playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Man without Gravity ราบเรียบล่องลอยจนจบ

The Man without Gravity Netflix

สรุป

หนังมีส่วนของแนวไซไฟล้ำๆ ตอนช่วงเปิดเรื่องก็จริง แต่หลังจากนั้นหนังเลือกเล่าเรื่องราวในแบบหนังชีวิตดราม่าเรียบๆ ไม่หวือหวาอะไรทั้งสิ้นจนจบตามสไตล์หนังยุโรป แต่ก็ไม่ใช่หนัง Netflix ทุนต่ำงาน CG หยาบๆ หนังจำลองสภาพไร้น้ำหนักออกมาได้สมจริงดูดี

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • จำลองสภาพไร้น้ำหนักได้สมจริง
  • หนังเสียดสีโลกทุนนิยมตรงๆ

Cons

  • การดำเนินหนังราบเรียบเนือยๆ
  • นักแสดงที่เล่นเป็นนางเอกตอนเด็กกับตอนโตต่างกันมากเกินไป

The Man without Gravity ชายผู้ไร้แรงโน้มถ่วง (คลิกรับชมผ่าน Netflix ได้ที่นี่) หนัง Original Netflix แนวดราม่าไซไฟจากอิตาลีที่มีพล็อตเรื่องราวแปลกตาน่าสนใจ เรื่องราวมหัศจรรย์ของชายคนหนึ่งซึ่งเกิดมาลอยได้ไร้แรงโน้มถ่วง แต่ความสามารถพิเศษนี้กลับทำให้ชีวิตของเขาต้องพบกับความยากลำบากกว่าคนธรรมดา

ตัวอย่างหนัง The Man without Gravity ชายผู้ไร้แรงโน้มถ่วง

นี่เป็นหนังที่มีพล็อตเรื่องราวไม่ธรรมดา ว่าด้วยความพิเศษสกิลเหนือมนุษย์แบบพวก Super Hero หรือ X-Men ซึ่งในตัวเรื่องราวเองก็ผูกโยงไว้กับ  Batman ด้วยความที่ตัวเอก “ออสการ์” ชายผู้ไร้แรงโน้มถ่วงที่ตั้งแต่เกิดก็ถูกแม่กับยายซุกซ่อนตัวเอาไว้ในบ้านไม่ให้พบเจอใคร เนื่องจากเกรงกลัวอันตรายจากโลกภายนอก รวมถึงตัวออสการ์เองก็อาจจะลอยหายไปบนท้องฟ้า นั่นทำให้ออสการ์โตมาโดยมีทีวีเป็นเพื่อน และ Batman ก็เป็นตัวการ์ตูนที่เขาหลงไหลชื่นชอบจนอินว่าตัวเองเป็น Batman ด้วยความที่มีอะไรพิเศษเหมือนกัน ซึ่งแม่ของออสการ์ก็เอาจุดนี้มาใช้ให้ออสการ์ปกปิดความสามารถเหมือน Batman ที่ต้องปกปิดตัวตนเช่นกัน

นี่จึงเป็นเรื่องราวของคนที่มีพลังพิเศษแต่ต้องซุกซ่อนความลับนี้ไว้ ซึ่งไม่ใช่แค่ไม่บอกใคร แต่ถึงขนาดที่ว่าต้องไม่ไปพบกับใครเลย ในวัยเด็กยายของออสการ์เข้มงวดกว่าแม่ของเขาซะอีก นั่นทำให้ทั้งคู่ขัดแย้งกันเรื่องออสการ์ควรจะมีชีวิตอยู่แต่ในบ้านหรือได้ออกไปเที่ยวเล่นไปโรงเรียนแบบเด็กคนอื่น แม้ยายจะห้ามไว้แค่ไหน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถขังออสการ์ไว้ในบ้านได้ตลอดไป นั่นจึงทำให้แม่ต้องของเขาต้องใช้ตุ้มน้ำหนักถ่วงไว้ในเสื้อเพื่อพาออกไปเดินเล่นด้านนอก จนทำให้ออสการ์ได้พบกับ “อากาต้า” เด็กสาวที่ล่วงรู้ความลับนี้และได้มอบเป้สีชมพูให้เขาใช้ถ่วงน้ำหนักไม่ให้ลอย ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นของประจำติดตัวออสการ์และของดูต่างหน้าแทนตัวอากาต้าไปพร้อมกัน

