รีวิว The Peripheral แนวไซไฟฮาร์ดคอร์จากผู้สร้างเวสเวิลด์ที่ดูง่ายขึ้นนิดนึง (ไม่มีสปอยล์)
The Peripheral
Summary
ซีรีส์สำหรับฮาร์ดคอร์ไซไฟจากผู้สร้างเวสเวิลด์ ซึ่งก็ยังคงรูปแบบหลายๆ อย่างที่ค่อนข้างดูยากและชวนงงไว้เหมือนเดิม แต่ก็น้อยกว่า ดูง่ายกว่า แม้อาจจะไม่เข้าใจเรื่องได้ทั้งหมดก็ยังพอสนุกกับเรื่องราวจินตนาการสุดล้ำในเรื่องนี้ที่แปลกใหม่ (แต่มีบางจุดเหมือนเวสเวิลด์พอสมควร) แต่ตัวเรื่องไม่ได้เน้นฉากแอ็กชั่นมาก เน้นดราม่าเล่าเรื่องราวตัวละครเป็นจิ๊กซอว์มาต่อกันภายหลัง ทำให้เรื่องจะเดินไปช้าๆ สโลวเบิร์นอยู่พอสมควร แต่เรื่องราวส่วนใหญ่ก็จบในซีซั่นเลย แล้วทิ้งบางอย่างเปิดเรื่องไว้ต่อในซีซั่นต่อไป
Overall
7/10User Review
( votes)Pros
- โลกไซไฟแนวท่องเวลา+โลกจำลอง
- เรื่องราวซับซ้อนชวนให้คิดได้ตลอดเวลา
- งานโปรดักชั่นสวยดูดี
- ได้น้องโคลอี้มาแสดงนำ
- ตัวละครสมทบในเรื่องมีบทบาทสำคัญหมด
- มีพากย์ไทย
Cons
- เล่าเรื่องช้าๆ สโลวเบิร์นค่อนข้างมาก
- ไม่ได้เน้นฉากแอ็กชั่นมาก
- ศัพท์หลายอย่างในเรื่องไม่มีการอธิบายให้กระจ่าง
- บทพูดปริศนาเยอะจนดูไม่เป็นธรรมชาติ
The Peripheral ท่องมิติพลิกโลก ซีรีส์ไซไฟสุดล้ำของ Amazon Prime ได้โคลอี้ เกรซ มอเรตซ์แสดงนำ รับบท ฟลินน์ ฟิชเชอร์ เป็นหญิงสาวผู้พยายามประคับประคองครอบครัวที่ยากจนในเมืองเล็กๆ ของอเมริกา ก่อนที่เธอจะได้พบกับเครื่องมือสุดล้ำที่พาเธอท่องมิติไปยังอนาคตผ่านร่างจำลองเสมือนจริง ที่เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตและครอบครัวของเธอ รวมถึงชะตาของโลกนี้ด้วย
รีวิว The Peripheral (ไม่สปอยล์)
ซีรีส์แนวไซไฟทุนสูงจากผู้สร้าง Westworld ของ HBO มาก่อน (Lisa Joy กับ Jonathan Nolan) ทำให้หลายๆ อย่างของเรื่องนี้มีความเหมือน Westworld เป็นอย่างมาก ซึ่งผู้ชมที่ติดตามมาก่อนก็คงรู้ว่า Westworld เองก็มีปัญหาหลายอย่าง เรตติ้งแย่ลง เนื้อหาวนเวียน จนทำให้ล่าสุดก็ไม่อาจจะจบได้ตามที่วางไว้ ซึ่งในกรณีของเรื่องนี้อาจจะต่างไปเหมือนเป็นงานแก้มือจากเรื่องเก่า ด้วยการเล่นเรื่องโลกซ้อนโลกคล้ายกัน แต่มีความซับซ้อนน้อยกว่า เข้าใจง่ายกว่า แล้วก็มีนิยายอิงเป็นพื้นฐานเรื่องต่างจาก Westworld ที่เขียนบทใหม่หมด จนยิ่งทำยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ (ผู้เขียนนิยายคือ William Gibson ชื่อดังด้านนี้)
