playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์ The Nevers (HBO) X-Men เวอร์ชั่นผู้หญิงในยุควิคตอเรีย จาก จอส วีดอน (อัพเดทจบพาร์ทแรก 6 ตอน)

สรุป

ซีรีส์อลังการงานสร้างของ HBO ที่ได้จอส วีดอนมาเป็นผู้สร้างและกำกับ ในแนวแฟนตาซียุควิคตอเรีย โดยให้ตัวละครหญิงเป็นตัวนำแทบทั้งหมด แม้จะคล้าย X-Men มากแบบดูยังไงก็เหมือนตั้งใจหยิบยืมมา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องนำมาสร้างใหม่ในแบบของตัวเองได้อย่าน่าทึ่ง และฉากแอ็กชั่นก็เท่เอามากๆ แถมยังดุเดือด ไม่แพ้ผู้ชายเลยด้วย

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
2 (1 vote)

Pros

  • โครงเรื่องและปมแนว X-Men แต่เป็นเวอร์ชั่นผู้หญิง
  • ฉากพลังพิเศษใส่มาตลอดเวลา CG เนียนตาไม่มีหลุดเลย
  • ครีเอทฉากแอ็กชั่นต่อสู้แบบผู้หญิงได้เท่มาก
  • โปรดักชั่นยุควิคตอเรียอลังการงานสร้างสมจริง
  • ตัวเรื่องไม่อืด เล่าเรื่องไว น่าติดตาม

 

Cons

  • ไม่ได้เน้นเรื่องราวความรักมาก แทบไม่ได้ขายตัวละครชายเลย อาจจะไม่ถูกใจกลุ่มคนดูผู้หญิงที่เน้นตรงจุดนี้
  • โครงเรื่องคล้าย X-Men หลายอย่างมากเกินไป
  • ตอนจบพาร์ทแรก เรื่องราวฉีกพลิกใหม่หมดจนอาจจะทำให้คนชอบแนวทางตอนแรกพาลไม่ชอบเลยก็ได้

 

ADBRO

The Nevers ซีรีส์ใหม่ของ HBO แนวแฟนตาซียุควิคตอเรีย เรื่องราวการตื่นขึ้นของผู้มีพลังพิเศษ ที่เรียกว่า “ผู้ถูกสัมผัส” ที่กลายมาเป็นทั้งภัยอันตรายร้ายแรงและอนาคตใหม่ของโลกไปพร้อมกัน

 The Nevers (2021) on IMDb

ตัวอย่าง The Nevers HBO

จอส วีดอน ผู้สร้าง The Nevers

ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้ทำมาจากนิยาย แต่มาจากผู้สร้างชื่อดัง จอส วีดอน ที่กำกับ Avengers ของมาร์เวลจนดัง กำลังตกเป็นดราม่าจากหนัง ZACK SNYDER’S JUSTICE LEAGUE ใน HBO ด้วยกัน ในข้อหาดัดแปลงตัดต่องานของแซ็กใหม่ โดยไม่เคารพต้นฉบับเรื่องราวเดิม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องคุกคามนักแสดงผิวดำอย่างเรย์ที่เล่นเป็นไซบอร์กในเรื่องนั้น พ่วงด้วยการใส่ฉากตลกออกแนวคุกคามทางเพศกับวันเดอร์วูแมนที่ กัล กาด็อต เล่น (ฉากแฟลชล้มทับวันเดอร์วูแมน) จนกัลไม่ยอมแสดงบทนั้น ลามไปถึงการขู่เรื่องอนาคตของ กัล กาด็อต เข้าอีกเรื่อง ซึ่งรวมๆ เป็นประเด็นที่หนักหนามากพอควร การที่เขามากำกับเรื่องนี้ที่เป็นซีรีส์ฮีโร่หญิงนำล้วนแบบนี้ นัยหนึ่งก็คือการพยายามแก้ภาพลักษณ์ที่ผ่านมาไปในตัว และตัวละครหญิงในเรื่องนี้ก็โดดเด่นโดยไม่มีมุกตลกคุกคามทางเพศเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย (แต่ในออนไลน์วีดอนก็ยังโดนรุมถล่มโหวตลบให้เรื่องนี้อยู่ดี)