The Man without Gravity
The Man without Gravity

หนังมีส่วนของแนวไซไฟล้ำๆ ตอนช่วงเปิดเรื่องก็จริง แต่หลังจากนั้นหนังเลือกเล่าเรื่องราวในแบบหนังชีวิตดราม่า ของชายที่ต้องปกปิดความมหัศจรรย์ไม่ให้โลกรู้จากการเลี้ยงดูของครอบครัว ซึ่งนั่นเป็นคำถามมาตลอดชีวิตว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคนอื่นได้รู้ว่าเขามีความสามารพิเศษนี้ ซึ่งหนังเลือกเล่าเดินเรื่องแบบเรียบสนิทยาวๆ มาค่อนเรื่องเกือบชั่วโมง เหมือนกับชีวิตของออสการ์ที่โตมาจนเลยวัยเบญจเพสแล้วก็ยังต้องปกปิดความลับนี้ต่อไป หนังถึงพึ่งค่อยเลือกเล่าในมุมที่ออสการ์ทนกับการปกปิดตัวเองไม่ไหว และออกไปเผยตัวให้โลกรู้

หนังเปิดตัวละครใหม่ “ดาวิด” ที่กลายมาเป็นหุ้นส่วนช่วยเอาความสามารถของเขามาหากินทำเงินทำทอง เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตออสการ์และตัวหนังที่พาให้เขาได้รู้จักโลกทุนนิยม ที่เขากับเป้สีชมพูกลายเป็นสินค้าหากินได้ทุกอย่าง และเรื่องราวที่ผ่านมาของเขาถูกแต่งเติมใหม่ให้หวือหวา เป็นหเมือน Super Hero ของชาวเมือง แต่ขากลับไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเล่าเรื่องจริงของตัวเองออกไป เพียงเพราะชีวิตเขาที่ผ่านมาไม่หวือหวาจับใจคนดีพอกับการเป็นสินค้าในโลกวัตถุนิยมใบนี้

ชายผู้ไร้แรงโน้มถ่วง
ชายผู้ไร้แรงโน้มถ่วง

นี่เป็นหนังสไตล์ยุโรปจากอิตาลีที่มักจะเลือกเล่าหนังด้วยดราม่าชีวิตเนิบๆ ให้ผู้ชมได้ซึมซาบไปกับความรู้สึกของตัวละคร มากกว่าจะเป็นหนังที่หวือหวาผจญภัยตามสไตล์อเมริกา ซึ่งถ้าใครคิดว่าหนังจะมีฟีลลิ่งผจญภัยเสี่ยงๆ อะไรบ้าง ขอบอกว่าปิดหนังเรื่องนี้ไปได้เลย เพราะทั้งเรื่องหนังจมอยู่ในอารมณ์เดียวกับตัวละครออสการ์ ที่พาให้เราเข้าใจว่าความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ก็ไม่ได้ช่วยทำให้เขามีความสุขหรือประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างที่หวัง ด้วยความที่ตัวเขาอ่อนต่อประสบการณ์ในโลกด้วย สุดท้ายก็ออสการ์ก็ต้องกลับมาใช้ชีวิตแบบเก่าเงียบๆ ซุกซ่อนตัวเองจากโลก ซึ่งหนังก็พาเข้าสู่องค์สุดท้ายของเรื่องราวการพบเจอกับอากาต้าเพื่อนในวัยเด็กอีกครั้ง ก่อนเข้าสู่โหมดของหนังรักที่วางปมไว้ตอนแรก ซึ่งหนังพาไปพบชีวิตอีกมุมของอากาต้าที่อาจจะช็อคเล็กๆ กับเรื่องราวที่วนกลับไปสู่สมัยเด็กอีกครั้ง พร้อมกับฉากปิดท้ายเรื่องราวที่ทิ้งปมมาตั้งแต่แรกเกี่ยวกับ Batman ที่พาให้ผู้ชมอมยิ้มกับตอนจบแบบนี้

