playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวหนัง The Plagues of Breslau (Netflix) ฆาตกรรมบาปต่อเนื่อง (ไม่สปอยล์)

The Plagues of Breslau

สรุป

หนังที่เดินเรื่องตามรอยหนังรุ่นพี่อย่าง Seven ชัดเจน แต่ก็มีส่วนที่เป็นของตัวเองอยู่มากเหมือนกัน แถมบางส่วนก็ดีกว่าเสียด้วยซ้ำ ตัวหนังเดินหน้าไวไม่มีลีลายืดยาดแม้แต่น้อย ทำให้การรับชมยังไงก็ดูสนุกระทึกขวัญไปกับเรื่องได้แน่ๆ แต่สิ่งที่เรื่องนี้แย่คือความไม่สมเหตุผลทั้งหลายในส่วนของการฆาตกรรมที่ดูแล้วไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้ แถมตอนจบที่เหมือนทำมาวัดใจคนดูอีกว่าเชื่อไม่เชื่ออีกกับเหตุผลที่วางไว้ง่ายเกินไป

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
5 (1 vote)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • ฉากโหดเห็นกันจะๆ แถมย้อนวิธีฆ่ากันให้ดูอีก
  • เรื่องเดินหน้าไวติดๆ กันไม่มีพัก
  • ฉากฆาตกรรมซับซ้อนแปลกประหลาด
  • จุดพลิกใหญ่ของเรื่องมีถึง 2 ช่วง
  • โปรดักชั่นแบบหนังโรงไม่ใช่หนังทำลงเน็ตฟลิกซ์ทั่วไป

Cons

  • ความไม่สมเหตุผลหลายอย่างมากมายในเรื่องกับฉากฆาตกรรมที่ดูเนี๊ยบเว่อร์เกินมากๆ
  • ไม่มีช่วงให้ตำรวจสืบสวนไล่ล่าตามทันได้เลย (โชว์ฝั่งฆาตกรเก่งอย่างเดียว)
  • บุคลิกของตัวนางเอกดูไม่ค่อยเข้าตานัก เดี๋ยวหญิง เดี๋ยวทอมห้าว สลับไปมา
  • ฉากจบที่ให้เหตุผลง่ายๆ จนตอกย้ำให้เรื่องดูไม่น่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก (ในมุมของคนดูคิดมาก)

The Plagues of Breslau (ชื่อไทย สังเวยมลทินเลือด) หนังแนวสืบสวนของ Netflix โปแลนด์ เรื่องราวของการไล่ล่าฆาตกรต่อเนื่องที่สังหารเหยื่อที่มีบาปแต่ละอย่างแตกต่างกัน ด้วยวิธีประหารนักโทษสมัยโบราณ และนำมาประจานต่อสาธารณะชนทุก 6 โมงเย็น

 Plagues of Braslau (2018) on IMDb
คะแนนเฉลี่ย IMDB

ตัวอย่าง The Plagues of Breslau สังเวยมลทินเลือด

 

เรื่องนี้เป็นหนังโรงของประเทศโปแลนด์ตั้งแต่ปี 2018 และก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก ตอนนี้ก็ได้ขายสิทธิ์มาลง Netflix เป็นแบบ Original ซึ่งข้อดีก็คือตัวโปรดักชั่นดีกว่าหนังที่สร้างมาลง Netflix โดยตรงซะส่วนมาก สเกลของเรื่องจึงดูจริงจังกว่า สมจริงกว่า ตัวเรื่องมาในแนวสืบสวนระทึกขวัญไล่ล่าฆาตกรต่อเนื่อง ที่ฆ่าเหยื่อที่มีบาปหนักติดตัว ด้วยวิธีประหารในยุคสมัยศตวรรษที่ 18 ทุกหกโมงเย็น ซึ่งฟังดูก็อาจจะคุ้นๆ กับพล็อตฆาตกรต่อเนื่องไล่คนตามบาปทั้ง 7 ของมนุษย์ตามคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งก็มีที่มาจากต้นแบบเรื่องเดียวกันคือ Seven ผลงานขึ้นหิ้งของเดวิด ฟินเชอร์ กับฉากจบที่เป็นตำนานฉากหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ก็ได้แรงบันดาลใจมาเต็มๆ แทบจะทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เปลี่ยนจากตำรวจนักสืบชายที่ แบรด พิตต์ เล่น มาเป็นผู้หญิง (Helena Rus) แนวๆ ทอมห้าวๆ แล้วคดีก็เกิดขึ้นมาแบบต่อเนื่องเหยื่อทุกคนมีบาปหนักกับโดนประทับตราไว้เพื่อประกาศโทษที่ต้องโดนสังหาร แต่แค่ไม่ได้ตรงตามไบเบิลแบบ Seven เท่านั้น

ตัวเรื่องเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว ระทึกขวัญต่อเนื่องแทบไม่มีหยุดพัก แม้เรื่องจะบอกว่าฆาตกรฆ่าคนทุกหกโมงเย็นติดต่อกัน แต่ในหนังกลับไม่ได้มีฉากให้เห็นว่าเวลาผ่านไปจนข้ามวันสักเท่าไหร่ ดูแล้วยังเผลอคิดว่าเป็นการฆ่าต่อเนื่องติดๆ กันในวันเดียวเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็เป็นจุดด้อยของเรื่องที่แม้การเดินเรื่องเร็วต่อเนื่องแบบนี้จะทำให้คนดูสนุก แต่พอมองถึงความสมจริงกลายเป็นฆาตกรเก่งเว่อร์ไป ฆ่าคนต่อเนื่องได้ติดๆ กันแบบอุกอาจกลางเมือง รวมถึงจัดฉากฆ่าโหดพิสดารได้ไวและเนี๊ยบเกิน จนแทบไม่มีบทให้ตำรวจในเรื่องได้พลิกกลับหรือนำหน้าความคิดฆาตกรได้เลย แต่ก็อาจจะเพราะตัวเรื่องจริงต้องการโชว์แนวระทึกขวัญมากกว่าการไล่ล่าสืบสวนแบบในเรื่องอื่นๆ เพราะจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเรื่องนี้ต้องการบางสิ่งที่พลิกเรื่องราวไปอีกแบบ อาจจะเรียกว่าเหนือชั้น ว้าวไปกับจุดนี้ก็ได้ แต่มองอีกมุมก็กลายเป็นจุดตอกย้ำให้เรื่องดูไม่น่าเชื่อถือยิ่งขึ้นไปอีกได้เหมือนกัน

