รีวิว The Pale Blue Eye งาน Netflix ขาย คริสเตียน เบล ที่มีดีมากในตอนจบ (ไม่สปอยล์)
The Pale Blue Eye
Summary
หนังสืบสวนย้อนยุคที่ขายบทบาทการแสดงของคริสเตียนเบลครั้งแรกของเน็ตฟลิกซ์ได้ดีในระดับน่าพอใจ แม้ว่าระหว่างทางของเรื่องจะยืดย้วยจนน่าเบื่ออยู่ แต่ตอนจบสุดท้ายคือสิ่งที่ช่วยกู้คะแนนให้หนังเรื่องนี้มีดีต่อการแนะนำให้ดูจนจบครับ
Overall
7/10User Review
( vote)Pros
- สืบสวนย้อนยุคในโลเกชั่นโรงเรียนนายร้อยเวสต์พ้อยท์
- คริสเตียน เบล เล่นครั้งแรกในหนังของเน็ตฟลิกซ์
- งานโปรดักชั่นย้อนยุคดีมาก
- มีพากย์ไทย
Cons
- การดำเนินเรื่องค่อนข้างยืดไม่ไปไหนมาก
- บทพูดแนวกวีเพ้อๆ ในเรื่องเยอะ
The Pale Blue Eye เดอะ เพล บลู อาย หนังสืบสวนย้อนยุค Netflix ของพระเอก คริสเตียน เบล เล่าเรื่องราวย้อนยุคช่วงปี คศ. 1800 เมื่อนักสืบที่เกษียณตัวเองไปแล้วได้รับคำขอร้องให้กลับมาสืบสวนคดีฆาตกรรมในโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ของอเมริกา เขาต้องพบกับคดีฆาตกรรมเด็กหนุ่มเตรียมทหารที่ถูกควักหัวใจหายไป โดยมีหนุ่มนักเรียนนายร้อยเป็นผู้ช่วยในการสืบสวนหาความจริงที่เกิดขึ้น
รีวิว The Pale Blue Eye (ไม่สปอยล์)
หนังสืบสวนที่ผู้กำกับ Scott Cooper หยิบมาทำจากนิยายเก่าปี 2546 ของ Louis Bayard ที่มีผลงานแนวสืบสวนย้อนยุคในประวัติศาสตร์หลายเรื่องจนเป็นซิกเนเจอร์ของเขา แต่ไม่ได้เป็นที่รู้จักในบ้านเรานักเพราะไม่เห็นมีแปลไทย และผู้กำกับก็ไม่ได้มีชื่อเสียงมาก แต่การที่ได้ดาราเบอร์ใหญ่มากฝีมือระดับคริสเตียน เบล มาเล่นก็ช่วยทำให้หนังเรื่องนี้ต้องมีอะไรดีแน่นอนเขาถึงตกลงมารับบทนำครั้งแรกในหนัง Original Netflix แบบนี้ครับ (ที่เราก็รู้ๆ กันว่าบทส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่) ซึ่งเมื่อหลังดูจบก็เข้าใจเลยว่าทำไม เพราะนี่คือหนังที่อาจจะไม่ได้ถึงกับดำเนินเรื่องได้ดีมาก แต่บทของตัวเอกนักสืบแลนดอร์ในตอนท้ายนี่คือบทบาทที่น่าประทับใจมากเรื่องหนึ่งในผลงานของเขาได้เลย
ตัวเรื่องดำเนินไปในโรงเรียนนายร้อยสมัยเก่าที่เหมือนกองร้อยเล็กๆ มีอาจารย์ที่เข้มงวดฝึกตีกรอบกดดันเด็กหนุ่มให้เป็นไปตามอย่างที่โรงเรียนต้องการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเอกนักสืบแลนดอร์มองว่านี่คือต้นเหตุของอาชญากรรมที่เกิดขึ้น แต่เขาเองก็ยังรับงานนี้มาแม้จะไม่ได้เต็มใจช่วยเหลือที่นี่นัก ซึ่งนี่เป็นปมเล็กๆ ที่เรื่องโปรยไว้ตลอดทางผ่านบทสนทนาตอบโต้ของเขากับนายทหารที่พยายามกดดันให้เขาเร่งค้นหาความจริง เพื่อไม่ให้โรงเรียนแห่งนี้เสียหายจนอาจจะถูกปิดไปในที่สุด ก่อนที่ปมเล็กๆ จางๆ เหมือนไม่ได้สำคัญนี่แหละคือจุดที่สำคัญที่สุดของเรื่องแบบไม่คาดคิด เมื่อตัวเรื่องนำมันมาขยายในตอนท้ายจนกลายเป็นฉากจบที่น่าจะทำให้ผู้ชมอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน (เชื่อว่าคริสเตียน เบล ก็น่าจะชอบตอนจบนี่แหละถึงมารับงานนี้)
แต่ถึงเรื่องจะมีดีที่ตอนจบมากจริงๆ แต่ระหว่างทางในเรื่องกลับค่อนข้างยืดย้วยพาผู้ชมไปนอกเรื่องราวแบบดูไปก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมีเรื่องราวพวกนี้ อย่างความสัมพันธ์ของพระเอกกับนักเรียนนายร้อยที่พามาช่วยสืบคดี แล้วเขามีบุคลิกแบบคนไม่เต็มเต็งจนดูน่ารำคาญกับบทสนทนาแปลกๆ ตลอดเรื่อง แม้ช่วงแรกของเรื่องค่อนข้างน่าติดตามอยู่จากคดีที่ดูโหดผิดปกติกับการควักหัวใจหายไป แต่กลางเรื่องไปตัวเรื่องแทบไม่ไปถึงไหนเพราะวนอยู่กับการสืบคดีผ่านบทพูดเพ้อพกเรื่องกวีกับชีวิตของตัวละครนี้ค่อนข้างเยอะ จนกระทั่งตอนจบถึงจะทำให้เราเข้าใจได้ว่าตัวละครนี้สำคัญมากๆ ยังไงกับเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็น่าจะเล่าให้กระชับได้ดีกว่านี้ (หนังยาว 2 ชั่วโมงกว่า)
สิ่งที่หนังต้องการสื่อคือ ปัญหาของกฎระเบียบ ความเชื่อศาสนา ที่พยายามตีกรอบการปฏิบัติตัวของผู้คน จนทำให้กลายเป็นปัญหาสะสมที่กดทับไว้ สุดท้ายก็กลายระเบิดออกมาแล้วก็กลายมาเป็นโศกนาฎกรรมในเรื่อง ตัวเอกนักสืบแลนดอร์คือตัวละครที่ไม่นับถือศาสนา ไม่สนใจพระเจ้า มองการตีกรอบในโรงเรียนนายร้อยเป็นต้นตอของปัญหาทุกอย่าง ซึ่งตัวหนังทำให้เราได้เห็นสิ่งนี้ได้ชัดจนน่าสลดใจมาก
ถือเป็นหนังที่มีจุดดีมากในตอนจบ แต่อาจจะต้องทนความน่าเบื่อช่วงสืบสวนยืดๆ ระหว่างเรื่องไปให้ได้เท่านั้นครับ