รีวิวซีรีส์ The Nevers (HBO) X-Men เวอร์ชั่นผู้หญิงในยุควิคตอเรีย จาก จอส วีดอน (อัพเดทจบพาร์ทแรก 6 ตอน)
The Nevers
สรุป
ซีรีส์อลังการงานสร้างของ HBO ที่ได้จอส วีดอนมาเป็นผู้สร้างและกำกับ ในแนวแฟนตาซียุควิคตอเรีย โดยให้ตัวละครหญิงเป็นตัวนำแทบทั้งหมด แม้จะคล้าย X-Men มากแบบดูยังไงก็เหมือนตั้งใจหยิบยืมมา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องนำมาสร้างใหม่ในแบบของตัวเองได้อย่าน่าทึ่ง และฉากแอ็กชั่นก็เท่เอามากๆ แถมยังดุเดือด ไม่แพ้ผู้ชายเลยด้วย
Overall
8.5/10User Review
( vote)Pros
- โครงเรื่องและปมแนว X-Men แต่เป็นเวอร์ชั่นผู้หญิง
- ฉากพลังพิเศษใส่มาตลอดเวลา CG เนียนตาไม่มีหลุดเลย
- ครีเอทฉากแอ็กชั่นต่อสู้แบบผู้หญิงได้เท่มาก
- โปรดักชั่นยุควิคตอเรียอลังการงานสร้างสมจริง
- ตัวเรื่องไม่อืด เล่าเรื่องไว น่าติดตาม
Cons
- ไม่ได้เน้นเรื่องราวความรักมาก แทบไม่ได้ขายตัวละครชายเลย อาจจะไม่ถูกใจกลุ่มคนดูผู้หญิงที่เน้นตรงจุดนี้
- โครงเรื่องคล้าย X-Men หลายอย่างมากเกินไป
- ตอนจบพาร์ทแรก เรื่องราวฉีกพลิกใหม่หมดจนอาจจะทำให้คนชอบแนวทางตอนแรกพาลไม่ชอบเลยก็ได้
The Nevers ซีรีส์ใหม่ของ HBO แนวแฟนตาซียุควิคตอเรีย เรื่องราวการตื่นขึ้นของผู้มีพลังพิเศษ ที่เรียกว่า “ผู้ถูกสัมผัส” ที่กลายมาเป็นทั้งภัยอันตรายร้ายแรงและอนาคตใหม่ของโลกไปพร้อมกัน
ตัวอย่าง The Nevers HBO
จอส วีดอน ผู้สร้าง The Nevers
ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้ทำมาจากนิยาย แต่มาจากผู้สร้างชื่อดัง จอส วีดอน ที่กำกับ Avengers ของมาร์เวลจนดัง กำลังตกเป็นดราม่าจากหนัง ZACK SNYDER’S JUSTICE LEAGUE ใน HBO ด้วยกัน ในข้อหาดัดแปลงตัดต่องานของแซ็กใหม่ โดยไม่เคารพต้นฉบับเรื่องราวเดิม โดยเฉพาะประเด็นเรื่องคุกคามนักแสดงผิวดำอย่างเรย์ที่เล่นเป็นไซบอร์กในเรื่องนั้น พ่วงด้วยการใส่ฉากตลกออกแนวคุกคามทางเพศกับวันเดอร์วูแมนที่ กัล กาด็อต เล่น (ฉากแฟลชล้มทับวันเดอร์วูแมน) จนกัลไม่ยอมแสดงบทนั้น ลามไปถึงการขู่เรื่องอนาคตของ กัล กาด็อต เข้าอีกเรื่อง ซึ่งรวมๆ เป็นประเด็นที่หนักหนามากพอควร การที่เขามากำกับเรื่องนี้ที่เป็นซีรีส์ฮีโร่หญิงนำล้วนแบบนี้ นัยหนึ่งก็คือการพยายามแก้ภาพลักษณ์ที่ผ่านมาไปในตัว และตัวละครหญิงในเรื่องนี้ก็โดดเด่นโดยไม่มีมุกตลกคุกคามทางเพศเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย (แต่ในออนไลน์วีดอนก็ยังโดนรุมถล่มโหวตลบให้เรื่องนี้อยู่ดี)
