playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Outsider (HBO) ฆาตกรอำพรางร่างแฝด Doppelganger (อัพเดทครบจบเรื่อง)

สรุป

นี่เป็นนิยายเรื่องล่าสุดที่ได้รับคำชมล้นหลาม และกลายมาเป็นหนังสตีเฟน คิง ในช่วงหลังที่ IT จุดกระแสและสร้างมาตรฐานที่ดีไว้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำได้มาตรฐานถึงขั้นเช่นกัน แต่อาจจะไม่เห็นเรื่องเหนือธรรมชาติตรงๆ นัก เพราะหนังเน้นไปที่การสืบสวนหาหลักฐานหักล้างการมีอยู่สองตัวตนต่างสถาณที่ของผู้ต้องสงสัยในคดีเป็นหลัก แต่ก็มีความลึกลับแบบหาคำอธิบายไม่ได้แฝงอยู่กำลังดี ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ของคิงที่พยายามให้เรื่องนี้ดูสมจริงให้มากที่สุดในทุกปมปริศนา ที่บางครั้งไม่ต้องตอบตรงๆ ก็เข้าใจ แต่ว่าอาจจะไม่ถูกใจคอหนังของคิงที่ต้องการอะไรหวือหวาเหนือธรรมชาติชัดๆ แบบที่ผ่านมา

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
4.75 (4 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • ระทึกขวัญเร้าใจตลอดเวลา
  • ดีกรีความโหดรุนแรงสูง ฉากแหวะเยอะ
  • ดนตรีประกอบเน้นเบสหนักหน่วงสะเทือนเข้ากับอารมณ์ของเรื่องมาก
  • ตัวละครสาวผิวสีที่มีความสามารถพิเศษกึ่งเหนือธรรมชาติแบบแปลกใหม่กว่าพลังพิเศษปกติที่เคยมีมา

Cons

  • หนังเน้นหนักการสืบสวนตามหลักการจริง อาจจะไม่ถูกใจคนดูหนังผีปีศาจหรือเรื่องแฟนตาซีเหนือธรรมชาติแบบหนังสตีเฟน คิง ช่วงหลัง
  • ช่วง EP 6-7 เรื่องไม่ค่อยไปไหนไกลเท่าไหร่อืดๆ

The Outsider ซีรีส์ HBO งานสร้างจากนิยายยอดเยี่ยมเรื่องล่าสุดของสตีเฟน คิง เรื่องราวคดีฆาตกรรมเด็กที่เป็นปริศนา หลังพบว่าผู้ต้องสงสัยมีสองตัวตนในเวลาเดียวกันต่างสถาณที่ และไม่พบว่ามีแรงจูงใจหรือมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน แต่กลับก่อคดีโหดสะเทือนขวัญคนทั้งเมือง

 The Outsider (2020) on IMDb
คะแนนเฉลี่ย IMDB

ตัวอย่าง The Outsider (HBO)

***บทความมีสปอยล์บางส่วน แต่ไม่มีจุดหักเหสำคัญของเรื่อง***

ซีรีส์แนวสืบสวนแบบเข้มข้น ที่เปิดตัวมาก็ดาร์คสุดๆ กับฉากฆาตกรรมเด็ก พาลให้นึกไปถึงฉากเปิดเรื่องของ IT ที่เด็กโดนจับลงท่อ แต่เรื่องนี้เด็กถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แถมยังโคลสอัพภาพการตายโหดอย่างจะๆ หลายมุมที่ชวนสยองเอามากๆ

