รีวิว The Matrix Resurrections การคืนชีพแบบดันทุรังสร้างต่อที่ไม่มีความสดใหม่หรือฉากน่าจดจำใดๆ (ไม่มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญ)
The Matrix Resurrections
สรุป
ภาคต่อที่สร้างความคาดหวังให้กับแฟนๆ ไว้ว่าจะมีเนื้อเรื่องสดใหม่ไปยังทิศทางใหม่ แต่กลับกลายเป็นการหลอกขายของเก่า ที่จับย้อมแมวคืนชีพให้ดูเหมือนใหม่ เป็นความน่าผิดหวังในทุกด้านเมื่อเทียบกับไตรภาคเก่า จนเหมือนเป็นการดันทุรังสร้างภาคต่อมาเกาะกระแสการกลับมาของ คีอานู รีฟส์ เท่านั้น สำหรับแฟนๆ ที่ยังไงก็คงไปดูอยู่ดี ก็อย่าคาดหวังจะได้ไม่ผิดหวังมากเท่านั้นครับ
Overall
6/10User Review
( votes)Pros
- การนำเรื่องราวเก่ากลับมาทำใหม่ในแบบเดจาวู
- ฉากแอ็กชั่นเยอะ
- ได้นักแสดงหลักกลับมารับบทนำ
- มีตัวละครเก่ากลับมาหลายคน
- มอร์เฟียซในลุคใหม่สดใสกว่า
- ได้เห็นโลกหลังจากภาค 3 เพิ่มเข้ามาใหม่
- โปรดักชั่นงานสร้างยังได้มาตรฐานดีอยู่
- ฉากเน้นระบบเสียง ATMOS โดยตรง
Cons
- เนื้อเรื่องหลักแทบไม่มีอะไรใหม่นอกจากการพยายามตื่นจากเมทริกซ์
- ใช้แฟลชแบ็คซีนเก่ากลับมาเยอะจนดูน่าเบื่อ
- ฉากแอ็กชั่นยิงแหลกที่ไม่มีความแปลกใหม่
- ฉากต่อสู้ตัวๆ ไม่มีความโดดเด่นน่าจดจำ
- ขาดเนื้อเรื่องที่เชื่อมโยงกับปรัชญาลึกล้ำแบบไตรภาค
- เอนด์เครดิตไม่เกี่ยวกับเรื่องเลย เป็นโจ๊กแป๊ก
The Matrix Resurrections เดอะ เมทริกซ์ เรเซอเร็คชั่นส์ หรือ The Matrix 4 การกลับมาของหนังแอ็กชั่นไซไฟในตำนานที่ห่างจากภาคแรกสองทศวรรษ ด้วยความพยายามคืนชีพเรื่องราวเก่าให้ดูสดใหม่อีกครั้ง ภายใต้ทีมงานกับดารานักแสดงหลัก ที่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ดีในด้านการทำเงินตามกระแส คีอานู รีฟส์ มากกว่าการที่มีบทที่ดีเนื้อเรื่องสดใหม่ตอบสนองแฟนๆ ก็เป็นได้
บทความรีวิวไม่มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญ
ตัวอย่าง The Matrix Resurrections
หนังแอ็กชั่นไซไฟในตำนานที่กลับมาได้เพราะกระแสจอห์นวิคทำให้คีอานู รีฟส์ กลับมาเป็นดาราทำเงินเนื้อหอมอีกครั้ง ซึ่งการกลับมาครั้งนี้แม้จะได้ทีมงานเดิมกลับมาส่วนใหญ่ ทั้งนักแสดงเก่าที่ทะยอยกลับมาเล่นกันหมด แต่ตัวผู้สร้างพี่น้อง Wachowski กลับมาแค่ลาน่าเท่านั้น ซึ่งก็อาจจะทำให้เห็นเค้าลางมาก่อนแล้วว่าการที่ เดอะ เมทริกซ์ ไม่สามารถทำภาคต่อได้มานานถึง 20 ปี เนื่องจากผู้สร้างเองก็คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงให้เรื่องดูสดมีทิศทางใหม่แตกต่างไปจากไตรภาคของเดิมที่จบเรื่องราวได้ลงตัวเกือบหมดแล้ว และสิ่งนี้เองก็ส่งผลไปยังหนังภาคนี้อย่างเด่นชัด เมื่อความพยายามคืนชีพเรื่องราวนี้อีกครั้ง ก็เหมือนกับการสร้างหายนะให้แก่แฟรนไชนส์โลก เดอะ เมทริกซ์ นี้ไปในตัว