เมนหลักที่คล้าย X-Men
เมนหลักของเรื่องนี้คือ กลุ่มคนมีพลังพิเศษปะทะกันด้วยความเชื่อแตกต่างกัน ซึ่งพล็อตเรื่องนี้ไม่ได้ใหม่ ออกจะจำเจด้วยซ้ำ เอาตรงๆ มันคือการถอดรูปแบบทั้งพลังและโครงเรื่อง ปมปัญหามาจาก X-Men แบบชัดเจนมาก เพียงแค่หยิบมาใส่ในยุควิคตอเรีย ซึ่งเป็นช่วงยุคที่กำลังรุ่งเรืองสุดขีดทั้งการปฏิวัติอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ และก็นำพลังพิเศษมาสอดแทรกเป็นปมการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโลกในยุคนี้ ผสมไปกับประวัติศาสตร์ แบบเดียวกับที่ X-Men First Class เคยใช้มาก่อน
จุดเทียบให้เห็นชัดๆ เลยคือ สถานที่เหมือนบ้านพักของเหล่าผู้หญิงผู้มีพลังพิเศษ ที่รวบรวมเอาเด็กที่พ่อแม่ไม่ยอมรับการมีพลัง และถูกมองว่าผีสิงบ้าง คนนอกคอกบ้าง มารวมไว้ที่นี่ โดยมีเจ้าของบ้าน ลาวิเนีย บิดโลว์ (รับบทโดย Olivia Williams) หญิงสูงวัยผู้เป็นคนในตระกูลดังของอังกฤษ และเธอก็คนพิการนั่งรถเข็น มาเป็นนายทุนผู้สนับสนุนบ้านพักหลังนี้ เพื่อเป็นที่พักพิงและหาทางให้สังคมยอมรับพวกเธอ โดยเธอเองก็อาจจะเป็นผู้มีพลังพิเศษด้วย (แต่ยังไม่ได้ถูกเปิดเผยพลังในตอนนี้) ซึ่งก็เหมือนกับ ชาร์ล เซเวียร์ / ศาสตราจารย์ เอ็กซ์ แทบจะตรงกันเป๊ะๆ แต่เปลี่ยนมาเป็นผู้หญิงเท่านั้น
นอกจากนี้พลังพิเศษในเรื่องก็มีความคล้าย X-Men กันตั้งแต่แรก อย่างตัวละครใช้ไฟ ความเย็น ซึ่งโอเคอาจจะเข้าใจว่านี่เป็นธาตุพื้นฐาน แต่เรื่องนี้ก็มีการแบ่งฝ่ายความเชื่อ ตัวดีกับตัวร้าย ซึ่งความเย็นก็อยู่ฝ่ายดี ไฟก็อยู่ฝ่ายตัวร้าย แบบเดียวกับไอซ์แมนกับไพโร ซึ่งไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ (มีการย้ายข้างไปมาในภายหลัง)
นอกจากเรื่องพลังแล้ว แนวคิดเรื่องพลังพิเศษของเรื่องนี้เป็นทั้งคำสาปและพรสวรรค์ ที่ทำให้สังคมไม่ไว้ใจ รัฐบาลก็กำลังหาทางจัดการควบคุมในเรื่องนี้ เพราะมองว่าเป็นภัยกับความมั่นคงของประเทศหรือของโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งทำให้คนที่มีพลังพิเศษในเรื่องนี้กลายเป็นพวกโดดเดี่ยว