playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Trial of the Chicago 7 (Netflix) การชุมนุมโดยสันติที่ทรงพลังจากเลือดของประชาชน! (ไม่มีสปอยล์)

The Trial of the Chicago 7

สรุป

เป็นหนังที่ทรงพลังเอามากๆ เข้ากับสถานการณ์การเมืองการชุมนุมในตอนนี้ ควรค่าแก่การดูในทุกทาง ทั้งคนที่อินการชุมนุมก็จะได้รู้เรื่องเบื้องหลังของการชุมนุมที่ว่าสันติเพื่อการเปลี่ยนแปลง สามารถเป็นได้จริงอย่างที่คิดหรือไม่ด้วย

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
5 (2 votes)

Pros

  • เบื้องลึกเบื้องหลังของการนำม็อบชุมนุมต่อต้านรัฐบาลอเมริกาในประวัติศาสตร์ แต่สามารถเทียบได้กับการการชุมนุมทั่วโลกในปัจจุบันเช่นกัน
  • มุมมองและเรื่องสกปรกของทั้งสองฝั่ง
  • รวมดาราคุณภาพคับเรื่องจริงๆ
  • บทลื่นไหลสนุก ไม่มีช่วงเบื่อ มีติดตลกและยังเข้มข้นไปพร้อมกัน

Cons

  • ช่วงชั่วโมงแรกอาจจะดูสบายๆ ติดตลกเยอะไปนิดจนคิดว่าหนังไม่เข้มข้นแบบที่คิด
  • การกระโดดข้ามของช่วงเวลาต่อสู้ในศาลกว้างมากจนขาดรายละเอียดต่อเนื่อง (เพราะรายละเอียดของคดีเยอะจนไม่สามารถถ่ายทอดลงไปได้หมดในหนังสองชั่วโมง)

ADBRO

The Trial of the Chicago 7 ภาพยนตร์ Original Netflix เรื่องราวของการประท้วงอย่างสันติ ณ งานประชุมแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในปี 1968 กลายเป็นการปะทะกันอย่างรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและสำนักงานกองกำลังพิทักษ์ชาติ แกนนำผู้ประท้วงอย่างแอ็บบี้ ฮอฟแมน, เจอรรี่ รูบิน, ทอม เฮย์เดน และบ็อบบี้ ซีลถูกจับข้อหาสมรู้ร่วมคิดในการปลุกปั่นการจราจล และการพิจารณาคดีที่ตามมากลายเป็นเหตุการณ์ที่อื้อฉาวที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

 The Trial of the Chicago 7 (2020) on IMDb

คะแนนจากเว็บมะเขือสูงมากทั้งสองฝั่ง

ตัวอย่าง The Trial of the Chicago 7

หนังที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมประท้วงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกา ที่มาพ้องกับกระแสการชุมนุมในไทยพอดิบพอดี ซึ่งหนังเรื่องหน้าหนังอาจจะดูห่างไกลจากไทยเนื่องจากเป็นช่วงยุคสมัยสงครามเวียดนาม ที่เหล่าบุปผาชนออกมาประท้วงคัดค้านการเกณฑ์ทหารไปทำสงครามในต่างแดนจนล้มตายเป็นเบือ (คนเวียดนามก็ล้มตายเป็นเบือเช่นกัน) แต่เชื่อเถอะว่าเมื่อดูจบความคิดนี้จะเปลี่ยนทันที เพราะเรื่องราวจริงๆ ของคดีชิคาโก 7 เป็นเรื่องการใช้อำนาจรัฐในทางมิชอบ จนทำให้ประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่มีความชอบธรรม และออกมาประท้วงครั้งใหญ่แบบที่ตั้งใจให้เป็นการชุมนุมโดยสันติ แต่แล้วก็กลับผิดพลาดบานปลายจนมีคนบาดเจ็บสาหัสถึง 400 คนจากเหตุการจราจลในครั้งนี้ ที่ฝ่ายรัฐพยายามตั้งข้อหาต่อแกนนำทั้ง 7 ว่าสมรู้ร่วมคิดกันก่อการจราจล อันนำมาซึ่งภัยต่อความมั่นคงของชาติ