ภาคนี้เนื้อเรื่องยังวนเวียนอยู่กับการปลดปล่อยตัวนีโอออกจาก เดอะ เมทริกซ์ โดยมีเส้นเรื่องหลักคร่าวๆ แบบไม่สปอยล์อะไรมากก็คือ มีกลุ่มผู้ปลดปล่อยใหม่พยายามปลุกให้นีโอกลับมาอีกครั้ง ตามมาด้วยการช่วยทรินิตี้เพิ่มอีกคน ซึ่งทั้งเรื่องก็มีแค่นี้จริงๆ ดังนั้นตัวเรื่องที่เหลือก็เลยกลายเป็นความพยายามรื้อฟื้นเรื่องราวฉากเก่าๆ มาใส่ในเส้นเรื่องใหม่ของภาคนี้ โดยฉากเก่าที่ว่านี่คือแฟลชแบ็คสั้นๆ ที่ขยันปล่อยมาเรื่อยๆ ตั้งแต่นีโอยังงงๆ ฉากเลือกยา ฉากคุยกับมอร์เฟียซ ฉากฝึกวิชา และยิบย่อยอีกมากมาย จนแทบทั้งเรื่องเต็มไปด้วยแฟลชแบ็คที่กินเวลาไปไม่น้อย โดยเทียบเป็นลักษณะนีโอมองเห็นเดจาวูของตัวเอง ซึ่งแรกๆ แฟนเมทริกซ์คงรู้สึกดีที่ภาคใหม่ยังพยายามดึงเอาฉากเก่าๆ มาร่วมด้วย แต่พอนานไปกลับกลายเป็นว่าชักเยอะเกินไป จนเริ่มรู้สึกรำคาญว่าจะพยายามใส่อะไรมาขนาดนี้ ทำให้เรื่องที่ว่าเหมือนจะไปทิศทางใหม่ได้ในตอนแรก กลับต้องมาติดหล่มการย้อนแฟลชแบ็คของเก่าแวบๆ เทียบกับเรื่องราวในปัจจุบันอยู่เรื่อยๆ
นอกจากความพยายามขายฉากเก่าๆ ระลึกอดีตกันแล้ว ฉากแอ็กชั่นที่เป็นจุดขายของเรื่องก็ยังเอาของเก่ากลับมาบ้างนิดหน่อย อย่างฉากสมิธรัวกำปั้น ฉากโยกหลบกระสุน ของพวกสายลับ ฉากหยุดกระสุนของนีโอ แต่พวกนี้ไม่มีปัญหาเพราะการเอามาแบบนี้มันช่วยทำให้ความมันส์แบบเก่าๆ กลับมาได้ แต่ปัญหาคือฉากแอ็กชั่นใหม่ๆ ที่ควรจะมีฉากเด็ดน่าจดจำระดับปฏิวัติวงการแบบที่ไตรภาคเก่ามีกันทุกภาค มาภาคนี้กลับไม่มีฉากไหนคู่ควรหรือใกล้เคียงพอกับอะไรแบบนั้นเลยสักฉากจริงๆ ซึ่งอาจจะเพราะเราได้เห็นฉากยิงกระหน่ำรัวๆ มาจากหนังหลายเรื่องที่ได้อิทธิพลมาจากจอห์นวิคมาก่อนแล้วด้วย แต่ถ้าตัดเรื่องการใช้ปืนไปมาดูที่การต่อสู้ประชิดตัว ภาคนี้ได้ลูกศิษย์ของหยวนวูปิงมารับหน้าที่ออกแบบคิวบู๊แทนก็ต้องบอกตรงๆ ว่ามือไม่ถึง ไม่มีฉากไหนที่โดดเด่นน่าประทับเลยสักฉากเมื่อเทียบกับไตรภาคเก่า
