รีวิว The Naked Director SS2 ครึ่งแรกดีมีเสน่ห์เหมือนเดิม แต่ครึ่งหลังดราม่าลากยาวจนน่าเบื่อ
The Naked Director ss2
สรุป
ซีรีส์จบในซีซั่น 2 เป็นบทสรุปของเรื่องราวผู้กำกับมุรานิชิ ที่ครึ่งแรกยังคงสนุกบ้าบอบวกเกร็ดประวัติวงการหนัง AV ได้เหมือนซีซั่นแรก แต่พอครึ่งหลังเรื่องราวดราม่าหนักจนเสน่ห์ของเรื่องแบบเดิมหายไปหมดเกลี้ยง แถมลากดราม่าวนเวียนกับเรื่องติดหนี้ยากูซ่ายืดยาวจนแอบน่าเบื่อไปจนจบ แม้จะเป็นเค้าโครงจากเรื่องจริงก็ตาม
Overall
6/10User Review
( votes)Pros
- ครึ่งแรกยังคงสนุกครบสูตรในแบบเดียวกับซีซั่นแรก
- แทรกเกร็ดที่มาของฉากสำคัญในวงการ AV
- ตัวละครใหม่ซายากะกับมิยูกิดูดีมีเสน่ห์ทั้งคู่
- ฉากติดเรตเยอะพอๆ กับซีซั่นแรก (แต่ไม่ใช่เป็นหนัง AV โดยตรง)
- มีไตเติลใหม่ดูเข้ากับเรื่องราวดีมาก
- มีเสียงพากย์ไทย
Cons
- ขาดเรื่องราวการบริหารธุรกิจทีวีดาวเทียมแบบที่คนตั้งใจรอดูว่าจะออกมายังไง
- ครึ่งหลังเต็มไปด้วยดราม่าหนักๆ ธีมของเรื่องเปลี่ยนไปมีปมปัญหากับยากูซ่าเป็นหลัก
- บทสรุปเศร้ารันทดเกือบทุกคนจนเหมือนเรื่องตั้งใจให้เป็นแนวชดใช้กรรมตรงๆ ไปหน่อย
โป๊ บ้า กล้า รวย The Naked Director SS2 ซีรีส์ญี่ปุ่น Original Netflix บทสรุปของมุรานิชิผู้กำกับหนัง AV รุ่นแรกที่หมกมุ่นและมุ่งมั่นกับการปฏิวัติวงการหนังโป๊ให้ได้ จนทำอะไรเกินตัวและกลายมาเป็นการปิดฉากตัวเองในที่สุด
ตัวอย่าง โป๊ บ้า กล้า รวย The Naked Director SS2
ซีรีส์ญี่ปุ่นที่เล่าเรื่องของผู้กำกับหนัง AV รุ่นบุกเบิก “โทรุ มุรานิชิ” หลังจากจบช่วงปฏิวัติวงการในซีซั่นแรก ซีซั่น 2 นี้ก็เริ่มต้นในช่วงขาขึ้นของมุรานิชิที่ทำหนังแบบไหนมาก็ขายดีไปหมด แล้วก็ทะเยอทะยานอยากก้าวไปยังวงการทีวีดาวเทียม ซึ่งเป็นสื่อแบบใหม่ที่กำลังมาแรงในช่วงยุคสมัยนั้น (ช่วงยุค 90) โดยความฝันของมุรานิชิคือการฉายหนัง AV ให้คนทั่วโลกดู 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นอะไรที่ยังไม่เคยมีมาก่อนและบ้าระห่ำ แต่การที่จะไปให้ถึงจุดนั้นก็ต้องผ่านอุปสรรคจากเจ้าพ่อในวงการที่ปฏิเสธเขาทุกทางไม่ให้เข้ามาใช้ทีวีดาวเทียมของเขาออกอากาศหนัง AV อย่างที่มุรานิชิวาดฝันไว้ว่าจะเป็นอนาคตต่อไปที่มาแทนที่สื่อแบบเดิม
