playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Underground Railroad ซีรีส์ระดับมาสเตอร์พีซแนวดราม่าเรียลแฟนตาซียุคทาส!

สรุป

ซีรีส์แนวดราม่าผสมแฟนตาซีแบบเรียลๆ ในยุคสมัยที่อเมริกายังมีรัฐทาส กฎหมายทาส ตัวเรื่องโดดเด่นจากดารานักแสดงหน้าใหม่จากแอฟริกาที่เล่นได้ดีมากๆ เนื้อเรื่องที่สะท้อนความจริงในประวัติศาสตร์ได้อย่างน่ากลัว ไม่ต่างอะไรกับหนังนาซีเข่นฆ่าชาวยิว งานภาพงดงามแทบทุกซีน ดนตรีประกอบระทึกขวัญบาดหัวใจ นี่เป็นซีรีส์ที่แทบไร้ที่ติ แทบทุกองค์ประกอบคือแทบเปอร์เฟ็กต์จากฝีมือผู้กำกับ แบร์รี เจนคินส์ ที่ทำหนัง Moonlight ได้ออสการ์มาก่อน อาจจะมีจุดด้อยเล็กๆ คือตัวเรื่องอัดดราม่าเข้ามาหนักมากๆ ตลอดเวลา แต่ถ้าใครชอบหรือโหยหาแนวดราม่าชั้นดี นี่คือผลงานคุณภาพระดับมาสเตอร์พีชของ Amazon Prime เรื่องหนึ่ง และก็น่าจะเป็นซีรีส์ที่กวาดรางวัลมากมายต่อไปแน่นอน

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • แนวดราม่ายุคทาส แต่มีความแฟนตาซีผสมลงไปแบบสมจริง
  • แสดงให้เห็นรัฐทาสในแต่ละรัฐที่มีกฎหมายทาสแตกต่างออกไป แต่ก็โหดร้ายทารุณไม่แพ้กัน
  • ตัวเรื่องเสนอมุมมองอีกด้านจากความเชื่อของคนขาวให้ได้เห็นและทำความเข้าใจยุคสมัยนั้นได้ดี
  • ตัวเรื่องดาร์กสุดๆ กับคนผิวดำ แต่ก็มีแง่มุมที่สวยงามอยู่ทุกตอน
  • ตัวแสดงหลักเป็นนักแสดงจากแอฟริกาที่มาเล่นซีรีส์อเมริกาครั้งแรก
  • งานภาพที่สวยโดดเด่นแทบทุกซีน
  • ดนตรีประกอบบาดหัวใจเข้ากับฉากโหดในเรื่องมาก
  • ลิมิเต็ดซีรีส์ 10 ตอนจบ

Cons

  • ช่วงดราม่าจัดเต็มกลางเรื่องของคนขาวนักล่าทาส ที่อาจจะดูไม่ใช่แนวทางแบบช่วงแรกที่เน้นการผจญภัยไปในแต่ละรัฐทาส
  • ฉากจบปลายเปิด และก็ไม่ได้มีคำตอบของเรื่องรถไฟใต้ดินมากนัก

ADBRO

The Underground Railroad ทางลับ ทางทาส ลิมิเต็ดซีรีส์ 10 ตอนจบ ของ Amazon Prime ผลงานจากผู้กำกับ แบร์รี เจนคินส์ ผู้ได้รับรางวัลอะคาเดมี 3 รางวัลจาก Moonlight และอิงนวนิยายที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ซึ่งแต่งโดยโคลสัน ไวท์เฮด เล่าถึงการดิ้นรนแสวงหาอิสรภาพของสาวนิโกร คอร่า แรนดัล ในตอนใต้สมัยก่อนสงคราม หลังจากหลบหนีออกจากไร่ในจอร์เจียเพื่อไปที่รางรถไฟใต้ดินตามข่าวลือ คอร่าก็ค้นพบว่ามันไม่ใช่เป็นเพียงคำอุปมา แต่มีรางรถไฟอยู่ใต้พื้นดินของรัฐทางใต้จริงๆ
 The Underground Railroad (2021) on IMDb

