รีวิว THE MIDNIGHT CLUB netflix มุมมองสัจธรรมชีวิตกับความตายผ่านเรื่องผีวัยรุ่น (ไม่สปอยล์)
THE MIDNIGHT CLUB
Summary
สรุปแล้วเป็นซีรีส์สยองขวัญที่ไม่ควรไปนับรวมว่าจากผู้สร้างไมค์ ฟลานาแกน โดยตรงจะดีกว่า เพราะเขาแทบไม่ได้มากำกับหรือเขียนบทหลักเลย ในตัวเรื่องธีมหลักมันเองเรื่องสัจธรรมชีวิตกับความตายผ่านความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติของผู้ป่วยใกล้ตายที่พยายามค้นหาคำตอบถือว่าทำได้ดี แม้ตอนจบนาทีสุดท้ายจะหักมุมแบบพังๆ แต่การดำเนินเรื่องก็เหมือนหลอกให้คนดูเรื่องผีที่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นการแทรกเรื่องเล่าผีมาเพื่อยัดเยียดฉากจั๊มสแกร์แบบไร้ชั้นเชิงกับเล่าแฟลชแบ็คปูมหลังตัวละครผสมปนมาเท่านั้น ไม่ใช่ปมเรื่องหลักที่ดำเนินอยู่เลย ทำให้เรื่องดูยืดยาวไปกับส่วนนี้แบบน่าเบื่อ และหลายเรื่องก็ออกแนวเลอะเทอะกาวๆ เยอะเกินไปด้วย
Overall
6/10User Review
( votes)Pros
- สัจธรรมชีวิตกับความตายผ่านความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติของผู้ป่วยใกล้ตาย
- ปมตัวละครกับนักแสดงทำได้ดี
- มีพากย์ไทย
Cons
- ฉากผีหลอกเน้นจั๊มสแกร์ทื่อๆ เยอะ
- เรื่องเล่าไม่ใช่ผีเยอะ แถมออกแนวกาวๆ เป็นส่วนใหญ่
- ตอนจบนาทีสุดท้ายหักมุมแบบไม่เข้าท่า
- บางปมใส่มายาวมาก แต่ถูกตัดจบหายไปเฉยๆ
หนังสยองขวัญ Netflix ที่ขายชื่อเครดิตผู้สร้างไมค์ ฟลานาแกน กันตรงๆ ซึ่งก็เชื่อว่าดึงดูดให้ผู้ชมมาดูมาสนใจได้แน่นอน ยิ่งคนที่ประทับใจจาก มิดไนท์แมส เรื่องก่อนที่แทบขึ้นหิ้งในแนวดราม่าลึกซึ้งคมคายผสมความเชื่อทางศาสนาคริสต์ อิสลาม ได้อย่างลงตัว แต่พอเช็คดูกลายเป็นว่านี่ไม่ใช่ผลงานของเขาโดยตรงอย่างฮิลเฮาส์หรือมิดไนท์แมสที่ไมค์จะกำกับ เขียนบท เองทั้งหมด แต่เรื่องนี้เขาแค่กำกับ 2 ตอน (ตอน 1- 2) และแทบไม่ได้ร่วมเขียนบทหลักด้วยเลย โดยตัวเรื่องมาจากผลงานของนักเขียนนิยาย Christopher Pike และนำมาสร้างโดย Leah Fong กำกับกับเขียนบทแทบทั้งหมด และก็เป็นคนเดียวกับที่ทำภาค 2 ของของฮิลเฮาส์เช่นกัน (The Haunting of Bly Manor) ซึ่งหลายคนคงเข้าใจผิดแบบเดียวกันว่าเป็นผลงานของไมค์ฟลานาแกนแท้ๆ แต่ไม่ใช่ (หลักๆ แค่นั่งอำนวยการสร้าง) ซึ่งที่ต้องเขียนแจกแจงงานสร้างนี้ให้เข้าใจเพราะผลงานที่ออกมามันแทบไม่ได้ใกล้เคียงกับงานของไมค์ ฟลานาแกนจริงๆ สักเท่าไหร่เลย ถ้าใครเป็นแฟนผลงานอาจจะเข้าใจผิดไปได้ครับ
