playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Six Triple Eight 6888 กองพันหญิงแกร่ง (Netflix) ดราม่าสีผิวธรรมดา เรื่องรักต่างสีผิวกลับทำได้ดีกว่า

The Six Triple Eight 6888

Summary

หนังสร้างจากเรื่องจริงของหน่วยทหารหญิงผิวดำที่ถูกส่งไปคัดแยกจดหมายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ตกค้างถึง 17 ล้านฉบับให้สำเร็จ โดยมีประเด็นการแบ่งแยกสีผิวในกองทัพที่ทหารผิวขาวกดขี่ทหารหญิงผิวดำจากลำดับบังคับบัญชาที่เต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรม แต่เนื้อเรื่องส่วนนี้ทำได้ค่อนข้างเป็นแพทเทิร์นธรรมดาจนไม่ได้น่าสนใจมาก แม้เรื่องจะบิ้วสร้างดราม่ากันเต็มที่ ซึ่งผู้ชมคนนอกอเมริกาก็คงเฉยๆ กับประเด็นพวกนี้ไปแล้ว ส่วนของฉากสงครามก็แทบไม่มีให้เห็น  แต่สิ่งที่หนังทำได้สำเร็จกลับเป็นเรื่องรักของนางเอกที่มาสมัครเป็นทหารเพราะแฟนหนุ่มผิวขาวเสียชีวิต และมีปมที่เธอก้าวข้ามไปยังคนใหม่ที่เป็นทหารผิวดำไม่ได้ หนังสร้างซีนประทับใจหลายอย่างของความรักต่างสีผิวนี้ได้ดีมาก มีฉากซึ้งสะเทือนใจที่ใครอ่อนไหวหน่อยก็อาจจะเสียน้ำตาได้ง่ายๆ เหมือนกัน เพียงแต่เนื้อเรื่องส่วนนี้เป็นแค่องค์ประกอบเสริมที่ไม่มากพอจะฉุดให้ภาพรวมดีในทางนี้ได้ครับ

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • เรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของหน่วยทหารหญิงผิวดำในอเมริกา
  • ประเด็นการแบ่งแยกสีผิวในกองทัพ
  • ความรักต่างสีผิวของนางเอก
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • ดราม่าสีผิวธรรมดาทั่วไป
  • ส่วนของสงครามแทบไม่มีให้เห็น

ADBRO

The Six Triple Eight 6888 กองพันหญิงแกร่ง ภาพยนตร์ Original Netflix สร้างจากเรื่องจริงของหน่วยทหารหญิงชาวอเมริกันผิวดำของกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดการกับงานไปรษณีย์ของทหารในยุโรปที่คั่งค้างเป็นจำนวนมาก ในขณะที่มีการแบ่งแยกสีผิวอย่างชัดเจนในสังคม
The Six Triple Eight (2024) on IMDb

 

รีวิว The Six Triple Eight 6888 กองพันหญิงแกร่ง

หนังจากผู้กำกับ Tyler Perry ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการสร้างเรื่องราวของคนผิวดำในอเมริกาโดยเฉพาะ ซึ่งคราวนี้เขาก็หยิบเรื่องจริงของ Six Triple Eight หรือ 6888th Central Postal Directory Battalion หน่วยทหารหญิงชาวอเมริกันผิวดำของกองทัพบกสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกส่งไปจัดการกับงานไปรษณีย์ของทหารอเมริกาที่ถูกส่งไปรบแล้วค้างเป็นจำนวนมากถึง 17 ล้านฉบับ ซึ่งถ้าดูแค่เรื่องราวนี้ก็คงรู้สึกว่าธรรมดา แต่หนังก็ได้ใส่เรื่องราวอุปสรรคปัญหาจริงหลายอย่างลงไปให้เห็นว่างานนี้ไม่ใช่แค่การแยกคัดส่งจดหมาย แต่มันส่งผลถึงขวัญกำลังใจทหารทั้งหมดและครอบครัวที่รอคำตอบอยู่ ซึ่งพวกเขาไม่เคยได้รับการติดต่อกันเลยถึง 3 ปีที่ออกไปรบ จนกลายเป็นปัญหาระดับชาติที่ร้อนถึงประธานาธิบดีสหรัฐในเวลานั้นต้องสั่งการให้กองทัพแก้ปัญหานี้ให้สำเร็จโดยเร็วให้ได้ โดยให้เวลา 6 เดือนต้องทำให้ได้สำเร็จ ซึ่งนี่คืองานที่โหดหินแทบเกินกำลังของกองทัพจะจัดการได้ในเวลานั้น จึงโยนไปให้หน่วยทหารหญิงนี้ทำแทน