ตัวอย่าง The Underground Railroad ทางลับ ทางทาส

ซีรีส์ย้อนยุคแฟนตาซีแบบสมจริงจากผู้กำกับแบร์รีที่กำกับหนังอาร์ตทุนต่ำอย่าง  Moonlight จนได้รางวัลออสการ์ในปี 2560 ปีเดียวกับลาลาแลนด์ และมีการอ่านผลรางวัลผิดเรื่องจนเป็นที่คนหาหลายอย่างตามมาว่า Moonlight มีศักยภาพสมกับรางวัลจริงหรือไม่ ซึ่งมาในเรื่องนี้ The Underground Railroad ได้พิสูจน์ความสามารถของผู้กำกับอย่างเป็นที่ประจักษ์ว่า เขาคือผู้กำกับผิวสีที่มีศักยภาพโดดเด่นในทุกทางของการทำภาพยนตร์หรือซีรีส์ที่เล่าเรื่องของคนผิวดำออกมาได้แปลกใหม่ สวยงาม และยังสะท้อนถึงความจริงเรื่องการเหยียดชนชั้นสีผิวคนดำที่ยังคงอยู่ในอเมริกาไม่ได้หายไปไหน ซึ่งผลงานเรื่องนี้ก็มี แบรด พิตต์ เป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ด้วย และก็กลายมาเป็นซีรีส์ขวัญใจนักวิจารณ์แบบท่วมท้นแทบเป็นเอกฉันท์ว่า นี่คือหนึ่งในซีรีส์คนผิวดำที่ยอดเยี่ยมแทบไร้ที่ติ ซึ่งผู้เขียนเองหลังดูจบก็เห็นด้วยทุกประการ เพราะแม้เรื่องราวอาจจะไม่ได้สนุกสุดๆ เนื่องจากเป็นแนวดราม่าสะเทือนจิตใจหนักๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือซีรีส์ที่แม้อยากจะติก็ยังยากที่จะหาที่ติได้ ก็เลยเหลือแค่แนวทางของเรื่องนี้จะคลิ๊กกับผู้ชมแต่ละคนได้แค่ไหนเท่านั้นครับ

นี่ไม่ใช่ซีรีส์ดราม่าธรรมดา แต่ผสมเรียลแฟนตาซี

ถ้าดูจากตัวอย่างหรืออ่านเรื่องย่อก็อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องดราม่าคนดำยุคทาสทั่วไป แต่ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นแนวแฟนตาซีที่หยิบเอาเรื่องทางรถไฟใต้ดินปริศนาที่วิ่งไปหลายรัฐทางใต้ในอเมริกา ยุคก่อนสงครามกลางเมือง ที่มีรัฐทาส กฎหมายทาสแตกต่างกันออกไปในแต่ละรัฐ ซึ่งตัวรถไฟ เส้นทางลับใต้ดิน พนักงานรถไฟ ในเรื่องนี้คือส่วนของความแฟนตาซีย้อนยุคที่เหมือนเป็นจินตนาการของการหนีออกจากชีวิตทาสทางเดียวของนิโกร (ในเรื่องยังใช้คำนี้เป็นหลัก) ซึ่งในตอนแรกจะเหมือนแค่เรื่องเล่า แต่พอจบตอนแรกและขึ้นตอนที่ 2 ผู้ชมจะได้เห็นรัฐเซาท์แคโรไลนาในแบบที่แปลกตา ทันสมัยแบบย้อนยุค แตกต่างจากรัฐจอร์เจียในตอนเริ่มเรื่องเลย ซึ่งนี่คือโครงเรื่องหลักของซีรีส์เรื่องนี้ เป็นการผจญภัยไปในแต่ละรัฐของนางเอกคอร่า สาวนิโกรที่หลบหนีผ่านทางรถไฟใต้ดินไปหลายรัฐมากที่สุดที่เคยมีมา ซึ่งแต่ละรัฐก็จะมีความโหดร้ายวิปริตของคนขาวแตกต่างกัน โดยเป็นทั้งกฎหมายบังคับและวิธีปฏิบัติที่แตกต่าง ซึ่งคอร่าต้องเจอกับโศกนาฎกรรมแบบไม่ซ้ำกันเลย ซึ่งนี่คือความโดดเด่นของเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ที่ถูกถ่ายทอดผ่านความแฟนตาซีแบบสมจริง จนกระทั่งคนที่ดูในอเมริกาฝ่ายคนขาวเองยังต้องออกมารีวิวย้ำว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริงในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็ใช่ แต่เรื่องนี้เป็นเสมือนบันทึกกึ่งประวัติศาสตร์ที่ผู้กำกับตั้งใจถ่ายทอดออกมาในแบบแฟนตาซีนิดๆ เพื่อพาตัวละครไปพบกับความเลวร้ายหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกของประเทศอเมริกา ประเทศที่สร้างขึ้นมาจากการเข่นฆ่ากดขี่คนผิวดำและอินเดียแดง ที่แม้ทุกวันนี้อาจจะเหลือแค่การเหยียดผิวที่เป็นต้นตอของกฎหมายกดขี่คนดำในอดีต แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่าลึกๆ แล้วความรู้สึกนี้ก็ไม่เคยจางหายไปเลย

 