ซีรีส์เรื่องนี้คือการรวมธีมดราม่าชีวิตวัยรุ่นเข้ากับเรื่องผีสยองขวัญ ซึ่งดราม่าวัยรุ่นนี้ไม่ใช่แนวปกติ แต่เป็นตัวละครที่ป่วยใกล้ตายจากโรคร้ายมารวมตัวกันเล่าเรื่องผีในทุกตอน เพื่อพยายายามเชื่อมโยงกับการพิสูจน์ว่าโลกหลังความตายมีจริงหรือไม่ โดยพวกเขาคือผู้ที่ใกล้ความตายมากที่สุดแล้วด้วย ซึ่งคอนเซ็ปต์ของเรื่องถือว่าทำได้น่าสนใจมาก แต่ตัวเรื่องกลับมีปัญหาในคอนเซ็ปต์นี้เองหลายจุดเลย
อย่างการเล่าเรื่องผีในเรื่อง ตามความคิดคือการสร้างให้มีเรื่องผีใหม่ๆ มาหลอกผู้ชมได้ทุกตอน แต่สิ่งที่ตัวเรื่องนำเสนอกลับเป็นความพยายามเชื่อมโยงเรื่องเล่าเหล่านี้เข้ากับแบคกราวด์ตัวละคร เหมือนเป็นการเล่าแฟลชแบ็คปูมหลังของแต่ละคน แต่เป็นเรื่องจริงผสมเรื่องแต่งเข้ามาซะเยอะ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไรที่จะทำออกมาแนวนี้ แต่ปัญหาคือตัวเรื่องหลายเรื่องไม่ใช่ผี หรือใกล้เคียงแนวสยองขวัญเลย เป็นแนวไซไฟ แฟนตาซี สืบสวนย้อนยุค ซึ่งเรื่องนี้มันคือซีรีส์ผีสยองขวัญ พอมีเรื่องแบบนี้แทรกเข้ามาเยอะมากก็เหมือนยัดเยียดใส่อะไรก็ไม่รู้มาให้ผู้ชมดู แถมเรื่องส่วนใหญ่แทบทั้งหมดยังจบแบบกาวๆ แบบไม่รู้จะเล่ามาทำไม บางเรื่องก็เหมือนพยายามหลอกให้ผู้ชมคิดว่าตัวละครนี้อาจจะมีอะไรเกี่ยวโยงกับเรื่องเล่า อย่างเรื่องฆาตกรต่อเนื่องของ เควิน ที่เป็นเหมือนพระเอกในเรื่องที่เล่าไม่จบ มีตอนต่อไปเรื่อยๆ อีกหลาย EP แต่สุดท้ายกลับว่างเปล่า แทบไม่ได้ผลอะไรกับเรื่องราวหลักเลย ทำให้ในแต่ละตอนเรื่องเล่าแบบนี้ที่แรกๆ ดูเหมือนดีกลายเป็นความน่าเบื่อขึ้นเรื่อยๆ แบบดูจบแล้วก็จบแค่นั้นจริงๆ และฉากผีหลอกในเรื่องก็ไร้ชั้นเชิงมาก พยายามเน้นแต่ฉากจั๊มสแกร์ล้วนๆ คนที่หวังว่าจะมีฉากผีลองเทคหรือผีหลอกแบบมีกึ๋นนี่แทบไม่มีฉากไหนใกล้เคียงแบบที่ว่าเลย ซึ่งก็เพราะนี่ไม่ใช่ผลงานกำกับของไมค์ ฟลานาแกนตรงๆ อย่างที่แจ้งไปตอนแรกนั่นแหละครับ
ตัวเรื่องมีเส้นเรื่องหลักจริงๆ คือการพยายามพิสูจน์ว่ามีเรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติหลายอย่างเกิดขึ้นที่บ้านพักผู้ป่วยนี้ ซึ่งตัวละครเดินเรื่องหลักคือ อีลองก้า สาวผิวดำแสนฉลาดที่ดันมาเป็นโรคมะเร็งก่อนเข้าสแตนฟอร์ด เธอหาทางมาอยู่ที่นี่หลังรับรู้ว่าการรักษาปกติไม่สามารถช่วยเธอได้ การได้เห็นว่าที่นี่มีเรื่องเล่าว่ามีคนหายป่วยออกไปได้ ผ่านพิธีกรรมลึกลับที่ซ่อนไว้ในที่แห่งนี้ ทำให้เธอพยายามค้นหาความจริงอันนี้ ซึ่งตัวเรื่องส่วนนี้ทำได้น่าสนใจกว่ามาก เพราะรวมทั้งเรื่องผีหลอนๆ ที่เธอเห็น ไสยศาสตร์มนต์ดำ ความเชื่อ รวมถึงวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน ซึ่งตัวเรื่องถูกเล่าแบบคลุมเครือ ไม่แน่ใจว่าอะไรจริงอะไรไม่จริงต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยทุกอย่างที่อีลองก้าประสบพบเห็นถูกตีความให้เหมือนเรื่องเหนือธรรมชาติในสายตาผู้ชม ก่อนที่เรื่องจะดำเนินต่อไปแล้วค่อยๆ มีจุดที่วกกลับมาอธิบายด้วยหลักการกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ได้เสมอ แล้วปล่อยให้ผู้ชมคิดเข้าใจเอาเองว่าจริงหรือไม่จริง โดยมีปมดราม่าของเพื่อนๆ ในคลับมาเกี่ยวพันเข้ากับเรื่องราวนี้ด้วย ซึ่งตัวเรื่องหลอมรวมสองอย่างนี้เข้าไว้ด้วยกันได้ดีมาก