แต่สิ่งที่ตัวหนังตั้งใจสะท้อนให้เห็นไม่ใช่แค่ปัญหาการคัดแยกจดหมาย แต่เป็นการปฏิบัติที่ถูกแบ่งแยกสีผิวในเวลานั้นโดยแม่ทัพที่ตัดสินใจส่งทหารหญิงผิวดำนี้ไปเพราะคิดว่าพวกเธอทำไม่ได้ และตั้งใจให้ทหารหญิงผิวดำเหล่านี้ได้รับความอับอาย เพราะพวกเขาเชื่อว่าคนดำโง่ ผู้หญิงผิวดำยิ่งโง่ขึ้นไปอีก ส่วนหนึ่งเพราะการที่ไม่ได้เรียนหนังสือในสังคมยุคนั้นด้วย ซึ่งหนังก็หยิบเอากลุ่มทหารหญิงที่มีความรู้เรียนมหาวิทยาลัยมาเป็นแกนกลางของเรื่อง เพื่อให้เห็นว่าก็ยังโดนดูถูกไม่ต่างอะไรจากคนอื่นอยู่ดี โดยมี พันตรี Charity Adams (แสดงโดย Kerry Washington) ผู้ควบคุมหน่วยนี้ถูกผู้บังคับบัญชาชายผิวขาวกดขี่อยู่ตลอดเวลา แต่เธอก็พยายามอยู่ในกฏระเบียบทหารจนถึงที่สุด และสั่งให้ลูกน้องอยู่ในกรอบตามคำสั่งที่ได้รับมาทุกครั้ง แม้ทั้งหน่วยจะโดนดูถูกจากทหารผิวขาวที่ต้องหาทางดิสเครดิตไม่ให้งานนี้สำเร็จก็ตาม 

ตัวหนังในส่วนของการถูกแบ่งแยกสีผิวนั้นค่อนข้างเป็นแพทเทิร์นสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้ที่ดูแล้วก็ธรรมดา และยังรู้สึกว่าหนังจงใจเขียนบทให้เหตุการณ์หลายๆ อย่างดูเป็นดราม่าที่เหมือนจะเกินจริงไป  อย่างการสร้างภาพลักษณ์ตัวละครแม่ทัพผิวขาวที่ดูชั่วร้ายทั้งการกระทำและคำพูด โดยเป็นตัวละครอ้วนพุงพลุ้ยชอบกินเหล้าสังสรรค์ตลอด แต่ชอบมาดุด่าลูกน้องว่าใช้เงินภาษีกองทัพไปกับเรื่องต่างๆ ที่มันต้องทำ หัวหน้าของ Charity Adams ก็หาเรื่องทุกอย่างจนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเลวร้ายแบบนั้นหรือไม่ อย่างการด่าทหารหญิงทั้งหน่วยว่าโง่ไอ้พวกโง่ต่อหน้า ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริงก็คงเลวร้ายมาก และน่าจะโดนขึ้นศาลทหารได้เพราะกองทัพก็มีระเบียบว่าด้วยความเท่าเทียมกันอยู่แล้ว แม้สังคมจะยังเลือกปฏิบัติกันอยู่ก็ตาม

แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้มีความพิเศษโดดเด่นกว่าปฏิบัติการคัดแยกจดหมายและประเด็นการแบ่งแยกสีผิวก็คือเรื่องราวความรักที่หนังทำได้ดีจริงๆ ตั้งแต่แรก ด้วยการเล่าเรื่องของ Lena Derriecott King (แสดงโดย 