นำเสนอภาพคนขาวโหดร้ายเข้าขั้นวิปริต แต่ก็มีมุมมองอีกด้านควบคู่เสมอ

อาร์โนลกับนิโกรแคระปริศนาของเรื่อง ที่ให้มุมมองนิโกรในแบบที่ทำให้เราเข้าใจเนื้อแท้ของมนุษย์ได้ลึกซึ้งขึ้น

ซีรีส์ในทุกตอนจะมีการเดินเรื่องที่นางเอกคอร่าต้องเจอกับคนขาวที่โหดร้ายป่าเถื่อน ทำเหมือนอย่างกับเธอไม่ใช่มนุษย์ เป็นสัตว์ใช้แรงงานมากกว่า จะทำยังไงกับมันก็ได้ แม้แต่การฆ่าทิ้งเล่นๆ จากเหตุทำงานผิดพลาดนิดหน่อย หรือเอาไปทดลองอะไรแปลกประหลาดจนถึงตายก็ไม่ผิด ซึ่งคนขาวในยุคนั้นใช้กฎหมายมาเป็นตัวควบคุมบังคับทาสให้ต้องทำตาม และมีสถานะเป็นทรัพย์สินของนายจ้าง ซึ่งคอร่าเองเป็นหญิงวัยรุ่นกำพร้าแม่ ซึ่งแม่ของเธอก็หนีหายไปตอนเด็ก โดยเล่าลือกันว่าหนีไปกับทางรถไฟใต้ดิน ซึ่งเป็นแรงจูงใจให้เธอต้องหนีเมื่อมีโอกาส และก็พบทางรถไฟใต้ดินจริงๆ ก่อนที่จะไปเจอนายสถานีทุกที่เป็นคนขาวที่เห็นใจช่วยเหลือทาสที่หนีมา แต่ก็เป็นเหมือนแกะดำท่ามกลางแกะขาว คนขาวในรัฐนั้นไม่ได้มองทาสเป็นคน และยิ่งคอร่าหนีมาเท่ากับผิดกฎหมาย เป็นนักโทษยิ่งมีโทษหนักและกลายเป็นทาสอันตรายเพราะพลั้งมือฆ่าคนขาวที่มาจับเธอไปในตอนต้นเรื่อง ซึ่งเรื่องราวหลักที่ดำเนินไปควบคู่กับคอร่าคือ “อาร์โนล” ตัวละครนักล่าทาสหลบหนี ที่มีลูกมือเป็นนิโกรคนแคระ ทั้งสองคนจะมีบทตามล่าคอร่าไปทุกรัฐที่เธอหนีไปเรื่อยๆ แต่ตัวอาร์โนลเองก็มีตอนที่เล่าเรื่องราวของเขาว่ามาเป็นนักล่าทาสหลบหนีได้อย่างไร ซึ่งแม้ว่าคนดูอาจจะรู้สึกเกลียดการกระทำของเขา แต่โดยเนื้อแท้แล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายเท่ากับคนขาวอื่นๆ ในเรื่องที่โหดกว่า อาร์โนลเพียงแค่ต้องการรักษากฎหมาย ซึ่งความสัมพันธ์กับลูกมือคนแคระนิโกรที่ให้ใจอาร์โนลแบบหมดใจ แม้เขาจะเป็นไท ไม่ได้เป็นทาสแล้วก็ตาม ซึ่งนี่คือเรื่องราวที่มีสองด้านแบบเหรียญสองหน้าตลอด คนดูอาจจะรู้สึกหดหู่ช็อคกับการกระทำของคนขาวในเรื่อง แต่ในอีกแง่มุมก็จะได้เห็นและเข้าใจมุมมองคนขาวโหดๆ พวกนี้ด้วยว่า ทำไมพวกเขาถึงกลายมาเป็นคนแบบนี้ไปได้ (แอบคิดว่าเหมือนและไม่ได้แตกต่างจากที่นาซีฆ่ายิวเลย)

ประชาธิปไตยในโลกของนิโกรในอเมริกา

ตัวเรื่องพยายามนำคนดูไปค้นหาคำตอบของจุดเริ่มของประชาธิปไตยที่แท้จริงในอเมริกา ซึ่ง ณ เวลานั้นแม้จะมีความพยายามปกครองด้วยการเลือกตั้ง แต่คนขาวเท่านั้นที่มีสิทธิอันนี้ แม้แต่คนดำที่เป็นไทจากการไถ่ตัวเองก็ไม่มีสิทธิ ซึ่งเรื่องแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำกดขี่ของระบอบประชาธิปไตยปลอม จากมุมมองคนขาวที่ถือว่าตัวเองมีสิทธิทุกอย่างในการออกกฎหมายใดๆ ก็ได้ตามเพื่อให้ได้เอกสิทธิเหนือกว่าคนดำ ในตอนที่ 9 คนดูจะได้เห็นฉากโหวตของชุมชนผิวดำ โดยมีผู้นำสองคนที่มองเรื่องแตกต่าง และต่างก็พยายามปราศรัยให้คนผิวดำในชุมชนเห็นภาพตาม ซึ่งเรื่องครีเอทฉากกึ่งปราศรับกึ่งโต้วาทีของคนดำในแบบที่ไม่แตกต่างจากผู้มีอารยะถกเถียงกันในระบอบประชาธิไตย ซึ่งในยุคนั้นคนดำไม่มีสิทธิอันนี้ แม้แต่จะคิดหรืออ่านหนังสือออกก็เป็นเรื่องต้องห้าม ซึ่งฉากนี้เองกลายเป็นฉากไฮไลท์ที่น่าจดจำที่สุดของเรื่องเลยก็ว่าได้

