รีวิว The Old Guard หนัง Netflix ทุนสูง แต่พล็อตเก่าๆ ฉากแอ็กชั่นไม่ได้ว้าวอย่างที่คิด
The Old Guard
สรุป
ก็ถือว่าเป็นหนังทุนสูงของ Netflix ที่มีงานโปรดักส์ชั่น CG ได้มาตรฐาน แต่ว่าตัวเรื่องไม่ได้แปลกใหม่ ฉากแอ็กชั่นแค่ได้มาตรฐานทั่วไปยังไม่ถึงขั้นมีซีนน่าจดจำอะไรนัก และก็จบแบบเตรียมทำภาคต่อชัดเจน
Overall
7.5/10User Review
( votes)Pros
- ชาร์ลิซ เธอรอน สาวเท่เหมาะสมกับบทมาก
- ฉากแอ็กชั่นใส่มาเยอะมากพอ
- CG ฟื้นฟูสภาพบาดแผลดูเนียน
- ตัวละครที่ทิ้งค้างไว้เป็นภาคต่อน่าสนใจมาก
- ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของตัวละครต่างๆ ในแต่ละยุคมีความน่าสนใจ
- มีเรื่องเกย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักนิดๆ
Cons
- เนื้อเรื่องง่ายๆ ธรรมดาตามสูตรไปหน่อย
- ฉากแอ็กชั่นเยอะ แต่กลับไม่ได้มีลุ้นอะไรมาก
- นอกจาก ชาร์ลิซ เธอรอน นักแสดงคนอื่นค่อนข้างโนเนมทั้งนั้น
The Old Guard หนังแอ็กชั่น Original Netflix สร้างเอง เรื่องราวของชีวิตอมตะไม่มีอะไรง่ายอย่างที่เห็น ทหารรับจ้างที่มีชีวิตอมตะกลุ่มเล็กๆ รวมตัวกันอย่างลับๆ ปกป้องโลกมนุษย์มาเป็นเวลาหลายร้อยปี
ตัวอย่าง The Old Guard
บทความไม่มีสปอยล์เนื้อหาความลับของเรื่อง
หนัง Original Netflix ทุนสูงที่ใช้บริการดาราดังอย่าง ชาร์ลิซ เธอรอน มาเล่นแบบเรื่องก่อนๆ นี้และก็ยังมาในแนวทางเดียวกันคือเป็นหนังที่ทำไว้เตรียมเป็นภาคต่อยาวๆ ทำให้ตัวเรื่องเหมือนเป็นแค่จุดเริ่ม Begin เปิดตัวกับภารกิจออร์เดิร์ฟเรียกน้ำย่อยก่อนเท่านั้น
ทหารรับจ้างที่มีชีวิตอมตะกลุ่มเล็กๆ รวมตัวกันอย่างลับๆ และนำโดยนักรบชื่อแอนดี้ (ชาร์ลิซ เธอรอน) ทุกคนต่อสู้เพื่อปกป้องโลกมนุษย์มาเป็นเวลาหลายร้อยปี แต่เมื่อต้องไปปฏิบัติภารกิจเร่งด่วนที่ทำให้ความสามารถที่ไม่ธรรมดาของกลุ่มเปิดเผย ไนล์ (คิคี เลย์น) ซึ่งเป็นนักรบอมตะคนล่าสุดจึงต้องตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมกลุ่มเพื่อช่วยเหลือทุกคน หรือว่าจะกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวดังเดิม
ต้องบอกว่าจากพล็อต จากตัวอย่าง จากหน้าหนัง และความเว่อร์ของแนวนี้ที่เคยมีหลายเรื่องทำมาก่อนเยอะแยะแล้ว ตัวอย่างซีรีส์ Highlander (1992–1998) คนอมตะที่ต้องสู้กันเองเปลี่ยนผ่านความทรงจำรุ่นต่อรุ่นมาเป็นพันปี ทำให้ผู้เขียนคิดว่าเรื่องนี้ที่หยิบพล็อตแนวนี้มาทำใหม่อีกเรื่องน่าจะมีอะไรเด็ดๆ มากกว่านี้ซ่อนอยู่ แต่คงหวังมากไปเพราะสุดท้ายตัวเรื่องยังถือว่าอยู่ในขั้นธรรมดาสามัญมาก หลักๆ คือแค่มนุษย์อมตะที่ไม่รู้ว่าอมตะจากอะไร (เรื่องอื่นๆ ก็มักจะประมาณนี้) พยายามค้นหาสาเหตุของการเป็นอมตะที่จริงๆ แล้วก็ยังทนทุกข์ทรมานจากการไม่ตายได้เช่นกัน ทั้งอาการเจ็บที่ยังคงอยู่ การเห็นคนที่รักตายจากไป คบค้าสมาคมสนิทกับใครก็ไม่ได้เพราะกลัวความลับถูกเปิดเผย ด้วยความโดดเดี่ยวนี้เองจึงทำให้พล็อตมนุษย์อมตะแนวนี้มีอะไรแทบเหมือนกันทั้งหมด แต่แค่เปลี่ยนตัวร้ายเป็นรุ่นๆ ไปเท่านั้น ซึ่งในเรื่องนี้ทีมตัวเอกที่มีกัน 4 คนต้องมาเจอกับ CEO เจ้าของบริษัทยาที่ต้องการไขความลับชีวิตอมตะของพวกเขา โดยอ้างว่าทำเพื่อมนุษย์ชาติ แต่จริงๆ คือเพื่อหากำไรเข้าบริษัท ซึ่งมันก็เบๆ มากกับสูตรสำเร็จแบบนี้ (ถ้าใครไม่เคยดูหนังพล็อตแนวนี้อาจจะว้าวก็ได้)