นอกจากนี้ความพยายามเอา “วูซู” ศิลปะการต่อสู้โบราณของจีนในปัจจุบันที่กลายมาเป็นกีฬามาร่วมกับกังฟู ซึ่งออกแนวยุทธลีลามากกว่าการต่อสู้ตรงๆ ก็เลยยิ่งทำให้ความเว่อร์แบบกังฟูหนังจีนของเดอะเมทริกซ์ที่คนติดตา ลดน้อยถดถอยลงไปอีก เหลือแต่แค่การเอาตัวกระแทก หมัดกระแทก บิดข้อมืออะไรพวกนี้ ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับความเว่อร์ของหนังกังฟูจีนแท้ๆ ที่ไตรภาคเดอะเมทริกซ์นำมาใช้ตรงๆ ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ แล้วก็กลายเป็นฉากที่หนังเรื่องอื่นๆ เอาไปใช้อ้างอิงล้อเลียนกันเต็มไปหมด อย่างฉากทรินิตี้ลอยตัวเตะแบบสโลว์ หรือฉากสู้ร้อยคนกับสมิธโดยการโหนไม้ถีบรอบวง ซึ่งภาคก่อนทางผู้สร้างก็ยอมรับว่าได้อิทธิพลมาจาก กังฟูฮัสเซิล คนเล็กหมัดเทวดา ซึ่งแม้แต่ ชาง-ชี ของมาร์เวลที่ฉายไปก็ยังได้รับอิทธิพลมาเช่นกัน ฉากกังฟูเว่อร์ๆ แบบนี้เราจะไม่ได้เห็นเลยในภาคนี้เลย ซึ่งถือว่าน่าผิดหวังมากจริงๆ
นอกจากนี้ตัวเรื่องยังพยายามอวดอ้างความเป็นปรัชญาของไตรภาคก่อนมาไว้ในภาคใหม่ ผ่านบทพูดของตัวละครที่เสียดสีตัวเองว่าเดอะเมทริกซ์มีดีเพราะมีตรงนี้ผสมกับฉากแอ็กชั่น ซึ่งก็เป็นความจริงในไตรภาคก่อน แต่พอมาในภาคนี้ปรัชญาที่ว่ากลับแทบไม่รู้สึกหรือสัมผัสได้เลย แม้ในช่วงแรกเรื่องราวจะพยายามทำเหมือนการเล่าโลกซ้อนโลกกัน 3 ชั้น ด้วยการให้มิสเตอร์แอนเดอร์สัน (ชื่อนีโอก่อนตื่น) เป็นนักสร้างเกมที่มีอิทธิพลของโลกจากเกมที่ชื่อว่า เดอะ เมทริกซ์ เล่าเรื่องราวตัวเขาเองลงในวิดีโอเกมจนโด่งดัง มีออกมาแล้ว 3 ภาค และบริษัทเกมพยายามให้เขาสร้างภาค 4 ภาคต่อที่เหมือนเป็นการล้อภาพยนตร์เรื่องนี้ไปในตัว ซึ่งผู้ชมอาจจะคิดว่าภาคนี้เนื้อเรื่องหลักเป็นการเล่นซ้อนโลกกันหลายชั้น ดูสับสนชวนงงใช้ได้ในช่วง 30 นาทีแรกของเรื่องกับความพยายามซ้อนโลกกับอาการทางจิตของพระเอกที่มักเห็นแฟลชแบ็คเรื่องราวเก่าๆ ในหัว แต่พอหลุดจากนั้นไปเรื่องราวกลับไม่มีความเป็นปรัชญาอะไรเหลืออยู่เลย เป็นแค่การพยายามอธิบายโลกหลังจากนีโอทำข้อตกลงกับเครื่องจักรจนช่วยทุกคนไว้ได้ ซึ่งการที่พยายามอธิบายโลกหลังจากนั้นอาจจะดูเข้าท่าดีว่ามีการสร้างเมืองใหม่ที่มีแนวทางแตกต่างจากไซออน แต่องค์ประกอบที่เรื่องพยายามสร้างให้มีปัจจัยอะไรใหม่ๆ อย่าง ตัวละครเครื่องจักรที่เป็นมิตรกับมนุษย์กลับไม่มีคำอธิบายลึกๆ ให้ชัดเจนประกอบขึ้นมาเลย กลับเหมือนเป็นความพยายามหาเส้นทางใหม่ที่ไอเดียเหล่านี้ก็ยังไม่ถูกขบคิดให้ตกผลึกลงตัวว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และการที่เมทริกซ์เวอร์ชั่นใหม่ยังต้องการเก็บนีโอกับทรินิตี้ไว้ก็ไม่ได้เป็นเหตุผลที่ลึกล้ำอะไรเลย เมื่อเทียบกับตัวละครต่างๆ ในไตรภาคเดิมที่เชื่อมโยงอิงกับหลักการเชิงปรัชญาผู้สร้าง ผู้ทำลาย ผู้ปลดปล่อย เทพพยากรณ์ ในภาคนี้กลับไม่มีพวกนี้มาเกี่ยวข้องเลยนอกจากมีนักวิเคราะห์จากตัวเมทริกซ์เพิ่มมาเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวละครที่อิงแอบแนบปรัชญาแบบในภาคก่อนเลย