เมนหลักที่คล้าย X-Men

เมนหลักของเรื่องนี้คือ กลุ่มคนมีพลังพิเศษปะทะกันด้วยความเชื่อแตกต่างกัน ซึ่งพล็อตเรื่องนี้ไม่ได้ใหม่ ออกจะจำเจด้วยซ้ำ เอาตรงๆ มันคือการถอดรูปแบบทั้งพลังและโครงเรื่อง ปมปัญหามาจาก X-Men แบบชัดเจนมาก เพียงแค่หยิบมาใส่ในยุควิคตอเรีย ซึ่งเป็นช่วงยุคที่กำลังรุ่งเรืองสุดขีดทั้งการปฏิวัติอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ และก็นำพลังพิเศษมาสอดแทรกเป็นปมการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโลกในยุคนี้ ผสมไปกับประวัติศาสตร์ แบบเดียวกับที่ X-Men First Class เคยใช้มาก่อน

เด็กที่มีพลังตัวโตเป็นยักษ์

จุดเทียบให้เห็นชัดๆ เลยคือ สถานที่เหมือนบ้านพักของเหล่าผู้หญิงผู้มีพลังพิเศษ ที่รวบรวมเอาเด็กที่พ่อแม่ไม่ยอมรับการมีพลัง และถูกมองว่าผีสิงบ้าง คนนอกคอกบ้าง มารวมไว้ที่นี่ โดยมีเจ้าของบ้าน ลาวิเนีย บิดโลว์ (รับบทโดย Olivia Williams) หญิงสูงวัยผู้เป็นคนในตระกูลดังของอังกฤษ และเธอก็คนพิการนั่งรถเข็น มาเป็นนายทุนผู้สนับสนุนบ้านพักหลังนี้ เพื่อเป็นที่พักพิงและหาทางให้สังคมยอมรับพวกเธอ โดยเธอเองก็อาจจะเป็นผู้มีพลังพิเศษด้วย (แต่ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยพลังในตอนนี้) ซึ่งก็เหมือนกับ ชาร์ล เซเวียร์ / ศาสตราจารย์ เอ็กซ์ แทบจะตรงกันเป๊ะๆ แต่เปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงเท่านั้น

นายหญิงของเรื่องผู้สร้างบ้านพักรวมผู้หญิงที่มีพลังพิเศษ

นอกจากนี้พลังพิเศษในเรื่องก็มีความคล้าย X-Men กันตั้งแต่แรก อย่างตัวละครใช้ไฟ ความเย็น ซึ่งโอเคอาจจะเข้าใจว่านี่เป็นธาตุพื้นฐาน แต่เรื่องนี้ก็มีการแบ่งฝ่ายความเชื่อ ตัวดีกับตัวร้าย ซึ่งความเย็นก็อยู่ฝ่ายดี ไฟก็อยู่ฝ่ายตัวร้าย แบบเดียวกับไอซ์แมนกับไพโร ซึ่งไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ (มีการย้ายข้างไปมาในภายหลัง)

นอกจากเรื่องพลังแล้ว แนวคิดเรื่องพลังพิเศษของเรื่องนี้เป็นทั้งคำสาปและพรสวรรค์ ที่ทำให้สังคมไม่ไว้ใจ รัฐบาลก็กำลังหาทางจัดการควบคุมในเรื่องนี้ เพราะมองว่าเป็นภัยกับความมั่นคงของประเทศหรือของโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งทำให้คนที่มีพลังพิเศษในเรื่องนี้กลายเป็นพวกโดดเดี่ยว แปลกแยก และมีปัญหาการอยู่ร่วมกับสังคม รวมถึงถูกแอนตี้จากสังคมเมื่อพลังพิเศษที่ถูกซ่อนไว้เปิดเผยออกมา ฝ่ายตัวเอกกับตัวร้ายก็พยายามค้นหาผู้มีพลังแข่งกัน และตัวละครที่มีพลังค้นหาผู้มีพลังด้วยกันก็กลายเป็นปมหลักของเรื่องราวในซีซั่นนี้ ซึ่งก็เทียบเคียงเรื่องราวในแบบเดียวกับ X-Men ได้แทบทั้งหมดเลย

 