เรื่องนี้เป็นผลงานการเขียนบทและกำกับโดยแอรอน ซอร์กิน ผู้เขียนบทดีกรีออสการ์ The Social Network นำแสดงโดยดาราดังจำนวนมากอย่าง โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์, เอ็ดดี้ เรดเมย์น, เจเรมี สตรอง, ไมเคิล คีตัน และเป็นผลงานของค่าย Dreamworks Pictures ที่ Netflix ซื้อสิทธิ์มาลงในระบบ ไม่ได้มาจาก Netflix โดยตรงตั้งแต่แรก ดั้งนั้นเรียกว่าการันตีได้เลยนี่คือภาพยนตร์คุณภาพระดับที่ถ้ามีโอกาสฉายในโรงภาพยนตร์ตามปกติน่าจะกวาดรายได้ไปไม่น้อย ด้วยเรื่องราวที่ทรงพลังเข้ากับทุกยุคสมัย ทุกประเทศ ทุกที่ในโลกล้วนแล้วแต่ต้องเคยมีการประท้วงอำนาจมิชอบจากรัฐบาลทั้งสิ้น

แม้เรื่องจะถูกมองว่านำเสนอให้กลุ่มแกนนำประท้วง 7 คนกลายเป็นฮีโร่ (ที่จริงมีอีก 1 คนเกินมาในคดีเป็น 7+1 จะกล่าวถึงในย่อหน้าต่อไป) ขนาดที่หนึ่งในแกนนำที่ถูกดำเนินคดีมองว่านี่เป็นเหมือนรางวัลออสการ์ที่มอบให้กับแกนนำชุมนุมประท้วงโดยตรง เพราะเมื่อรัฐฟ้องเล่นงานแกนนำที่ตั้งใจพูดให้คนกลุ่มใหญ่ได้ยินในที่ๆ หนึ่งในวงจำกัด อาจจะได้สื่อมาทำข่าวเรียกกระแสแค่ช่วงหนึ่ง แต่การฟ้องนี้กลับทำให้คดีนี้กลายเป็นกระบอกเสียงที่แกนนำได้โอกาสส่งสารเจตจำนงค์การประท้วงไปยังประชาชนทั่วทั้งประเทศไปโดยปริยาย แต่ว่าตัวหนังก็ล้วงลึกถึงความจริงที่รัฐกล่าวหาว่าเป็นจริงหรือไม่ไปพร้อมกัน โดยไม่ได้เข้าข้างหรือบิดเบือนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตามประวัติศาสตร์ และก็ยังเปิดเผยความจริงอีกด้านของการขึ้นมาเป็นแกนนำ ที่แม้เจตนาดี แต่กลับไม่ขาวสะอาดอย่างที่มวลชนเห็น และการนองเลือดประชาชนเพื่อให้ได้มาซึ่งความเปลี่ยนแปลง ก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่แฝงอยู่ก้นบึ้งลึกในใจของแกนนำด้วย โดยที่เจ้าตัวก็ไม่อยากยอมรับเช่นกัน

อีกด้านหนึ่งคดีนี้ก็เกิดจากการเมืองช่วงเปลี่ยนผ่านประธานาธิบดีโดยตรงอีกด้วย และเป็นคดีการเมืองที่ตั้งใจพุ้งเป้ามาเล่นงานแกนนำ แบบเชือดไก่ให้ลิงดูว่าอย่าให้ประชาชนมาชุมนุมกันอีก ไม่ใช่จากเหตุผลที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ แต่เป็นความมั่นคงในตำแหน่งประธานาธิบดีส่วนตัวเอง