บทของนักแสดงหลักจากภาคเก่าอย่างนีโอกับทรินิตี้ก็ถือว่ามีปัญหาพอสมควร ด้วยความที่เส้นเรื่องค่อนข้างกลวงไม่มีทิศทางใหม่ ก็ทำให้ตัวละครอย่างนีโอก็เหมือนแค่ย้อนกลับไปเล่นบทแบบภาคแรกใหม่ ไม่ได้มีพัฒนาการอะไรเพิ่มขึ้นมาชัดเจน แถมยังถูกลดความสามารถในแต่ละด้านลง โดยเฉพาะเรื่องการบินได้ของนีโอก็หายไป (ในเรื่องมีความพยายามให้นีโอทดลองบิน แต่ก็บินไม่ได้) ส่วนทรินิตี้ก็มารับบทแบบเดียวกับนีโอคือคนที่ยังไม่ตื่น แล้วก็ค่อยๆ รู้สึกตัวจากการเห็นเดจาวูเก่าๆ โดยที่ตัวทรินิตี้เองก็ยังคงถนัดในการขี่มอเตอร์ไซต์แบบเดิม แล้วก็ถูกนำมาใช้ในฉากแอ็กชั่นท้ายเรื่องซิ่งแหลกทั่วเมือง แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับฉากซิ่งบนทางด่วนของภาค 2 ที่น่าจดจำกว่า
ส่วนมอร์เฟียซที่เปลี่ยนนักแสดงใหม่เป็น Yahya Abdul-Mateen II ตัวร้ายจากอควาแมนกับซีรีส์ Watchmen เขาไม่มีปัญหากับการมาแทนที่เป็นมอร์เฟียซคนใหม่ ซึ่งบทถูกปรับให้สดใสกว่า มีมุกตลกกว่า มีร่างกายแบบใหม่ (ตามในภาพด้านล่าง) แต่บทกลับไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากอย่างที่มอร์เฟียซคนเก่าเคยได้รับ ซึ่งก็น่าเสียดายเหมือนกันที่ได้นักแสดงมีของมาใช้ แต่บทกลับไม่เอื้อให้เขาได้แสดงอะไรมากเลย
“บั๊ก” ตัวละครใหม่ที่รับบทโดย Jessica Henwick เหมือนจะเป็นตัวละครที่จะได้รับบทเด่นในตอนแรก จากการเป็นคนเปิดเรื่องในตอนแรกกับทีมผู้ปลดปล่อยของเธอที่เข้ามาช่วยคนในเมทริกซ์ พร้อมกับการนำเสนอรูปแบบเครื่องมือใหม่ๆ ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ ซึ่งบทของเธอก็ทำได้ดีในช่วง 30 นาทีแรกของเรื่องกับภารกิจช่วยเหลือนีโอ แต่พอกลับไปยังโลกจริงนอกเมทริกซ์ บทของเธอกลายเป็นตัวละครที่ไม่ได้สำคัญมาก นอกจากความเป็นคนหัวดื้อที่อาจจะนำภัยกลับมา ซึ่งเรื่องก็เหมือนค่อยๆ ตัดความสำคัญของเธอลง หันไปโฟกัสที่ตัวละครอื่นในโลกจริงที่สำคัญกว่า ซึ่งช่วงนี้เป็นการนำตัวละครเสริมในไตรภาคเก่ากลับมาอีกหลายคน โดยเพิ่มอายุนักแสดงตามช่วงเวลาที่เว้นไปกับเปลี่ยนนักแสดงด้วย ซึ่งใครที่ลืมๆ ไปแล้วก็อาจจะตามไม่ทันจนงงนิดๆ อยู่บ้างว่าตัวละครพวกนี้ในภาคเก่ามีบทยังไงบ้าง
