playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Third Day (HBO) ลึกลับสยองขวัญ ผ่านงานศิลป์สุดปราณีต (ไม่สปอยล์)

  • พาร์ท Summer - 8.5/10
    8.5/10
  • พาร์ท Winter - 7/10
    7/10

สรุป

ซีรีส์คุณภาพงานสร้างมาตรฐานสูงทุกด้านของ HBO แถมด้วยความโดดเด่นหลายอย่างที่ควรค่าแก่การรับชมมากครับ แต่พาร์ทที่ 2 Winter เรื่องราวไม่ค่อยมีอะไรใหม่ และก็ไม่ได้เน้นพวกงานภาพสวยเท่ากับพาร์ท Summer ทำให้รู้สึกว่าโดยรวมดรอปไปเยอะ แถมยังจบแบบง่ายๆ ไม่เคลียร์ในหลายอย่างที่ค้างไว้ด้วย

Overall
7.8/10
7.8/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • งานภาพที่สวยโดดเด่นสะดุดตาแทบทุกฉาก
  • จำนวนตอนสั้นแค่สามตอนจบเรื่อง
  • ฉากสยองแบบมีความอาร์ตไปพร้อมกัน
  • ตัวเรื่องมีปริศนาเยอะ แต่ก็เฉลยตามมาแบบเคลียร์ไม่มีงง
  • ตัวละครทุกตัวคลุมเคลือหมิ่นเหม่ไม่น่าไว้ใจ ไม่เว้นแม้แต่ตัวเอก
  • ดารานักแสดงคุณภาพทั้งเรื่อง

Cons

  • ในตอนแรก (EP1) อาจจะงุนงงเต็มไปด้วยความแปลกในการนำเสนอกับปริศนาเยอะแยะไปหมด
  • ตัวเรื่องมีฉากแบบปล่อยลอยเอื่อยๆ แช่ให้ชมความงามของภาพอยู่เรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้คนใจร้อนเบื่อได้
  • พาร์ท Winter ไม่ค่อยมีอะไรใหม่ เพราะส่วนใหญ่เฉลยไปใน Summer แล้ว

ADBRO

The Third Day มินิซีรีส์เรื่องใหม่ของ HBO 6 ตอนจบ ที่มีแนวทางขายความลึกลับสยองขวัญ ผ่านงานภาพสวยโดดเด่นสะดุดตามาก กับเรื่องราวบนเกาะเล็กๆ ที่มีความเชื่อแปลกประหลาดบนพื้นฐานที่ต่างออกไปจากสังคมโลกปกติ

 The Third Day (2020) on IMDb

ตัวอย่าง The Third Day

มินิซีรีส์จากประเทศอังกฤษที่มีแนวทางเดียวกับหนัง Midsommar แนวชุมชนขนาดเล็กในที่ปิด ที่มีพิธีกรรมสยองในแบบความเชื่อของตัวเอง และก็เป็นหนังที่เน้นขายงานศิลป์ทั้งภาพทั้งการออกแบบดีไซน์สิ่งต่างๆ ในเรื่องอย่างสวยงาม ซึ่ง The Third Day มาในแนวทางเดียวกันทั้งหมด แต่สิ่งที่ซีรีส์เรื่องนี้ทำได้ดีกว่ามากคือการที่หนังไม่เล่าเรื่องแบบไม่อินดี้หรือยัดเยียดความอาร์ตให้กับผู้ชมจนเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังอย่าง Midsomar แม้จะดูดีมีเอกลักษณ์ของตัวเอง ถูกใจนักวิจารณ์สายเสพงานอินดี้อาร์ทๆ ที่ต้องมานั่งตีความอะไรเยอะแยะ แต่กับผู้ชมทั่วไปแทบหาวไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น แม้จะเอาความสยองมาเป็นจุดขายให้ผู้ชมตื่นตัวก็ตาม แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงอะไรแบบนั้นเลย