เรื่องนี้ยังคงเป็นแนวไซไฟโลกอนาคตแบบเดิม แต่แบ่งเรื่องราวเป็น 2 ช่วงเวลา ในอนาคตไม่ไกลมากปี 2028-2032 กับอนาคตไกลออกไป 70 ปีของลอนดอน โดยตัวละครหลักคือ ครอบครัวฟิชเชอร์ ที่มีฟลินน์กับเบอตัน สองพี่น้องที่ได้เกมจำลองเหมือนจริง (ที่เรียกว่าซิม) อันใหม่มาทดสอบ ก่อนจะกลายเป็นว่าโลกในนั้นคือช่วงเวลาในอนาคตของลอนดอน ที่พาให้ทั้งคู่ต้องเข้ามาพัวพันกับการตามหาหญิงสาวลึกลับที่ขโมยบางสิ่งไปจากกลุ่มอำนาจใหญ่ในโลกอนาคต ซึ่งสิ่งนี้สามารถตัดสินชะตาของโลกได้
ตัวเรื่องแบ่งให้ฟลินน์ได้ไปอนาคตผ่านร่างจำลองเหมือนตัวเธอเอง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้กันแพร่หลายของโลกนั้น ก่อนจะกลับมายังโลกปกติ เหมือนเป็นการท่องเวลาไปกลับ โดยทั้งสองโลกยังมีเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงแก้ไขอดีตกับการล่วงรู้อนาคตเข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนพวกแนวท่องเวลาทั่วไป แต่เรื่องนี้พยายามทำให้จุดนี้ลึกลงไปอีก โดยมีกฎของการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอดีตกับอนาคตบางอย่างแตกต่างไปจากเรื่องอื่นพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นทฤษฎีใหม่อะไรมาก เรียกว่าเป็นการบิดเอาเรื่องไทม์ทราเวลมาผสมกับโลกซ้อนโลกตามสไตล์ Westworld มากกว่า โดยมีพวกคำศัพท์เฉพาะของเรื่องมาอธิบายหลักการต่างๆ รวมถึงเทคโนโลยีสิงร่างที่เป็นจุดขายในเรื่องด้วย
และแน่นอนว่าพอเป็นทีมเวสเวิลด์ทำก็เหมือนไม่พ้นว่าต้องหาทางเล่นท่ายากหน่อย ตัวเรื่องจริงมีการเล่าเรื่องแบบไม่ไปตามลำดับเวลาตรงๆ โดยมักจะมีตัดฉากเล่าอะไรบางอย่าง หรือไม่เล่าอะไรเลยอยู่ๆ ก็มีฉากโผล่มาให้เรางง ก่อนที่จะมาอธิบายทีหลังในตอนต่อมา ซึ่งใครที่ไม่คุ้นชินกับการลำดับเรื่องแบบนี้ก็อาจจะงงๆ ได้ แต่เรื่องนี้ก็ยังถือว่าดูง่ายกว่าเวสเวิลด์ที่ตั้งใจหลอกผู้ชมให้งงเลยว่าที่เราดูคือช่วงเวลาไหนกันแน่
ถึงตัวเรื่องจะเป็นแนวไซไฟเต็มๆ แต่ก็ยังมีการแบ่งมาเล่าเรื่องราวดราม่าของตัวละคร อย่างฟลินน์ที่ได้น้องโคลอี้มาเล่นเป็นจุดขายของเรื่อง เธอต้องรับบทเด็กสาวที่มีปมปัญหาต้องดูแลครอบครัวในขณะที่พี่ชายไม่เอาไหน แม่ป่วยหนัก ตัวเองก็แอบรักคนในเมืองมานาน แต่ตอนที่เธอท่องมิติไปยังโลกอนาคตก็กลายเป็นว่าเธอคือคนใหม่ มีเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นในโลกอนาคตกับวิล์ฟ ที่เป็นเหมือนผู้ช่วยเธอในโลกนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีตัวละครที่ชวนให้เรื่องราวเป็นดราม่ารันทดอย่างเพื่อนทหารผ่านศึกของพี่ชายที่ขาขาด และยังมีชีวิตของตัวละครอื่นๆ อีกหลายตัวที่เป็นคนอยู่อาศัยในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้จะถูกเล่าแบบผ่านๆ เหมือนไม่ได้สำคัญในตอนแรก ก่อนที่ตอนหลังตัวเรื่องจะแสดงให้เห็นว่าแทบทุกตัวละครในเรื่องคือจิ๊กซอว์ที่มาเกี่ยวพันกับเรื่องราวเหตุการณ์ความลับในอนาคตที่นางเอกกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งถือว่าตัวเรื่องทำได้ดีเลยที่แจกแจงบทเล็กๆ น้อยๆ ให้ตัวละครเหล่านี้มีบทน่าสนใจ ไม่ใช่แค่การดูเรื่องราวของนางเอกในอนาคตเท่านั้น