แต่ตัวละครเก่าที่กลับมาแล้วมีบทดีที่สุดคือ “สมิธ” ที่เปลี่ยนคนเล่นใหม่ตามเนื้อเรื่องภาคนี้ที่เป็นเมทริกซ์เวอร์ชั่นใหม่ ทำให้เขามีคาแรกเตอร์ใหม่หมด แต่ก็ยังมีคำพูดที่คุ้นเคยดีอยู่อย่างการเรียกนีโอว่ามิสเตอร์แอนเดอร์สัน ซึ่งบทของสมิธในภาคนี้กลายมาเป็นตัวแปรของเรื่องที่สำคัญเหมือนเดิม แต่เป็นในทิศทางใหม่ที่ช่วยทำให้ภาพเก่าเดิมๆ ที่ภาคนี้พยายามขายดูมีอะไรใหม่ขึ้นมาทันทีเมื่อเขาออกมาในฉาก แต่น่าเสียดายที่บทของเขาไม่ได้มีมาก มีฉากใหญ่ฉากเดียวคือฉากสู้กับนีโอในชั้นใต้ดินคล้ายๆ แบบภาคแรก นอกจากนั้นก็มาในฉากบู๊สั้นๆ แต่เป็นฉากสำคัญชี้เป็นชี้ตายของเรื่องที่คนดูน่าจะชอบมากกว่าฉากสำคัญของนีโอกับทรินิตี้เสียด้วยซ้ำ
งานโปรดักชั่นฉากต่างๆ ยังทำได้ดีเหมือนเดิม แม้ไม่ได้มีฉากอะไรที่สดใหม่นัก เพราะเป็นการรีเทิร์นเอาของเก่ากลับมาทั้งนั้น โดยมีส่วนที่ใหม่นิดหน่อยอย่างเมืองใหม่แทนไซออน แคปซูลที่ใส่นีโอกับทรินิตี้ หรือโลกของเมทริกซ์เวอร์ชั่นนี้ก็ตรงตามโลกจริงในปัจจุบันที่สดใสกว่าโทนแบบไตรภาคเดิม
ใครที่คาดหวังว่าต้องดูไอแม็กซ์ สำหรับภาคนี้คิดว่าไม่จำเป็น เพราะหนังไม่ได้ถูกถ่ายจากกล้องไอแม็กซ์ เป็นการปรับสเกลใหญ่ให้เข้ากับไอแม็กซ์เท่านั้น แต่จะแนะนำให้หาโรงระบบเสียง ATMOS ดูมากกว่าครับ เพราะตัวหนังใส่เสียงมาในระบบนี้โดยตรง ไม่ได้มีการมิกซ์เสียงในระบบอื่นเลย แล้วก็มีฉากที่เน้นเสียงรอบทิศทางจากบนลงล่างเยอะมากด้วย โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่ออกแนวคล้ายๆ ฝูงซอมบี้รุมถล่มทั้งจากรอบข้างกับด้านบนลงมา ตัวผู้เขียนเองดูไอแม็กซ์มายังรู้สึกเสียดายน่าจะดูระบบนี้มากกว่าครับ
สำหรับใครที่คิดว่าภาคนี้อาจจะจบแบบค้างคาเหมือนในอดีต ดูเหมือนผู้สร้างอาจจะไม่ได้คิดวางเรื่องไว้แบบนั้น เพราะตัวหนังเคลียร์เรื่องราวจบแบบทำต่อหรือไม่ทำต่อก็ได้ โดยไม่เกี่ยวข้องกับเอนด์เครดิตเลย (เอนด์เครดิตก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องหลักเลย แค่จะยิงมุกแป๊กเท่านั้น) ซึ่งการที่เรื่องพยายามลากมาจนจบได้ก็เหมือนการดันทุรังทำต่อเพราะกระแสของ คีอานู รีฟส์ มากกว่าตัวบทที่ดีจริงๆ อย่างเห็นได้ชัด ส่วนตัวคิดว่าจบไปเลยแบบนี้น่าจะดีกว่าฝืนทำต่ออีก ซึ่งน่าจะไปต่อยากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับใครที่อยากดูให้หายคาใจก็อย่าคาดหวังไว้มาก เพราะถ้าเทียบกับไตรภาคเก่าแล้ว ภาคนี้ถือว่าด้อยกว่าในทุกด้าน จนเรียกว่าไม่ต้องดูก็ได้จะได้ไม่รู้สึกว่าภาคนี้ไปทำลายภาพความทรงจำดีๆ ของไตรภาคเก่าไปครับ (แต่เชื่อว่าแฟนๆ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ก็คงอยากพิสูจน์กันอยู่ดี)