The Trial of the Chicago 7

การเดินเรื่องใช้วิธีเปิดเรื่องด้วยการนัดมาชุมนุมครั้งใหญ่ทางโทรศัพท์ แต่ก็ตัดข้ามส่วนของการชุมนุมนองเลือดมาที่เหตุการณ์ในศาลเลย แล้วค่อยๆ ย้อนให้ดูภายหลังว่าเรื่องราวที่แท้จริงตั้งแต่แรกเกิดอะไรขึ้น โดยนำภาพประวัติศาสตร์ช่วงนั้นมาแทรกเป็นระยะๆ เป็นภาพขาวดำจากเหตุการณ์จริง ซึ่งในชั่วโมงแรกเรื่องอาจจะดูไม่ค่อยตรึงเครียดสักเท่าไหร่  (หนังยาวสองชั่วโมงกว่า) แถมดูสบายๆ ขำๆ กับการที่พวกหัวขบถพยายามต่อสู้กับผู้พิพากษาในศาลทุกวิธีทางแบบอารยะขัดขืนเท่าที่ทำได้ แม้จะถูกข้อหาหมิ่นศาลรัวๆ กับการกระทำเหล่านั้นก็ตาม แต่ช่วงหลังชั่วโมงแรกผ่านไปเรื่องราวเข้มข้นขึ้นมาก เมื่อมีคดีซ้อนระหว่างการพิพากษา ที่ไม่ได้ดูยุติธรรมดีอยู่แล้วจากการแทรกแซงของรัฐในหลายรูปแบบ ซึ่งเกี่ยวกับแกนนำผิวดำกลุ่มแบล็คแพนเธอร์ที่ดูเป็นคนรักสันติที่สุด และก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ 7 คนในคดีก่อการจราจลโดยตรงเลยแม้แต่น้อย (โดนข้อหาฆาตกรรมตำรวจในรัฐอื่น เพียงแต่เดินทางมาพูดที่นี่แค่ 4 ชั่วโมงก่อนกลับไป) แต่กลับติดร่างมาด้วยเพราะต้องการให้กลุ่มชิคาโก 7 ที่มีแต่คนผิวขาว มีคนผิวดำที่ดูภายนอกน่ากลัวมาเป็นประเด็นให้เรื่องฟ้องร้องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในสายตาสาธารณะชน ซึ่งก็กลายเป็นความอยุติธรรมซ้อนในคดีที่เกิดขึ้นกลางศาลสหรัฐอเมริกาที่เชื่อว่ายุติธรรมที่สุดไปได้อย่างน่าอดสู ขนาดที่ว่าทนายฝ่ายรัฐเอง (เล่นโดย โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์) ยังทนไม่ไหวขอให้ศาลถอดเขาออกไปจากคดีความในครั้งนี้ และก็กลายเป็นความแตกแยกทางความคิดของคนในสังคมเพิ่มไปอีกด้วย เมื่อมีทั้งผู้เห็นใจและไม่เห็นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างที่ตัวแกนนำผิวดำบอกไว้ว่า เราทุกคนมีพ่อคนเดียวกันหรือ ถึงพยายามทำให้ทุกคนคิดแบบเดียวกัน ใครเห็นต่างไปจากนั้นคือผิด ซึ่งการพยายามทำให้เกิดความคิดแบบนี้ขึ้นต่างหากที่เป็นความผิดจริงๆ ของคนในระบบประชาธิปไตยไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากฝ่ายไหนก็ตาม

ในคดีนี้นอกจากจำเลยแกนนำทั้ง 7+1 แล้วยังมีเรื่องราวพิเศษเพิ่มอีก 1 คนในช่วงหลังจากบทอดีตอัยการสูงสุดที่แสดงโดย ไมเคิล คีตัน มาเป็นพยานแทรกในภายหลัง ด้วยการเปิดเผยเรื่องราวที่น่าตกใจกับการสนทนากับประธาธิบดีสหรัฐก่อนถูกปลดออกจากตำแหน่ง และก็เกี่ยวกับการเอาผิดกลุ่มแกนพวกนี้โดยตรง ซึ่งไมเคิลคีตันมาแค่ช่วงสั้นๆ แต่เรื่องราวในจุดนี้เป็นเหมือนตัวตัดสินคดีนี้โดยตรงทันที และตีแสกหน้าการใช้อำนาจเกินขอบเขตของฝ่ายการเมืองสหรัฐได้อย่างโจ่งแจ้ง

The Trial of the Chicago 7 เป็นหนังที่ทรงพลังเอามากๆ กับคนทั้งโลก แบบที่ตัวเรื่องกล่าวไว้ว่า “คนทั้งโลกจับตาดูอยู่” เพราะมันไม่ใช่แค่คดีที่เกิดขึ้นแล้วจบในอเมริกา แต่มันสั่นสะเทือนไปถึงการชุมนุมในทุกประเทศที่มักเกิดขึ้นมาด้วยความรู้สึกว่าถูกรัฐปฏิบัติกดขี่ด้วยความไม่เป็นธรรมในทางใดทางหนึ่ง แล้วไม่มีทางออกอื่นใดนอกจากรวมตัวออกมาเรียกร้องให้วงกว้างได้รับรู้ โดยที่เนื้อแท้นั้นบริสุทธิ์มาด้วยใจต้องการความเป็นธรรม แต่แล้วกลับไม่ได้รับการตอบสนองในแบบเดียวกัน ทำให้การชุมนุมที่ตั้งมั่นว่าสงบสันติกลับกลายเป็นความผิดพลาดขึ้นมาได้ง่ายๆ จนไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วการชุมนุมโดยสันติเพื่อให้เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีเลือดนองพื้นนั้นเป็นไปได้จริงหรือไม่ หรือต้องจำยอมให้เกิดขึ้นและจบลงในแบบที่ภาพยนตร์ถ่ายทอดออกมาในตอนจบของเรื่องนี้ครับ

 

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!