ฆาตกรต้องการลากให้นางเอกมีส่วนในคดีนี้ด้วยความยินยอมของตัวนางเอกเอง โดยให้เหตุผลว่าตัวเองฆ่าเหยื่อที่มีความแค้นส่วนตัวให้นางเอกดูเป็นตัวอย่างให้ทำตาม ซึ่งตัวนางเอกก็มีความแค้นจากคดีแฟนหนุ่มถูกรถชนแล้วคนขับที่เป็น สส. มีอิทธิพลจนทำให้รอดจากคดีไปเช่นกัน

จุดเด่นสุดของเรื่องนี้คือฉากโหดสยองขวัญต่างๆ ในเรื่องที่จัดมาเต็มตาแถมแช่ให้ดูกันจะๆ ตั้งแต่เหยื่อที่ถูกพบเป็นศพด้วยวิธีประหลาดๆ ตั้งแต่คนแรกที่ถูกหุ้มร่างด้วยหนังวัว แล้วก็มีช่วงตำรวจตรวจสอบศพ มีช่วงชันสูตรของนิติเวชที่แหวะมากๆ อย่างการเปิดสมองคน แค่นั้นไม่หนำใจหนังยังย้อนให้ดูวิธีเตรียมการฆ่าเหยื่อในแต่ละเคสเพิ่มอีกต่างหาก ซึ่งจุดนี้ถ้าเทียบกับ Seven ตัวเรื่องนี้มีความโหดแหวะเน้นๆ กว่า แต่ Seven สื่อนัยยะกับบาปได้ดีกว่า และก็อย่างที่บอกไปก่อนนี้คือ เหยื่อถูกฆ่าด้วยวิธีที่พิสดารคิดเยอะซับซ้อนมาก แถมตั้งใจเผยแพร่ให้ประชาชนในเมืองรับรู้กันมากกว่าแค่วงแคบๆ จึงทำให้เรื่องดูเว่อร์เกินจริงมากที่ฆ่าคนด้วยวิธียากลำบากแบบนี้ได้ตามเวลาเป๊ะๆ เกินไป

ฉากมัดเสาเผาทั้งเป็นในโรงละคร
ฉากมัดเสาเผาทั้งเป็นในโรงละคร

ตัวเรื่องเรื่องเดินหน้าด้วยตัวละครนางเอก Helena Rus แบบเปิดมามีฉากปริศนาให้เห็นนิดนึงเกี่ยวกับตัวเธอ แต่ไม่บอกว่าอะไร จากนั้นก็เข้าโหมดฆาตกรรมทันที จากนั้นก็ค่อยๆ มีตัวละครเพิ่มมาร่วมทีมอย่างนักวิเคราะห์พฤติกรรมที่ถูกส่งมาจากส่วนกลาง และก็ดูบุคลิกห้าวเหมือนกับเธอเช่นกัน ซึ่งตัวละครของนางเอกลุคแบบนี้อาจจะดูขัดๆ ตาสักหน่อย เพราะดูเป็นตำรวจหญิงที่ไม่ค่อยแคร์ใครจนผิดปกติ ทั้งหาเรื่องกับนักข่าว ชาวบ้านที่อยู่ในที่เกิดเหตุ แต่จุดนี้มีสาเหตุอธิบายได้ในตอนหลัง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอเธอไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งก็ช่วยให้เรื่องดูสมเหตุผลขึ้นนิดหน่อย

ตัวละครสมทบนักข่าวในเรื่องที่ทะเลาะกับนางเอกตลอด แต่จะมีบทบาทสำคัญในตอนจบ

นี่เป็นหนังที่เดินเรื่องตามรอยรุ่นพี่อย่าง Seven ชัดเจน แต่ก็มีส่วนที่เป็นของตัวเองอยู่มากเหมือนกัน บางส่วนก็ดีกว่า Seven เสียด้วยซ้ำ แถมตัวหนังเดินหน้าไวพรวดๆ ไม่มีลีลาอ้อยอิ่งอะไรเลย ทำให้การรับชมยังไงก็ดูสนุกระทึกขวัญไปกับเรื่องได้แน่ๆ แต่สิ่งที่เรื่องนี้แย่คือความไม่สมเหตุผลทั้งหลายในส่วนของการฆาตกรรมที่ดูแล้วไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้ แถมตอนจบที่เหมือนทำมาวัดใจคนดูอีกว่าเชื่อไม่เชื่อในเหตุผลที่หนังวางไว้ง่ายๆ แบบนี้ ยิ่งดูตอกย้ำทำให้เรื่องนี้ไม่อาจจะขึ้นไปเทียบกับ Seven ที่ทำออกมาน่าเชื่อถือไปจนถึงตอนจบที่เป็นตำนานได้ดีกว่ามากครับ

the-plagues-of-breslauติดตามรีวิวหนังซีรีส์ Original Netflix ในเว็บไซต์คลิกที่นี่

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!