แม้แรกๆ เราอาจจะไม่ค่อยเข้าใจธีมของเรื่องนี้นักว่าพยายามจะเล่าอะไรกันแน่ แต่พอเรื่องยืนหยัดในจุดที่เรื่องเหนือธรรมชาติถูกอธิบายและตีความได้ตามมุมมองของแต่ละคน ก็จะทำให้เราค่อยๆ เข้าใจแก่นของเรื่องนี้ว่า จริงๆ แล้วนี่คือซีรีส์ที่เล่าถึงมุมมองชีวิตและความตายในแบบที่ลึกซึ้งจากกลุ่มคนที่ใกล้ตาย โดยมีเรื่องเหนือธรรมชาติเป็นแค่ฉากหลังที่สร้างไว้เพื่อเป็นความหวังให้มนุษย์ยึดเหนี่ยวจิตใจได้เท่านั้น (ในเรื่องก็มีตัวละครที่เชื่อในพระเจ้าสุดๆ อยู่ด้วย) ซึ่งจุดนี้ตัวเรื่องถือว่าทำได้ดีมาก แม้ทั้งเรื่องเราอาจจะรู้สึกเบื่อกับการเล่าดราม่าชีวิตของแต่ละคนปนเรื่องผี (ที่ไม่สยอง) แต่พอถึงตอนสุดท้ายของเรื่องที่ยังคงธีมนี้ไว้ได้ในเรื่องเล่าสุดท้าย เชื่อว่าหลายคนคงเข้าใจและพอใจกับธีมเรื่องแบบนี้ แต่ปัญหาก็คือนาทีสุดท้ายของเรื่องดันกลายเป็นการทุบทำลายสิ่งที่เรื่องพยายามทำมาทั้งหมดอีกที เป็นการหักมุมแบบไร้สาระ หักเหมือนไม่หัก ทำให้ความพยายามที่เรื่องเล่ามาทั้งหมดพังลงทันที
เหล่านักแสดงในเรื่องถือว่าทำได้ดีทุกคน แต่ละคนมีปมแตกต่างกันไป แต่บางคนก็ไม่ชวนอินเท่าไหร่ อย่างเรื่องของอันยาที่ทำให้เธอดูเป็นตัวละครอารมณ์ร้ายแล้วค่อยๆ เห็นว่าทำไมเธอถึงทำไปแบบนั้น ในเรื่องยังมีนักแสดงหลักจากมิดไนท์แมส Zach Gilford ที่เล่นบทไรลี่ในเรื่องนั้น ซึ่งแน่นอนว่าผู้ชมคงประทับใจบทนั้นของเขามาก จนมาเรื่องนี้เล่นเป็น มาร์ค พยาบาลผู้ช่วยเหลือเด็กๆ โดยเฉพาะคนที่เป็นเกย์แล้วติดเอดส์ ซึ่งมาร์คเองก็เป็นเกย์ด้วย บทนี้ดูเผินๆ คนอาจจะคิดว่ามีความลับอะไรแบบเรื่องก่อน แต่ความจริงกลับกลายเป็นตัวละครที่เรียบง่าย มาเพื่อสร้างขวัญกำลังใจในชีวิตให้เด็กๆ ที่นี่ ซึ่งเขาก็เล่นได้ดีมาก แต่แค่บทมันมีแค่นี้จริงๆ ก็เลยไม่ได้เด่นอะไรมาก
สรุปแล้วเป็นซีรีส์สยองขวัญที่ไม่ควรไปนับรวมว่าจากผู้สร้างไมค์ ฟลานาแกน โดยตรงจะดีกว่า ในตัวเรื่องธีมหลักมันเองเรื่องสัจธรรมชีวิตกับความตายผ่านความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติทำได้ดี แต่ก็เหมือนหลอกให้คนดูในเรื่องผีที่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญเท่าไหร่ ซึ่งถ้าเรื่องไม่เลอะเทอะออกกาวๆ ในแต่ละเรื่องเล่าก็อาจจะรู้สึกดีได้มากกว่านี้ครับ