พระเอกได้งานทำเป็นคนเช็ดกระจกตึกสูง พร้อมแต่งตัวเป็น Batman ทำงานสร้างรอยยิ้มให้กับคนที่มาพบเห็น 

 

เบื้องหลังงานสร้าง ชายผู้ไร้แรงโน้มถ่วง

นี่เป็นหนังที่หน้าหนังกับพล็อตดูหวือหวาสไตล์ฮอลลีวู๊ด แต่เนื้อในคือหนังยุโรปแท้ๆ ที่มักเล่าเรื่องราวเรียบง่ายจนอาจจะกลายเป็นธรรมดาน่าเบื่อของคอหนังตลาดไป และก็ไม่ใช่ว่าเพราะเป็นหนัง Netflix ทุนน้อย หลายฉากในเรื่องหนังทำให้พระเอกลอยได้อย่างสมจริง โดยใช้เทคนิคยกตัวด้วยสลิง ก่อนจะลบออกไปภายหลัง ซึ่งทุกฉากก็ออกมาเป็นธรรมชาติเหมือนอยู่ในสภาพไร้แรงโน้มถ่วงจริงๆ

หนังอาจจะทำให้หลายคนผิดหวัง แต่ถ้าไม่คิดหวังเรื่องราวแอ็กชั่นผจญภัยอะไร หนังก็ให้แง่มุมชีวิตดีๆ สะท้อนกลับมา แต่หนังอาจจะพลาดตรงความสมจริงของผลกระทบที่โลกได้รับรู้เรื่องนี้ดูจะง่ายไปสักหน่อย ผมโอเคกับการที่หนังไม่เลือกเล่าในแบบ Man of steel ที่เปิดตัวซูเปอร์แมนในแบบพระเยซู แต่ก็รู้สึกว่าหนังควรจะมีเรื่องราวที่เป็นผลกระทบหลายอย่างมากกว่าแค่เรื่องทุนนิยมที่หนังนำมาใช้เป็นประเด็น ทำให้รู้สึกว่าหนังเลือกมองข้ามเรื่องราวอื่นๆ ไปซะหมด จนทำให้รู้สึกไม่อินกับผลกระทบที่ตัวเอกได้รับนัก ซึ่งหนังก็ขยี้ไม่พอด้วย แม้จะพยายามให้ออสการ์ดูเป็นสินค้าเทียบเคียงกับสัตว์ประหลาดที่นำมาเร่โชว์ในโรงละครสัตว์ แต่มันก็ยังไม่แรงพอที่จะกระชากใจให้รู้สึกว่าเขาน่าเห็นใจขนาดนั้น

สุดท้ายส่วนที่ดีสุดของเรื่องก็คือเรื่องราวเล็กๆ กับอากาต้าที่ดูมีมิติของเรื่องราวมากกว่าส่วนอื่นๆ แต่น่าเสียดายที่หนังเลือกมาเล่าเอาตอนจะหมดเวลาของเรื่องแล้ว ทำให้กลายเป็นต้องรวบรัดขาดการส่งอารมณ์กับบทสุดท้ายของชีวิต ชายผู้ไร้แรงโน้มถ่วง คนนี้ครับ

ความเห็นจากเรา: STREAM IT หนังอินดี้ไซไฟพล็อตแปลกๆ ที่ทดลองดูได้ 

ติดตามรีวิวหนัง Netflix คลิกที่นี่

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!