แปลกแยก และมีปัญหาการอยู่ร่วมกับสังคม รวมถึงถูกแอนตี้จากสังคมเมื่อพลังพิเศษที่ถูกซ่อนไว้เปิดเผยออกมา ฝ่ายตัวเอกกับตัวร้ายก็พยายามค้นหาผู้มีพลังแข่งกัน และตัวละครที่มีพลังค้นหาผู้มีพลังด้วยกันก็กลายเป็นปมหลักของเรื่องราวในซีซั่นนี้ ซึ่งก็เทียบเคียงเรื่องราวในแบบเดียวกับ X-Men ได้แทบทั้งหมดเลย
จุดเด่นคือความเท่ของฉากแอ็กชั่นแบบผู้หญิงกับโปรดักชั่นอลังการ
แต่ถึงโครงเรื่องจะถูกหยิบยืมมาใช้คล้ายขนาดนี้ ก็ต้องบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้ก็หยิบยืมมาปั้นแต่งใหม่ในแบบที่ดูดีลงตัวมากๆ ด้วยความที่เป็นซีรีส์ทุนสูงของ HBO เป็นสำคัญด้วย จึงจำลองฉากในยุควิตอเรียได้ใหญ่โตสมจริงมาก รวมถึงโปรดักชั่นทุกด้าน CG ทุกฉากอยู่ในจุดที่คุณภาพเทียบเท่าหนังฉายโรงได้เลย แต่ที่สำคัญคือและโดดเด่นคือการใช้พลังพิเศษของเรื่องนี้ในฉากแอ็กชั่นที่ใส่มาแบบไม่มีกั๊ก โดยนางเอกของเรื่อง อะมาเรีย ทรู หรือ มิสทรู (รับบทโดย Laura Donnelly) มีพลังเห็นเสี้ยวของอนาคตที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และนำมามันมาใช้กับการสืบสวนกับต่อสู้ ซึ่งฉากต่อสู้ของเธอนี่ก็ออกมาบู๊และเท่สุดๆ แถมดุเดือดในแบบเลือดสาดติดเรตได้เลย (มีฉากต่อยคนจนหน้าเละ) เธอเองก็มีนิสัยห่ามบ้าระห่ำพร้อมตายได้อยู่เป็นทุนเดิมด้วย และตัวนางเอกเองก็มีไอเทมสิ่งประดิษฐ์ของคู่หู เพแนนซ์ อะแดร์ (รับบทโดย Ann Skelly) ที่เธอมีพลังมองเห็นพลังงานไหลเวียนในธรรมชาติ ทำให้สามารถประดิษฐ์สิ่งต่างๆ ที่ล้ำยุคออกมาได้ ซึ่งแค่ตอนเปิดเรื่องก็ชวนว้าวสุดๆ กับระเบิดแสงบินได้ แล้วตามมาด้วยรถม้าจักรกลที่มีเครื่องยนต์ซ่อนอยู่ด้านล่างแยกส่วนออกมาเป็นรถขับได้ แบบเดียวกับแบทโมบิลของแบทแมนนั้นเลยครับ ในแต่ละตอนเธอจะมีไอเทมใหม่ๆ มาให้ทรูใช้เพื่อต่อสู้กับอีกฝ่ายที่เป็นผู้มีพลังพิเศษเช่นกัน
ตัวร้ายในเรื่องนี้ก็เป็นกลุ่มลึกลับที่ตามหาผู้มีพลังพิเศษและลักพาตัวไปใช้ประโยชน์ และทำให้ตกเป็นทาสด้วยการผ่าสมอง (คล้ายๆ ตัวละครไซล่าในซีรีส์ Heroes สมัยก่อน) และก็ยังมีตัวละครที่ไม่มีสังกัดเพิ่มมาอีก อย่าง “มาลาดี” ฆาตกรต่อเนื่องหญิงที่ถูกเทียบเคียงกับแจ็คเดอะริปเปอร์ และทางการกำลังตามล่าตัวอย่างหนัก ซึ่งนางเอกทรูก็ตามล่าเธอด้วยเช่นกันเพราะเป็นผู้มีพลังที่ใช้ไปในทางเข่นฆ่าคน ทำให้จุดประสงค์ของกลุ่มนางเอกที่ต้องการให้สังคมยอมรับผู้มีพลังมีปัญหา