ในครึ่งแรกของซีซั่น 2 ความสนุกแบบบ้าบอผสมเรื่องราวในประวัติศาสตร์วงการหนัง AV ยังมีอยู่เช่นเดิม ตัวเรื่องพยายามยกระดับความบ้าของตัวเอกด้วยการพยายามหาเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อจะไปซื้อสิทธิการใช้งานทีวีดาวเทียม เหตุผลเพราะคลื่นทีวีปกติติดกฎหมายมากมายที่ไม่มีทางเปลี่ยนได้ง่ายๆ ซึ่งการหาเงินเยอะๆ ก็มาจากการปั๊มหนังเรื่องใหม่ๆ ออกมาขายโดยแทบไม่สนใจคุณภาพ อาศัยข่าวซุบซิบดาราดังมาทำเป็นหนังเลียนแบบจนทำให้แฟนๆ ของดารามาประท้วง ลามไปถึงปัญหาด้านกฎหมายตามมา ทำให้แตกหักกับ “คาวาดะ” คู่หูที่ร่วมก่อตั้งบริษัทมาอีกคน (ในซีซั่นก่อนคือโทชิที่แตกหักไปอยู่กับยากูซ่า) ซึ่งเรื่องราวก็แยกแตกสายเป็นตัวละครหลัก 3 คน มุรานิชิคือหมกหมุ่นกับการหาเงินซื้อทีวีดาวเทียมจนหลงลืมคาโอรุดาวเด่นของค่ายไป เป็นปมว่าหลังจากหนังที่เล่นในซีซั่นแรกคาโอรุก็ไม่มีผลงานต่อมาเลย แถมยังมีตัวละครใหม่ “มิยูกิ” สาวขี้อายที่เหมือนจะมาเป็นดาวเด่นแทนเธอด้วย ซึ่งสุดท้ายก็กลายเป็นการแตกหักไปอีกคน และก็เป็นจุดเริ่มของการล่มสลายของมุรานิชิตามมาด้วย
ส่วนคาวาดะจะเล่าเรื่องราวของความตกต่ำหลังมุรานิชิถอนตัวไปพร้อมกับทีมงานทั้งหมดไม่มีใครติดตามเขาเลย ทำให้บริษัทแซฟไฟร์ที่ก่อตั้งร่วมกันมาหยุดผลิตผลงาน แถมคาวาดะเองยังมีปัญหาส่วนตัวคือไม่มีอารมณ์ทางเพศกับแนวปกติอีกแล้ว ทำให้เขาหันไปหาอะไรที่พิสดารขึ้นเรื่อยๆ อย่างแนวซาดิสต์ มีหุ่นตุ๊กตาเป็นแฟน ซึ่งเรื่องของคาวาดะไม่มีอะไรสำคัญมาก นอกจากแค่เป็นการคงอยู่ของแซฟไฟร์ภายใต้การบริหารของคาวดะที่ทุกคนไม่เชื่อถือ แต่เขากลับพาบริษัทรอดและกลับมาได้อีกครั้งด้วยฝีมือของตัวเอง ซึ่งแอบน่าเสียดายนิดนึงที่ตัวเรื่องน่าจะเอาแนวพิสดารของเขาไปใส่ในหนัง AV หรือพัฒนามาเป็นจุดเริ่มเซ็กส์ทอย แต่กลับไม่มีอะไรตรงนี้มาเกี่ยวเลย แม้จะปูเรื่องรสนิยมพิสดารของเขามาตลอด
อีกคนคือโทชิที่หันไปเป็นลูกน้องยากูซ่าในตอนจบซีซั่นแรก มาซีซั่นนี้ทำให้เห็นว่าแม้เขาจะมีมาดนักเลง แต่โทชิกลับไม่เหมาะกับงานนี้เลย และก็ไม่มีความสุขกับการเป็นยากูซ่า แต่ก็ออกมาเฉยๆ ไม่ได้ โทชิจะได้พบกับ “ซายากะ” สาวบาร์ทรงเสน่ห์ที่เป็นเด็กของ “ฟุรุยะ” หัวหน้ายากูซ่า และแอบชอบเธอแบบเงียบๆ ซึ่งก็กลายมาเป็นปัญหาขัดแย้งภายหลัง โดยเนื้อเรื่องส่วนของโทชิจะค่อยๆ วนกลับไปวงการหนัง AV ในภายหลัง และก็เป็นคนปิดปมปัญหาทุกอย่างในเรื่องซึ่งออกแนวดราม่ารันทดมากๆ
ในครึ่งแรกเนื้อเรื่องของทุกคนนอกจากโทชิยังวนเวียนเกี่ยวกับวงการหนัง AV เป็นหลัก และก็เสิร์ฟลูกบ้าจากคาแรกเตอร์เพี้ยนๆ ของมุรานิชิได้เหมือนซีซั่นแรกไม่มีผิดเพี้ยน ทำให้เรื่องราวยังคงสนุกไม่เปลี่ยนแปลง และก็มีกิมมิคเล็กๆ ในวงการ AV มาให้ดูด้วย อย่างฉากน้ำแตกใส่หน้านักแสดงหญิงเริ่มมาจากไหนจนกลายเป็นเทรนด์ทำตามๆ กันในหนัง AV ญี่ปุ่นจนถึงปัจจุบัน หรือการพยายามบุกเบิกไปยังทีวีดาวเทียมก็ดูน่าลุ้นว่าจะออกมาเป็นยังไงถ้าตัวเอกได้บริหารทีวี 24 ชั่วโมงแบบนี้ มีกระทั่งการพยายามลงสมัครผู้แทนของมุรานิชิเพื่อเข้าไปเปลี่ยนกฎหมายเกี่ยวกับหนังผู้ใหญ่อีกด้วย ซึ่งคาโอรุก็เป็นผู้สนับสนุนการกระทำของมุรานิชิตลอดเวลา แม้ตัวเองจะไม่ได้เล่นหนัง AV อีกแล้วก็ตาม เหตุเพราะกลายมาเป็นดาราดังที่ถูกเชิญไปออกรายการทีวีประจำ แถมยังได้รับงานพรีเซนเตอร์สินค้า ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สังคมยอมให้นักแสดง AV ได้มีตัวตนตรงนี้ขึ้นมา และสิ่งเหล่านี้ที่เรื่องสอดแทรกลงไปก็คือเรื่องจริงในประวัติศาสตร์วงการหนังผู้ใหญ่ในญี่ปุ่นอีกด้วย
แต่ต้องบอกว่าความสนุกที่ว่าได้หายไปเกือบหมดเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งหลัง เนื้อเรื่องหลังจากมุรานิชิได้ทีวีดาวเทียมมาแต่บริหารผิดพลาดจนกลายเป็นหนี้สินมหาศาล จนต้องไปเกี่ยวพันกับการยืมเงินจากยากูซ่า เรื่องกลายเป็นแนวเครียดมากๆ ด้วยหลายอย่างถาโถมเข้าใส่มุรานิชิแบบไม่หยุด ซึ่งโอเคก็มาจากเค้าโครงเรื่องจริงที่เป็นจุดตกต่ำของเขา แต่ก็ทำให้ช่วงครึ่งหลังนี้ขาดเสน่ห์แบบที่ผ่านมาไปหมดเลย และก็ไม่มีช่วงเวลาการบริหารทีวีดาวเทียมให้ดูจริงจังอย่างที่คนดูตั้งความหวังว่าจะได้เห็นลูกบ้าตรงนี้ เพราะเรื่องเล่นตัดตอนว่าเขาต้องหาเงินค่าสัญญางวดแรกให้ได้ ซึ่งก็ไปไม่ถึงไหนก็พังพาบซะก่อน จากนั้นก็วนเวียนกับเรื่องการเบี้ยวหนี้หนีหนี้ ทำตัวเละเทะของมุรานิชิ จนทำให้ลูกทีมทั้งหมดรับไม่ได้กับพฤติกรรมของเขา ซึ่งดราม่าช่วงนี้ยืดยาวต่อเนื่องไปจนเกือบจบเลย บอกตรงๆ ว่าเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก เพราะคนดูคาดหวังว่าจะได้เห็นลูกบ้าต่างๆ ในวงการ AV แต่กลับต้องมาดูแนวดราม่าหนักจนเกินไป ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวมุรานิชิ แต่เป็นดราม่าของทุกตัวละครในเรื่องจากปัญหาบริษัทล้มละลาย กลายเป็นทางใครทางมันและก็แทบไม่มีใครได้ดีเลย ซึ่งตัวเรื่องเหมือนพยายามสะท้อนกฎแห่งกรรมให้ไปลงกับทุกตัวละครจนดูจงใจแปลกๆ ว่าการมาเกี่ยวกับวงการหนัง AV นี่เป็นความผิดบาปหรือยังไง ทำไมตัวละครถึงต้องพบกับชะตากรรมแบบนั้นกันหมด ไม่เว้นแม้แต่คาโอรุที่มั่นใจในเรื่อง SEX เสรีของตัวเองมากก็ยังโดนไปด้วย แม้จะเป็นบทสรุปแบบที่มีเหตุผลรองรับเข้าใจได้ แต่มันก็ไม่ใช่แนวดูสนุกๆ ตามธีมเรื่องแบบที่ผ่านมาเลย จนทำให้เสน่ห์เหล่านั้นหดหายไปหมดสิ้นในครึ่งหลัง
ซีรีส์จบลงที่ซีซั่นนี้ไม่มีต่ออีกแล้ว เพราะเป็นบทสรุปปิดท้ายเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งแม้ครึ่งหลังของเรื่องจะไม่สนุกแบบที่ว่าไว้ แต่ถ้าใครดูซีซั่นแรกมาแล้วก็ยังแนะนำให้ดูจนจบ เพราะจะได้ไม่คาใจว่าเรื่องราวจบลงยังไงกับทุกตัวละครครับ