รีวิว The Third Day Summer

เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ “แซม” (รับบทโดย Jude Law) ชายหนุ่มที่เข้าไปช่วยชีวิตเด็กสาววัยรุ่นที่พยายามฆ่าตัวตายในป่า และตัดสินใจพาเธอไปส่งยังบ้านที่อยู่ในชุมชนเล็กๆ บน “เกาะโอซี” เกาะที่มีทางเชื่อมกับโลกภายนอกคือถนนคดเคี้ยวระหว่างเกาะที่ต้องรอน้ำขึ้นลงถึงจะข้ามไปมาได้ แม้ว่าผู้คนจะดูเป็นมิตรในตอนแรก แต่แล้วเขากลับพบว่าผู้คนบนเกาะนี้มีความเชื่อแปลกประหลาดที่สืบทอดกันมายาวนาน และดูซ่อนเร้นประสงค์อะไรบางอย่างในตัวเขา ซึ่งเขาไม่ใช่คนนอกเพียงคนเดียวในตอนนี้ แต่ยังมี “เจส” (รับบทโดย Katherine Waterston ) ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องราวเกี่ยวกับลัทธิต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องราวของชุมชนบนเกาะนี้ ซึ่งเธอก็พยายามอธิบายให้เขาฟังถึงสิ่งแปลกประหลาดที่แซมต้องเจอและสยดสยองกับมัน ว่าเป็นแค่ความเชื่อของชาวบ้านเท่านั้นเอง แต่แล้วเธอกลับต้องมาพบกับความผิดปกติที่แซมพยายามบอกเธอเช่นกัน

การันตีได้ว่าเรื่องราวดูเข้าใจง่ายไม่ยาก แม้ EP1 ตอนแรกอาจจะรู้สึกว่าเรื่องราวดูสับสนเข้าใจยาก มีปริศนามากมายซ่อนไว้ตามทาง ทั้งจินตนาการของตัวเอกในยามปกติและในฝัน หรือการเล่นภาพมุมกล้องแปลกๆ ให้ชวนสงสัยจนถึงขั้นงงว่าสื่ออะไร แต่พอขึ้น EP2 (แบ่งเป็นวันตามชื่อเรื่องวันที่ 1 2 3) เรื่องราวจะถูกเฉลยมาเรื่อยๆ ตอน 3 ก็เคลียร์แล้ว การเดินเรื่องไว สนุกแบบแปลกใหม่ แทบไม่มีช่วงเบื่อเลยระหว่างที่ดู และก็จบช่วงแรกที่ตรงนี้ เพราะนี่เป็นมินิซีรีส์ 6 ตอนจบเท่านั้น และเป็นแบบลิมิเต็ดจบเลย ที่มีการแบ่งภาคหรือพาร์ทของเรื่องราวออกเป็น 2 ส่วนบวกสเปเชียลอีก 1 ส่วนละ 3 ตอนจบตามฤดู ขึ้นต้นด้วยฤดูร้อน Summer ต่อด้วย Winter ฤดูหนาว โดยมีฤดูใบไม้ร่วง Autumn เป็นตอนพิเศษอีก 3 ตอนที่ยังไม่กำหนดการฉายใน HBO ว่ามาเมื่อไหร่ แต่ทางผู้สร้างบอกไว้แล้วว่าดูจบแค่ 6 ตอนก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งหลังดู 3 ตอนแรกจบช่วง Summer ก็บอกได้เลยว่าเรื่องราวค่อนข้างเคลียร์ปมชัดหมดแล้วในส่วนของตัวเอก Jude Law และเนื้อเรื่องก็ออกมาดีงามมาก จบได้ลงตัวมีเหตุผล แม้จะไม่ได้เซอร์ไพรส์มาก สิ่งที่เห็นตอนแรกก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด สารภาพเลยว่าตอนแรกที่เริ่มดูซีรีส์เรื่องนี้คิดว่าคงไม่แตกต่างจาก Midsommar อะไร เหมือนไปก๊อปมาด้วยซ้ำ แต่กลับแตกต่างและลงตัวมีเหตุผลดีกว่าในส่วนของพิธีกรรมประหลาดๆ บนเกาะแห่งนี้ได้อย่างลงตัว และยังทิ้งปริศนาไว้พองาม แบบไม่ต้องสนใจก็ได้ เพราะตัวเรื่องน่าจะไปเฉลยทีหลังในช่วง Winter กับ Autumn โดยที่ไม่ได้มีผลกับเนื้อเรื่องหลักของ Summer ที่จบไปครับ