ทีนี้พอเส้นเรื่องหลักค่อนข้างธรรมดา ตัวเรื่องก็เลยเหลือแค่ฉากแอ็กชั่นว่าทำได้เจ๋งแค่ไหน ซึ่งก็ทำได้กลางๆ มาตรฐานปกติ ไม่ถึงกับว้าวหรือมีฉากที่น่าจดจำเป็นตำนานอย่างพวก มาทริกซ์ จอน์นวิค หรือนักฆ่าโฮมโปรอย่าง Equalizer เลยสักฉาก แม้แต่หนัง Netflix ด้วยกันเองอย่าง 6 Underground หรือ Extraction ก็ยังมีอะไรน่าตื่นตากว่า (อย่างลองเทคสุดระห่ำของคริส) แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มันส์หรอกนะ ตัวฉากแอ็กชั่นของเรื่องก็สนุกมันส์ใช้ได้ แต่ที่คาดหวังคือน่าจะมีฉากเด็ดๆ มากกว่านี้ เพราะนี่เป็นถึงมนุษย์อมตะตายฟื้นๆ เป็นว่าเล่น แต่กลับนำสกิลตรงนี้มาใช้แค่พื้นๆ เท่านั้น อาจจะเพราะว่าพอเป็นอมตะด้วยก็เลยทำให้คู่ต่อสู้กลายเป็นกระจอกไปเลย เพราะเราคนดูรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ชนะฆ่าไม่ตาย อารมณ์เหมือนมาเจอซูเปอร์แมนในโลกจริง ยังไงมันก็แพ้ตั้งแต่ในมุ้งแน่นอนอยู่แล้ว ซึ่งตัวคนเขียนบทก็คงรู้จุดอ่อนนี้ดี ก็เลยพยายามลดทอนความสามารถของบางคนลงแบบโดนเนิร์ฟฉับพลันไม่งั้นหมดลุ้นกันพอดี แต่ถึงจะโดนเนิร์ฟแล้วก็ตาม เรื่องก็ยังไม่ได้ลุ้นอะไรมาก เพราะมากันเป็นทีมทุกงาน ต่อให้คนนึงมีปัญหา คนที่เหลือก็อมตะช่วยได้อยู่ดี
ที่ฉากแอ็กชั่นเรื่องนี้ไม่ได้เข้มข้นอะไรมากอีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะผู้กำกับ Gina Prince-Bythewood ที่ดูเครดิตการทำงานแล้วมีแต่หนังแนวดราม่าแทบทั้งนั้น พอต้องมากำกับหนังแอ็กชั่นเต็มสูบ ก็เลยเหมือนไม่ใช่งานถนัดของเธอนัก และในส่วนดราม่าของเรื่องเองที่พยายามปั้นตัวละครน้องใหม่มาเข้าทีมด้วยอารมณ์สับสนยังอยากกลับไปหาพ่อแม่ที่บ้าน เรื่องก็ไม่ได้รู้สึกหน่วงอะไรนัก เรียกว่าแทบจะไม่มีอารมณ์ร่วมให้คนดูรู้สึกไปตามนั้นเลย ส่วนตัวนางเอกก็มีย้อนอดีตไปไกลหน่อยสมัยยังรบพุ่งขี่ม้าใส่เกราะฟันกัน ซึ่งก็เหมือนจะพยายามบิ้วให้ซึ้งว่ามีสมาชิกรุ่นก่อนที่ตายเพราะพลังอมตะหายไปโดยไม่รู้สาเหตุ แล้วก็มีสมาชิกอีกคนที่โดนถ่วงลงก้นทะเลแต่เธอตามหาไม่เจอ ซึ่งเรื่องก็ใส่มาแบบหยอดไว้กะทำภาคต่อกันตรงๆ แต่ระหว่างที่ดูแล้วเจอฉากนี้คนดูก็คงเผลอคิดไปว่าอาจจะเป็นบอสหรือตัวร้ายจริงในภาคนี้ก็ได้ แต่พอไม่ใช่ก็เหมือนโดนหลอกเฟลนิดๆ (จุดนี้ใส่ไว้เพื่อทำภาคต่อในเอนด์เครดิตโดยตรง)
ก็ถือว่าเป็นหนังทุนสูงของ Netflix ที่มีงานโปรดักส์ชั่น CG ได้มาตรฐาน แต่ว่าตัวเรื่องไม่ได้แปลกใหม่ ฉากแอ็กชั่นแค่ได้มาตรฐานทั่วไปยังไม่ถึงขั้นมีซีนน่าจดจำอะไรนัก และก็จบแบบเตรียมทำภาคต่อชัดเจน เข้าใจว่าเป็นเหมือนแนวทางใหม่ของเน็ตฟลิกซ์ที่ต้องการทำหนังจากดาราดังทุนสูงในลักษณะยาวเป็นซีรีส์ได้ ซึ่งเท่าที่ดูก็น่าจะประสบความสำเร็จดีเพราะอันดับยอดคนดูสูงแซงซีรีส์ดังๆ เกือบเท่าตัวทั้งนั้น เรื่องนี้ก็มาแนวเดียวกันย่อยง่าย ดูเอาเพลินๆ แปบๆ จบ ยอดก็น่าจะดีถล่มทลายเช่นกันครับ