ที่มาของพลังพิเศษ “ผู้ถูกสัมผัส” (มีสปอยล์ตอนจบ EP1)
ตัวเรื่องเปิดมาด้วยปริศนา 3 ปีก่อนที่คนในลอนดอนมองเห็นแสงบนท้องฟ้า ก่อนภาพจะตัดมาปัจจุบันที่มีคนมีพลังพิเศษปะปนอยู่กับผู้คนหมู่มากไปแล้ว และต่างถูกเรียกด้วยคำว่า “ผู้ถูกสัมผัส” ซึ่งมีความหมายนัยหนึ่งคือ พระเจ้าเลือกสัมผัสแตะตัวมอบพลังให้คนๆ นั้น ซึ่งมีทั้งชายและหญิง แต่ในเรื่องตัวละครหญิงคือตัวเอกทั้งฝ่ายดีและไม่ดี จึงถูกเน้นมากกว่าผู้ชาย และอีกอย่างคือปมการกดขี่ไม่ยอมรับเพศหญิงขึ้นมาเท่าเทียมผู้ชายในยุคนั้นด้วย ทำให้เรื่องการได้พลังพิเศษถูกนำมาใช้สื่อถึงการปฏิวัติสังคมด้วยพลังของผู้หญิงไปพร้อมกัน
ส่วนที่มาของพลังพิเศษถูกเฉลยให้เห็นในตอนจบของตอนแรก เป็นเรือเหาะสุดล้ำโปรยแสงบางอย่างเหมือนหิ่งห้อยลงมา และเมื่อดูดกลืนเข้าไปตัวก็ทำให้คนๆ นั้นมีพลังพิเศษขึ้นมาตามพื้นฐานความสนใจของคนนั้น อย่างหมอผิวดำของฝ่ายนางเอกก็ได้พลังรักษาบาดแผล อะแดร์ที่ชอบจักรกลอยู่แล้วก็กลายเป็นมองเห็นพลังไหลเวียนต่างๆ มาลาดีที่ถูกทรมานในโรงพยาบาลบ้าก็กลายเป็นความสามารถทนทานต่อความเจ็บปวดในขั้นเหนือมนุษย์ ถูกยิงไม่เจ็บไม่ตาย
ซีรีส์ผู้หญิงเน้นเรื่องความรักหรือไม่?
ที่จริงถ้าเป็นเรื่องอื่นส่วนความรักคงเป็นเรื่องสำคัญ และมีบทให้เวลากับตรงจุดนี้มาก แต่เรื่องนี้ต้องบอกว่าแค่มีประกอบเรื่อง และก็เป็นเรื่องราวของคู่รองอย่างคู่หูนางเอกที่ไปพบรักกับชนชั้นสูง น้องชายของของเจ้าของบ้านบิดโลว์ แต่เป็นไปในแบบปมชนชั้นทางสังคม ซึ่งการมีพลังพิเศษไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสิ่งช่วยยกชนชั้นขึ้นมา และกลายเป็นการมีพลังพิเศษกว่าหญิงสาวทั่วไปทำให้มีปัญหาเรื่องการยอมรับจากผู้ชายมากขึ้นไปอีก
สปอยล์ความลับสำคัญของเรื่องในตอน 6 ที่พลิกเรื่องราวใหม่ทั้งหมด
ซีรีส์ฉายทุกวันจันทร์ ตอนละ 50 นาที ซีซั่นแรกมี 12 ตอน แต่ถูกแบ่งครึ่งฉาย 6 ตอนแรกก่อน เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน จบครึ่งแรก 16 พฤษภาคม 2021 ครึ่งหลังยังไม่กำหนดเวลา สนใจติดตามดูผ่าน HBO คลิกที่นี่
ออฟฟิเชียลไซต์ https://www.hbo.com/the-nevers