ซึ่งที่ผ่านมานิยายที่ทำเป็นหนังของคิงมักจะเป็นแนวเหนือธรรมชาติชัดเจนมากหน่อย แต่เรื่องนี้มาในแนวการสืบสวนหาหลักฐานพยานวัตถุแบบเข้มข้น มากกว่าจะเน้นไปเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่ยังคลุมเคลือว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เรื่องราวเกี่ยวพันกับการจับกุม Terry Maitland โค้ชเบสบอลหนุ่มคนดังประจำเมืองที่ใครๆ ก็รู้จัก ซึ่งเขาถูก Ralph Anderson นักสืบผู้รับผิดชอบคดีนี้จับกุมตัวกลางงานแข่งขันเบสบอลเยาวชน ซึ่งเด็กที่ตายก็เป็น 1 ในลูกศิษย์ของเขาเอง นั่นทำให้เรื่องราวการจับกุมดังสนั่นจนเป็นข่าวใหญ่ ซึ่งดูแล้วหลักฐานที่ตำรวจมีมัดตัวเขาได้อย่างแน่นหนา ไม่ว่าจะเป็นพยานที่พบเห็นตัวเขาพร้อมเลือดเปื้อนใบหน้าและเสื้อผ้า หลักฐานจากกล้องวงจรปิด รวมถึงหลักฐานทางนิติเวชที่มีทั้ง DNA ลายนิ้วมือของเขาบนตัวเหยื่อเต็มไปหมด จนไม่น่าจะผิดตัว แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อทนายฝ่าย Terry สามารถหาหลักฐานยืนยันตัวเขาได้ว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ แถมยังอยู่ห่างไกลที่เมืองอื่น ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีตัว Terry สองคนในเวลาเดียวกัน ซึ่งกลายเป็นหลักฐานที่อีกฝ่ายเปิดมาทำเอาทีมตำรวจและอัยการต้องมาทบทวนรื้อฟื้นเรื่องราวกันใหม่ทั้งหมด และนั่นนำไปสู่ปมปริศนาที่หาคำตอบไม่ได้จนดูเหมือนเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ที่ค้านกับตัว Ralph ที่ไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้

ด้วยปมสองตัวตนที่เหมือนเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ไม่ได้ชี้ชัดว่าคืออะไร และเป็นไปได้อย่างไร เรื่องราวใน The Outsider จึงเดินเรื่องด้วยการสอบสวนเต็มขั้นมากที่สุดเท่าที่หนังสตีเฟน คิง เคยมีมา โดยตั้งธงไปที่การมีสองตัวตนของผู้ต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกร ที่หลักฐานทั้งสองด้านต่างแน่นหนาด้วยกันทั้งคู่ หนังจึงใช้เรื่องการตามล่าหาหลักฐานทุกแบบมาหักล้างและอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ให้ได้ ในแนวทางนิติเวชยืนยันด้วยวิทยาศาสตร์เป็นหลัก รวมถึงการสืบสวนในเชิงจิตวิทยากับพยานบุคคล และตัวผู้ต้องหาในเรื่อง ซึ่งทำให้คนดูได้สงสัยและคิดตามได้ตลอดเรื่อง

และด้วยความที่เรื่องนี้เน้นหนักไปทางการสอบสวนจริงจัง ตัวละคร Ralph ตัวเอกของเรื่องนี้จึงไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติเลยสักนิด และพร้อมปฏิเสธการมีอยู่ของเรื่องเหล่านี้ด้วยอย่างหนักแน่น ซึ่งก็เป็นหัวใจของเรื่องนี้ที่พยายามทำให้ทุกอย่างที่ดูเหนือธรรมชาติให้กลับมามีคำตอบได้ อาจจะไม่เป็นแนววิทยาศาสตร์ซะทีเดียว แต่ก็เหมือนเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ในโลกจริงๆ มากกว่าแนวทางนิยายปกติของคิงที่ชี้ชัดเสมอแต่แรกแล้วว่ามีผีหรือปีศาจแบบไหนในเรื่อง แต่เรื่องนี้จะอึมครึมไปด้วยความคลุมเคลือแบบนี้จนจบเรื่อง อาจจะไม่ได้มีฉากหวือหวาหลอกหลอนอะไรนัก แต่ก็สร้างบรรยากาศกดดันนิ่งๆ รอการระเบิดได้ตลอดเวลา