จุดเด่นคือความเท่ของฉากแอ็กชั่นแบบผู้หญิงกับโปรดักชั่นอลังการ

มิสทรู นางเอกของเรื่องที่เน้นฉากแอ็กชั่นบู๊เลือดตกยางออกเป็นหลัก

แต่ถึงโครงเรื่องจะถูกหยิบยืมมาใช้คล้ายขนาดนี้ ก็ต้องบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้ก็หยิบยืมมาปั้นแต่งใหม่ในแบบที่ดูดีลงตัวมากๆ ด้วยความที่เป็นซีรีส์ทุนสูงของ HBO เป็นสำคัญด้วย จึงจำลองฉากในยุควิตอเรียได้ใหญ่โตสมจริงมาก รวมถึงโปรดักชั่นทุกด้าน CG ทุกฉากอยู่ในจุดที่คุณภาพเทียบเท่าหนังฉายโรงได้เลย แต่ที่สำคัญคือและโดดเด่นคือการใช้พลังพิเศษของเรื่องนี้ในฉากแอ็กชั่นที่ใส่มาแบบไม่มีกั๊ก โดยนางเอกของเรื่อง อะมาเรีย ทรู หรือ มิสทรู (รับบทโดย Laura Donnelly) มีพลังเห็นเสี้ยวของอนาคตที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และนำมามันมาใช้กับการสืบสวนกับต่อสู้ ซึ่งฉากต่อสู้ของเธอนี่ก็ออกมาบู๊และเท่สุดๆ แถมดุเดือดในแบบเลือดสาดติดเรตได้เลย (มีฉากต่อยคนจนหน้าเละ) เธอเองก็มีนิสัยห่ามบ้าระห่ำพร้อมตายได้อยู่เป็นทุนเดิมด้วย และตัวนางเอกเองก็มีไอเทมสิ่งประดิษฐ์ของคู่หู เพแนนซ์ อะแดร์ (รับบทโดย Ann Skelly) ที่เธอมีพลังมองเห็นพลังงานไหลเวียนในธรรมชาติ ทำให้สามารถประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ที่ล้ำยุคออกมาได้ ซึ่งแค่ตอนเปิดเรื่องก็ชวนว้าวสุดๆ กับระเบิดแสงบินได้ แล้วตามมาด้วยรถม้าจักรกลที่มีเครื่องยนต์ซ่อนอยู่ด้านล่างแยกส่วนออกมาเป็นรถขับได้ แบบเดียวกับแบทโมบิลของแบทแมนนั้นเลยครับ ในแต่ละตอนเธอจะมีไอเทมใหม่ๆ มาให้ทรูใช้เพื่อต่อสู้กับอีกฝ่ายที่เป็นผู้มีพลังพิเศษเช่นกัน

ตัวร้ายในเรื่องนี้ก็เป็นกลุ่มลึกลับที่ตามหาผู้มีพลังพิเศษและลักพาตัวไปใช้ประโยชน์ และทำให้ตกเป็นทาสด้วยการผ่าสมอง (คล้ายๆ ตัวละครไซล่าในซีรีส์ Heroes สมัยก่อน) และก็ยังมีตัวละครที่ไม่มีสังกัดเพิ่มมาอีก อย่าง “มาลาดี” ฆาตกรต่อเนื่องหญิงที่ถูกเทียบเคียงกับแจ็คเดอะริปเปอร์ และทางการกำลังตามล่าตัวอย่างหนัก ซึ่งนางเอกทรูก็ตามล่าเธอด้วยเช่นกันเพราะเป็นผู้มีพลังที่ใช้ไปในทางเข่นฆ่าคน ทำให้จุดประสงค์ของกลุ่มนางเอกที่ต้องการให้สังคมยอมรับผู้มีพลังมีปัญหา

มาลาดี ฆาตกรต่อเนื่องที่มีพลังพิเศษทนต่อความเจ็บปวดและอาการบาดเจ็บทุกอย่าง (ใกล้เคียงอมตะ)

ที่มาของพลังพิเศษ “ผู้ถูกสัมผัส” (มีสปอยล์ตอนจบ EP1)

ตัวเรื่องเปิดมาด้วยปริศนา 3 ปีก่อนที่คนในลอนดอนมองเห็นแสงบนท้องฟ้า ก่อนภาพจะตัดมาปัจจุบันที่มีคนมีพลังพิเศษปะปนอยู่กับผู้คนหมู่มากไปแล้ว และต่างถูกเรียกด้วยคำว่า “ผู้ถูกสัมผัส” ซึ่งมีความหมายนัยหนึ่งคือ พระเจ้าเลือกสัมผัสแตะตัวมอบพลังให้คนๆ นั้น ซึ่งมีทั้งชายและหญิง แต่ในเรื่องตัวละครหญิงคือตัวเอกทั้งฝ่ายดีและไม่ดี จึงถูกเน้นมากกว่าผู้ชาย และอีกอย่างคือปมการกดขี่ไม่ยอมรับเพศหญิงขึ้นมาเท่าเทียมผู้ชายในยุคนั้นด้วย ทำให้เรื่องการได้พลังพิเศษถูกนำมาใช้สื่อถึงการปฏิวัติสังคมด้วยพลังของผู้หญิงไปพร้อมกัน