Ebony Obsidian) นางเอกของหนังเรื่องนี้ที่เธอมีแฟนเป็นหนุ่มผิวขาวอเมริกันที่ไม่สนใจปัญหาสังคมในเวลานั้นเลยแม้แต่น้อย และรักเธออย่างหมดหัวใจ ซึ่งเขาก็อาสาไปเป็นนักบินในยุโรปก่อนจะเสียชีวิตและนำศพกลับมาไม่ได้ ซึ่งนี่คือจุดประสงค์ของนางเอกที่สมัครไปเป็นทหารเพื่อตามหาเขาให้เจอ ซึ่งหนังเล่าเรื่องราวความรักต่างสีผิวของเธอกับเขาในช่วงแรกที่น่าประทับใจ และก็ยังมีบทออกมาในรูปแบบพลังใจที่เธอคอยคิดถึงอยู่เสมอเวลามีปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นเหมือนมีเขาอยู่ข้างๆ โดยที่มีนายทหารผิวดำที่พยายามเข้ามาจีบเธอโดยไม่รู้ว่าเธอก้าวข้ามปมปัญหานี้ไปไม่ได้ ซึ่งหนังผลักดันเรื่องราวความรักความทุกข์ของเธอได้อย่างเกาะกินใจ มีฉากซึ้งสะเทือนใจที่ใครอ่อนไหวหน่อยก็อาจจะเสียน้ำตาได้ง่ายๆ เหมือนกันครับ จุดเสียมีเพียงแค่เรื่องราวส่วนนี้เป็นแค่องค์ประกอบร่วมไปกับภารกิจคัดแยกจดหมายเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการเดินเรื่องในแนวหนังรักจริงๆ ฉากมีไม่มาก แต่ก็ยังทำได้ดีจนรู้สึกว่าควรเอาเรื่องนี้มาทำแยกเลยอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำครับ (เข้าใจว่าเรื่องนี้ต้องการสร้างเพื่อเชิดชูประวัติศาสตร์ของกองทหารหญิงนี้ทั้งหมดจริงๆ จึงทำไม่ได้)

สรุป หนังสร้างจากเรื่องจริงของหน่วยทหารหญิงผิวดำที่ถูกส่งไปคัดแยกจดหมายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ตกค้างถึง 17 ล้านฉบับให้สำเร็จ โดยมีประเด็นการแบ่งแยกสีผิวในกองทัพที่ทหารผิวขาวกดขี่ทหารหญิงผิวดำจากลำดับบังคับบัญชาที่เต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรม แต่เนื้อเรื่องส่วนนี้ทำได้ค่อนข้างเป็นแพทเทิร์นธรรมดาจนไม่ได้น่าสนใจมาก แม้เรื่องจะบิ้วสร้างดราม่ากันเต็มที่ ซึ่งผู้ชมคนนอกอเมริกาก็คงเฉยๆ กับประเด็นพวกนี้ไปแล้วส่ วนของฉากสงครามก็แทบไม่มีให้เห็น แต่สิ่งที่หนังทำได้สำเร็จกลับเป็นเรื่องรักของนางเอกที่มาสมัครเป็นทหารเพราะแฟนหนุ่มผิวขาวเสียชีวิต และมีปมที่เธอก้าวข้ามไปยังคนใหม่ที่เป็นทหารผิวดำไม่ได้ หนังสร้างซีนประทับใจหลายอย่างของความรักต่างสีผิวนี้ได้ดีมาก มีฉากซึ้งสะเทือนใจที่ใครอ่อนไหวหน่อยก็อาจจะเสียน้ำตาได้ง่ายๆ เหมือนกัน เพียงแต่เนื้อเรื่องส่วนนี้เป็นแค่องค์ประกอบเสริมที่ไม่มากพอจะฉุดให้ภาพรวมดีในทางนี้ได้ครับ

รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

รีวิว Black Doves พิราบเงา (Netflix) ซีรีส์สายลับที่ตัวละครมีเสน่ห์ซับซ้อนคมคายสุดๆ