกนี้อีก แต่หนังไม่ได้ออกแนวลุ้นอะไรมากเพราะนี่มันหนังตลก และเราก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางทำให้ตัวเอกทั้งสองคนตาย เรื่องจึงเดินไปแบบง่ายๆ ให้ตัวเอกทั้งคู่รอดตายจากสถานการณ์คับขันแบบตลกๆ (แต่ไม่ค่อยตลก) ก็ยังดีที่ตัวเรื่องหลังเฉลยแล้วเข้าท่าอยู่บ้างในคำตอบที่ว่าทำไมฆาตกรมันถึงดูโหดตั้งแต่แรกแบบนี้ (ขับรถทับคนไปมาหลายรอบ ยิงเด็กวัยรุ่นตายทั้งกลุ่ม) แต่ถ้าถามหาความสมเหตุผลของคดีในเรื่องตอบเลยไม่มีครับ

ตัวเอกทั้งคู่เล่นได้ไม่เชิงเข้าขากันดีนัก แต่ก็ไม่ได้ขัดตาอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าจงใจให้ทั้งคู่แตกต่างกันทุกอย่างจนเกินไปหน่อย เวลาที่เล่นฉากโรแมนติกก็เลยไม่รู้สึกสักเท่าไหร่ ซึ่งถ้าอิงตามชื่อเรื่องนี้ที่ตั้งมาเพื่อให้เข้ากับตัวเรื่อง “เลิฟเบิร์ด” ปกติก็เป็นนกแก้วตัวเล็กที่เลือกคู่แล้วก็อยู่กันไปจนวันตายไม่แยกจากกัน (ถ้าตัวไหนตายไปก่อนอีกตัวจะหงอยเหงามาก) แล้วก็เป็นคำแสลงที่หมายถึงคู่รักที่แสดงออกต่อกันเยอะแบบล้นๆ ไม่แคร์ใครด้วย แต่ในเรื่องนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นสักเท่าไหร่ครับ

นี่เป็นหนังตลกที่ไม่ตลกสักเท่าไหร่ ต้องบอกว่าดีแล้วที่ไม่ได้ลงโรงฉายให้คนด่าว่าเสียดายค่าตั๋วเอาเวลาไปนอนอยู่กับบ้านดีกว่า เพราะนี่นอนดูยังรู้สึกเสียดายเวลาอยู่เหมือนกันครับ ตัวหนังพยายามรวมเอาปัญหาชีวิตของคู่รักที่แตกต่างมายัดใส่ไว้ด้วยกัน ที่น่าปวดหัวคือบทพูดทะเลาะกันในเรื่องจุบจิบเยอะจนน่ารำคาญ มีความพยายามจะให้ดูตลก แต่กลับไม่ตลกเลย มีส่วนคดีฆาตกรรมของเรื่องเท่านั้นที่พอดึงให้คนดูสงสัยติดตามไปได้จนจบ

ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!