จุดเด่นของเรื่องนี้จริงๆ คืองานภาพกับมุมกล้องที่สวยแปลกตามากๆ เข้ากันกับธีมของเรื่องลึกลับบนเกาะได้ดี ต้องบอกเลยว่าให้คะแนนเต็ม 10 ได้เลยกับงานภาพในเรื่องนี้ที่ตั้งใจออกแบบมุมกล้องสวยๆ ภาพโคลสอัพงามๆ กับทุกสิ่งทั้งใบหน้าคนและสิ่งต่างๆ ตลอดเวลา แทบจะทุกฉากเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะมุมท็อปวิวของเกาะโอซี ที่ตามเนื้อเรื่องชาวบ้านเชื่อว่าเป็นแดนสวรรค์บนโลก ฉากต่างๆ ในเรื่องยังใช้การเกรดสีกับคอนทราสให้เข้มสูงมากกับทุกฉาก โดยเฉพาะกับสิ่งมีชีวิตอย่างพวกแมลง หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ตายทั่วไปหมดบนเกาะ (มีเหตุผลอธิบายไว้ในเรื่องตอนหลัง) ทำให้สิ่งมีชีวิตพวกนี้สีสดตัดกับฉากเหมือนภาพงานศิลป์สยองลึกๆ ทุกครั้งที่เห็น รวมถึงฉากสยองขวัญต่างๆ ที่มาในรูปแบบพิธีกรรมหรือสิ่งของแหวะๆ ฉากจินตนาการเหนือจริง แต่ก็มีความอาร์ตด้วยทุกครั้ง ต้องบอกเลยว่าแค่ดูฉากพวกนี้ก็รู้สึกได้เลยว่าคุ้มค่าแล้วกับคนที่ชอบแนวลึกลับสยองขวัญ ซึ่งโดยปกติมักจะไม่ค่อยมีงานสวยๆ แบบนี้ให้เห็นเท่าไหร่ แต่เรื่องนี้บรรจงสร้างมาอย่างปราณีตมาก เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกว่าสวย แต่ก็น่ากลัว+ชวนแหวะไปพร้อมกัน

ในส่วนของการแสดงก็คงไม่ต้องกังขาอะไร เพราะนักแสดงเรื่องนี้คุ้นหน้ากันดีทุกคน มีฝีมือกับรางวัลการันตีแทบมาแทบทั้งนั้น แม้แต่พวกบทสมทบของเรื่องก็ยังเป็นดาราฝีมือดีที่คุ้นหน้ากันแน่นอน แต่ตัวบทไม่ได้ง่าย เพราะเรื่องวางให้ตัวละครทุกตัวมีบางสิ่งซ่อนเร้นทั้งหมด ตัวละครเป็นสีเทาๆ ไม่ดี ไม่เลวมากจนเกินไป ไม่ยัดความโหดไม่มีที่มาที่ไปจนดูแค่สยองแบบไร้สาระไว้ในตัวละครพวกนี้เลย แม้จะมีฉากไล่ล่าพระเอกอยู่เรื่อยๆ แต่เรื่องก็จะเฉลยเหตุผลในเวลาต่อมาที่คลุมเคลือว่าคนบนเกาะนี้มันดีหรือเลวกันแน่ และยังมีช่วงพลิกเรื่องราวทั้งหมดแบบที่คนดูก็คงกังขากับความน่าเชื่อถือของตัวละครต่างๆ ในเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ก็เป็นอารมณ์แบบเดียวกับที่แซมรู้สึกในเรื่อง ซึ่งถือว่าผู้กำกับทำได้สำเร็จที่ทำให้คนดูรู้สึกเข้าถึงได้ในแบบเดียวกันได้อย่างน่าพอใจ