แต่ไม่ใช่ว่าเรื่องจะเดินไปในแนวสืบสวนเชิงนิติเวชทั้งหมด หนังยังมี Hint ใบ้เล็กๆ ตลอดทางว่ามีบุคคลลึกลับอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คอยเฝ้ามองดู ซึ่งก็เป็นชื่อฉายาตามชื่อเรื่อง The Outsider ที่แปลว่า “คนนอก” โดยมาในลักษณะใส่ฮู๊ดมองไม่เห็นหน้าหรือเห็นไม่ชัดตลอดเรื่อง ซึ่งหนังให้เวลาการสืบสวนเต็มที่ถึง 3 ตอน ก่อนจะเปิดตัวละครหลักอีกตัว “Holly Gibney” เป็นสาวผิวดำมาในแบบอัจฉริยะด้านการคาดการณ์และจดจำ ซึ่งมาแนวคนเป็นโรคทางสมองหรือบุคลิกภาพบกพร่องจนเข้าสังคมลำบาก แต่กลับได้ความสามารถเหนือกว่าคนปกติมาทดแทน ซึ่งตัวละครนี้ก็ทำให้เรื่องสนุกตื่นเต้นขึ้นมาก เนื่องจากบุคลิกที่แปลกแตกต่างของตัวละครที่ดูเข้าใจยาก แต่เธอกลับเป็นมืออาชีพด้านการย้อนรอยตัวคนและเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งหนังพาไปให้เห็นการทำงานของเธอที่กึ่งๆ นักสืบ กึ่งๆ หมอดู โดยไม่ได้เป็นแนวพลังจิตหรือการหยั่งรู้เว่อร์ๆ แบบในหนังเรื่องอื่นของคิง แต่ก็มีความเหนือธรรมชาติผสมกลมกลืนไปกับเรื่อง และไม่ได้ไปขัดแย้งกับการสอบสวนของ Ralph ที่เป็นตัวเอกของเรื่องนี้ที่ตามสืบคดีนี้คู่ไปกับเธอด้วยเช่นกัน

หนังเดินเรื่องด้วยความระทึกไปกับการสืบสวนตลอดเวลา ด้วยเรื่องราวหนักหน่วงมีคนตายตามมาเรื่อยๆ แล้วยังใช้เสียงดนตรีประกอบที่เน้นเบสหนักหึ่งๆ วูมๆ กดดันให้บรรยากาศของเรื่องหนักขึ้นไปอีก ถ้าใครมีลำโพงซับวูฟเฟอร์ดีๆ นี่จะรู้สึกได้เลยว่าเล่นเบสหนักกันจนพื้นสั่นเลยทีเดียว ซึ่งจุดนี้นับว่าเป็นส่วนที่ช่วยทำให้หนังออกมาสมบูรณ์ยิ่งขึ้นจากตัวนิยาย ที่ได้รับคำชมล้นหลามว่าเป็นผลงานที่ “ใกล้เคียงเปอร์เฟ็กต์” มากที่สุดของคิง ซึ่งก็เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ เพราะหนังเดินเรื่องได้น่าติดตาม+ระทึก+สยองขวัญ+เหนือธรรมชาติในแบบกำลังดี และก็ไม่ทิ้งการสืบสวนจริงไปพร้อมกัน แต่อาจจะไม่ถูกใจคอหนังสตีเฟนคิงแนวสยองขวัญปีศาจแบบที่ออกมาตรงๆ อะไรแบบนั้น เพราะในเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรให้เห็น นอกจากชายใส่เสื้อฮู้ดลึกลับปรากฏตัวอยู่ตามที่ต่างๆ เท่านั้น แต่ก็มีการเชื่อมโยงว่าเป็น Doppelganger หรือชื่ออื่นๆ ที่ในหลายๆ ประเทศมีเรื่องเล่าทำนองเดียวกัน ให้เราได้ชวนคิดว่าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ และมีที่มาที่ไปจากไหน ซึ่งหนังไม่ได้วนอยู่แค่เมืองที่เกิดเหตุ แต่เป็นการไล่ตามย้อนรอยไปยังเมืองอื่นๆ ในอเมริกา ที่ตอนหลังเผยให้เห็นว่ามีคดีเงียบๆ ที่มีส่วนเชื่อมโยงถึงกันและน่าพิศวงไม่แพ้คดีแรกที่เปิดเรื่องขึ้นมา