ส่วนที่มาของพลังพิเศษถูกเฉลยให้เห็นในตอนจบของตอนแรก เป็นเรือเหาะสุดล้ำโปรยแสงบางอย่างเหมือนหิ่งห้อยลงมา และเมื่อดูดกลืนเข้าไปตัวก็ทำให้คนๆ นั้นมีพลังพิเศษขึ้นมาตามพื้นฐานความสนใจของคนนั้น อย่างหมอผิวดำของฝ่ายนางเอกก็ได้พลังรักษาบาดแผล อะแดร์ที่ชอบจักรกลอยู่แล้วก็กลายเป็นมองเห็นพลังไหลเวียนต่างๆ มาลาดีที่ถูกทรมานในโรงพยาบาลบ้าก็กลายเป็นความสามารถทนทานต่อความเจ็บปวดในขั้นเหนือมนุษย์ ถูกยิงไม่เจ็บไม่ตาย

 

ซีรีส์ผู้หญิงเน้นเรื่องความรักหรือไม่?

ที่จริงถ้าเป็นเรื่องอื่นส่วนความรักคงเป็นเรื่องสำคัญ และมีบทให้เวลากับตรงจุดนี้มาก แต่เรื่องนี้ต้องบอกว่าแค่มีประกอบเรื่อง และก็เป็นเรื่องราวของคู่รองอย่างคู่หูนางเอกที่ไปพบรักกับชนชั้นสูง น้องชายของของเจ้าของบ้านบิดโลว์ แต่เป็นไปในแบบปมชนชั้นทางสังคม ซึ่งการมีพลังพิเศษไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสิ่งช่วยยกชนชั้นขึ้นมา และกลายเป็นการมีพลังพิเศษกว่าหญิงสาวทั่วไปทำให้มีปัญหาเรื่องการยอมรับจากผู้ชายมากขึ้นไปอีก

สปอยล์ความลับสำคัญของเรื่องในตอน 6 ที่พลิกเรื่องราวใหม่ทั้งหมด

ซีรีส์ดำเนินเรื่องในยุควิคตอเรียนมาตลอด 5 ตอน แต่ตอนสุดท้ายของพาร์ทแรก เป็นตอนที่เฉลยความที่มาของ อะมาเรีย ทรู ซึ่งฉีกแนวเกินคาดเมื่อเรื่องเปิดมาให้เธอเป็นหน่วยทหารในอนาคตที่กำลังทำสงครามปริศนาอยู่ โดยมีเอเลี่ยนจากต่างดาวลงมาที่โลก 1 ตัว และเป็นตัวคีย์สำคัญของสงครามครั้งนี้ รวมถึงเป็นตัวมอบพลังให้ทุกคนในเรื่องด้วยสปอร์ที่ออกมาจากตัวมัน และมันยังพา อะมาเรีย ทรู ในโลกอนาคตย้อนเวลากลับมาในยุควิคตอเรียน โดยมาแต่จิตสวมเข้ากับร่าง อะมาเรีย ทรู ที่เป็นสาวหม้ายคนขายเนื้อธรรมดา และอาศัยอยู่ในร่างนี้มาตลอด ก่อนจะมาเป็นผู้นำบ้านพักรวมคนมีพลังพิเศษนี้ เพื่อเตรียมตัวสู้กับอะไรบางอย่างที่ตามมาจากอนาคตเช่นกัน
ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ตัวเรื่องไปไกลกว่ายุควิตอเรียนมาก และปมพลังพิเศษในเรื่องกลายเป็นเรื่องรองไปในทันที สำหรับคนที่ชอบก็อาจจะว้าวกับการฉีกแนวขนาดนี้ แต่ถ้าคนไม่ชอบไซไฟข้ามเวลา ก็อาจจะรู้สึกว่าเรื่องเริ่มออกทะเลเละเทะได้เช่นกัน ซึ่งก็ต้องรอดูทิศทางต่อไปของพาร์ท 2 ที่มีกำหนดฉายปลายปี หรืออาจจะปีหน้าเลยจากปัญหาโควิดที่เกิดขึ้น (เรื่องซีซั่นแรกมีทั้งหมด 12 ตอน)

 

ซีรีส์ฉายทุกวันจันทร์ ตอนละ 50 นาที ซีซั่นแรกมี 12 ตอน แต่ถูกแบ่งครึ่งฉาย 6 ตอนแรกก่อน เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน จบครึ่งแรก 16 พฤษภาคม 2021 ครึ่งหลังยังไม่กำหนดเวลา สนใจติดตามดูผ่าน HBO คลิกที่นี่

ออฟฟิเชียลไซต์ https://www.hbo.com/the-nevers

 

รีวิว Black Doves พิราบเงา (Netflix) ซีรีส์สายลับที่ตัวละครมีเสน่ห์ซับซ้อนคมคายสุดๆ