โปรดักชั่นงานสร้างของเรื่องนี้ถือว่าทำมาได้ดีเลย การจำลองอนาคตก็มีความแตกต่างไปจากเรื่องอื่นๆ ไม่ใช่แค่สิ่งล้ำๆ ในเรื่อง แต่เป็นรูปแบบโลกในอนาคตที่มีความแปลกแตกต่างจากเรื่องอื่นมาก แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นแนวไซไฟล้ำอะไรมาก เพราะตัวเรื่องมีขอบเขตเงื่อนไขที่จำกัดไว้บางอย่างอยู่ที่เกี่ยวพันกับความลับของเรื่อง แล้วถ้าคนเคยดูเวสเวิลด์มาจะรู้สึกเลยว่านี่มันเหมือนการยกเอาเวสเวิลด์มาทำในอีกแบบเลย เพราะความเหมือนของพาหนะที่ใช้ หุ่นรับใช้ในเรื่องก็คือดีไซน์แบบเดียวกันเลย แต่ก็ถึงกับเป็นการทำซ้ำอะไรมาก
จุดด้อยของเรื่องนี้หลักๆ คือการที่ตัวเรื่องแทบจะไม่อธิบายอะไรให้คนดูเข้าใจชัดเจนมากกว่า โดยหลักๆ คือพวกศัพท์เฉพาะต่างๆ ในเรื่องที่ดูจนจบก็ยังไม่อาจจะเข้าใจความหมายได้หมด ซึ่งปกติเรื่องแบบนี้ใน Prime จะมีหน้าอธิบายแยกออกมาให้อ่าน แต่เรื่องนี้กลับไม่มีพวกนี้ มีแค่การแนะนำตัวละครทั่วไป ซึ่งผู้เขียนเองก็ยอมรับว่าดูจบแล้วก็ยังงงๆ กับบางอย่างในเรื่องอยู่ ไม่ต่างอะไรกับเวสเวิลด์เลย ซึ่งผู้ชมที่ชอบแบบนี้ก็ไม่ใช่กลุ่มแมสด้วย ดังนั้นเรื่องนี้ก็อาจจะมีปัญหาแบบเดียวกับเวสเวิลด์คือได้ใจฮาร์ดคอร์ไซไฟ แต่สอบตกกับผู้ชมทั่วไป โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่เรื่อยๆ ช้าๆ ไม่ได้หวือหวารวดเร็ว แต่และตอนอาจจะผ่านไปโดยไม่มีฉากแอ็กชั่นเลยก็มี ทั้งๆ ที่ตัวเรื่องเปิดโอกาสให้เป็นแนวแอ็กชั่นแท้ๆ มาก เพราะมันเป็นโลกจำลองแบบเกม ตัวผู้ร้ายก็ควบคุมร่างจำลองแบบเดียวกับนางเอก ก็เลยแทบไม่มีใครตายจริงในเรื่อง แต่บทกลับแทบไม่เอาจุดนี้มาใช้มากนัก ตัวเรื่องเลยสโลวๆ เล่าเรื่องโลกไซไฟกับปมดราม่ามากว่าอย่างอื่น จนช่วงท้ายสัก EP 6 ไปถึงรู้สึกว่าเรื่องมีแอ็กชั่นเข้มข้นขึ้นมา แต่ก็ยังดีที่เรื่องจบแบบน่าสนใจเคลียร์หลายอย่างในซีซั่นไป แล้วทิ้งเรื่องราวให้น่าติดตามต่อ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ทำต่อเพราะทางทีมสร้างยอมย้ายจาก HBO มาทำที่นี่โดยตรง
สรุปว่าสำหรับคนที่ชอบแนวไซไฟล้ำๆ เป็นคนสายฮาร์ดคอร์แนวนี้ก็ไม่ควรพลาด แต่ถ้าเป็นผู้ชมทั่วไปก็อาจจะต้องทดลองดูแล้วว่าไหวไหม เพราะตัวเรื่องค่อนข้างดูยากพอสมควร ไม่ใช่ซีรีส์ที่ดูแล้วย่อยง่ายอะไรแบบนั้นเลยครับ