จุดที่อาจจะทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ดูแย่ก็คือ การเดินเรื่องแบบยึดมั่นกับการสืบสวนจริงจังตามหลักการ โดยพยายามไม่ให้เรื่องเหนือธรรมชาติมีแบบเด่นชัดมาก ทำให้ช่วงกลางเรื่องไปอาจจะผิดจากความคาดหวังของคนดูที่ลุ้นมาตั้งแต่ตอนว่ามันคือตัวอะไร และต้องการคำอธิบายให้ชัดเจนก็ไม่มี เราแทบจะไม่ได้เห็นรูปร่างหน้าตาเจ้า The Outsider ตัวร้ายในเรื่องเลยไปจนจบ แต่หนังก็ยังคงความสยองขวัญตรึงเครียดได้อยู่ผ่านตัวแทนความรุนแรงที่เกิดขึ้นแทนตัวร้ายในเรื่อง ซึ่งตรงนี้ถ้าเข้าใจแนวทางของเรื่องจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าคาดหวังว่าเรื่องจะเห็นปีศาจหรืออะไรจะๆ บอกเลยว่าผิดหวังแน่นอนครับ แต่จุดนี้ก็ทำให้หนังดูเรียลระทึกขวัญตามแนวทางที่ต้องการของคิงได้จริงๆ ครับ

ซีรีส์มีทั้งหมด 10 ตอนจบ ซึ่งแนะนำเลยว่าควรค่าแก่การรับชม นี่เป็นหนังสตีเฟน คิง ในช่วงหลังที่ IT จุดกระแสและทำได้ดีมาก จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหนังที่ทำจากสตีเฟน คิง ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำได้เยี่ยมเช่นกัน อีกทั้งนิยายที่ได้รับคำชมการันตีล้นหลาม แต่ในส่วนนิยายเรื่องนี้ยังไม่มีแปลไทยออกมา ก็ยังไม่สามารถเทียบได้ว่าแตกต่างกันแค่ไหน แต่จากรีวิวของแฟนนิยายเห็นว่าทำออกมาได้ดีมากจนคะแนนโหวตจากคนอ่านนิยายสูงมากแบบที่หาได้ยากจริงๆ จากหนังที่ทำจากนิยายครับ สนใจติดตามดูผ่าน HBO คลิกที่นี่ครับ


The Outsider คนนอกคือใคร? (สปอยล์)

ชื่อเรื่องที่เป็นปริศนาที่มาพร้อมกับชายลึกลับในชุดฮู้ดตลอดเรื่อง สุดท้ายแล้วเรื่องราวก็เฉลยออกมาแบบอ้อมๆ ว่าคือ “สิ่งมีชีวิตนอกเหนือกฏเกณฑ์ธรรมชาติ” ที่ไม่ต้องรู้ที่มาที่ไปว่ามาจากไหน แต่รู้แค่ว่ามันมีอยู่จริง และอยู่ในหลายรูปแบบที่ไม่ได้จำเป็นว่าต้องเป็นตัว El Coco ที่ในเรื่องนี้ก็บอกว่าเป็นแค่ชื่อเรียกแบบหนึ่งของมัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นการเดินเรื่องในแนวที่พยายามทำให้ทุกอย่างเป็นเหมือนการสืบคดีเหนือธรรมชาติจริงๆ ทั้งเรื่อง แม้แต่ตอนจบก็ยังจบแบบพยายามให้เรื่องราวกลับสู่ความจริงมากที่สุด แม้จะทำให้เห็นชัดแล้วว่ามีเจ้าสิ่งนี้อยู่จริง
และไม่ใช่แค่ El Coco ที่เป็นคนนอกเท่านั้น ตัวละคร Holly Gibney เองก็คือถูกเทียบว่าเป็นลักษณะแบบนี้เช่นกัน เพราะเธอมีความสามารถที่เหนือกว่าคนปกติและใช้วิทยาศาสตร์มาอธิบายไม่ได้ ทำให้เธอรับรู้และเชื่อว่า El Coco หรือ Doppelganger มีจริง และพยายามตามล่ามันและหาทางให้คนอื่นเชื่อเธอให้ได้ (คนนอกย่อมมองเห็นคนนอกด้วยกัน นี่คือคำอธิบายในตอนจบ)

 

อ่านรีวิวหนังเรื่องอื่นของ HBO คลิกที่นี่

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!