ตัวซีรีส์มาทุกวันพุทธ อาทิตย์ละตอน ซึ่งตอนนี้ก็กำลังขึ้นช่วง Winter แนะนำว่าไม่ต้องรอจบ ดูได้เลย เพราะนี่คือหนึ่งในซีรีส์คุณภาพกับงานสร้างทุกด้าน แถมด้วยความโดดเด่นหลายอย่างแบบที่ควรค่าแก่การดูมากครับ

รีวิว Winter (มีสปอยล์จุดเชื่อมกับ Summer ไว้บางส่วน)

พาร์ท WInter  เป็นเรื่องราวของครอบครัวสามแม่ลูก ลูกสาวสองคนกับแม่ผิวสีที่มาฉลองวันเกิดลูกสาวกันที่เกาะนี้ แต่แล้วกลับหาที่พักไม่ได้ อีกทั้งผู้คนบนเกาะยังดูเหมือนมุ่งร้ายกับพวกเธออีกด้วย

ในตอนแรกจะดูเหมือนเรื่องราวจะไม่เกี่ยวข้องกับ Summer นอกจากตัวละครบนเกาะเดิม และก็เดินรอยเดิมเริ่มจากบรรยากาศเกาะที่ไม่น่าไว้ใจ ก่อนที่จบตอนแรกจะเฉลยถึงจุดเชื่อมโยงหากัน ซึ่งถือว่าเซอร์ไพรส์พอสมควร แต่ว่าเรื่องราวหลังจากนั้นค่อนข้างไม่มีอะไรแปลกใหม่ นั่นก็เพราะในพาร์ท Summer คนดูยังไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู หรือคนบนเกาะนี้ต้องการ อะไรกันแน่ ซึ่งพอเราเข้าใจภาพรวมของเรื่องแล้ว ตัวเรื่อง Winter เลยเหมือนเป็นแค่ภาคต่อ เนื้อเรื่องต่อให้จบเท่านั้น ซึ่งเรื่องราวจริงๆ ก็คืออีก 1 ปีต่อมา และเราจะได้เห็นพัฒนาการของตัวละครหลักแซมกับเจส ซึ่งเป็นผลพวงต่อจากตอนจบและสิ่งที่ทั้งสองคนร่วมกันทำไว้ โดยมีบทสรุปของเรื่องราวความขัดแย้งบนเกาะรอบใหม่เข้ามาเป็นประเด็น แต่ก็ไม่ได้จบแบบเคลียร์สมบูรณ์ ตัวเรื่องจบแบบปลายเปิด โดยมีเรื่องลี้ลับเข้ามาเกี่ยวข้องนิดๆ

งานด้านภาพเหมือนเรื่องไม่ได้ต้องการครีเอทอะไรสวยๆ มาให้คนดูติดตามแบบ Summer อาจจะเพราะว่าเรื่องคือ Winter ฤดูหนาว ฉากโลเกชั่นต่างๆ เลยแห้งแล้งไปหมด ซึ่งน่าเสียดายเหมือนกันว่าจุดเด่นของซีรีส์นี้จางหายไปเลย พาร์ทนี้ก็เลยเหมือนงานสร้างธรรมดา ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นแบบที่พาร์ทแรกทำไว้ได้ดีมากครับ

 


Raised by Wolves ซีรีส์ใหม่ของ HBO แนวไซไฟ ที่ห้ามพลาดเช่นกัน อ่านรีวิวคลิกที่นี่

รีวิว Black Doves พิราบเงา (Netflix) ซีรีส์สายลับที่ตัวละครมีเสน่ห์ซับซ้อนคมคายสุดๆ