 

งานภาพสวยงามโดดเด่นท่ามกลางความเลวร้าย

งานภาพซีรีส์เรื่องนี้สวยงามโดดเด่นเกินหน้าเกินตาเรื่องราวในเรื่องเสียด้วยซ้ำ หลายครั้งหลายฉากที่เต็มไปด้วยอารมณ์หดหู่รุนแรง แต่ภาพที่ออกมากลับสวยงามตัดกับอารมณ์ในตอนนั้นได้อย่างลงตัว โดยมีดนตรีประกอบเป็นเสียงไวโอลินนี่ลากอารมณ์ของเรื่องให้จมดิ่งลงไปพร้อมกับงานภาพได้อย่างสุดๆ

 

ปมความลับแม่ของนางเอกที่หายไป

ตัวเรื่องเปิดมาด้วยการบอกเล่าว่าแม่ของนางเอกหายตัวทิ้งลูกสาวตัวน้อยไว้ในไร่แรงงานทาสอย่างไม่ใยดี โดยไม่มีใครพบเบาะแสการหายตัวไปของเธอเลย ซึ่งอาร์โนลนักล่าทาสมือหนึ่งก็ยังติดคาใจว่านี่เป็นรอยด่างของอาชีพเขา เมื่อรับงานมาแล้วกลับหาตัวไม่เจอ ซึ่งทำให้อาร์โนลตามล่านางเอกอย่างไม่ลดละ โดยที่ตัวคอร่าเองก็มีปมจากแม่ที่หายไปโดยไม่บอกกล่าว แต่ก็ยังเก็บเมล็ดกระเจี๊ยบของแม่ไว้กับตัวเป็นทั้งของต่างหน้าและคำสัญญาว่าจะนำไปปลูกในที่ๆ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบ ซึ่งปมนี้จะถูกค้างไว้ยาวนานมาก โดยไม่มีการเฉลยเลยจนถึงตอนที่ 10 เรื่องราวถึงจะวกกลับที่อดีตของแม่คอร่า และการหายตัวไปของเธอ ซึ่งชวนสะเทือนใจอยู่ไม่น้อย

ช่วงที่น่าอึดอัดของเรื่อง

ซีรีส์เรื่องนี้แทบไร้ที่ติเลยจริงๆ จะมีก็แต่ส่วนที่อาจจะเรียกว่าทำให้เรื่องดูน่าอึดอัดแอบเหนื่อยกับดราม่าลากยาวหนักๆ ก็คือช่วงตั้งแต่ตอน 5 ไปถึงตอน 8 (ยกเว้นตอน 7 เป็นตอนพิเศษสั้นๆ ของตัวละครสมทบคนหนึ่งแค่ 20 นาทีแทรกมา) ซึ่งตอน 1-4 เดินเรื่องไปด้วยขึ้นรถไฟไปแต่ละรัฐ ทำให้แต่ละตอนดูแปลกใหม่น่าติดตาม แต่พอตอน 5 ตัวเรื่องนำเสนอแบบพลิกกลับมาเล่นเรื่องความเป็นมาของอาร์โนลนักล่าทาสหลบหนี และต่อมาเป็นช่วงที่คอร่าถูกจับพากลับไป เนื้อเรื่องช่วงนี้กลายเป็นลากดราม่าที่จัดเต็มยาวเหยียด ซึ่งคนดูที่กำลังติดตามการผจญภัยของคอร่าไปรัฐใหม่ๆ อาจจะรู้สึกว่าเรื่องผิดเป้าหมายที่สนใจเรื่องรัฐทาสในช่วงแรกไปหน่อย ซึ่งแม้จะเข้าใจได้ว่าทำไมต้องมีช่วงนี้ แต่ก็ทำให้คนดูรู้สึกว่าเรื่องช่วงนี้ยืดๆ จนแอบน่าเบื่อ แต่ตัวเรื่องก็ไม่ผิดอะไรเพราะแม้จะดูยืดๆ แต่ก็เป็นช่วงที่ทำให้เห็นมุมมองอีกด้านของคนขาวอย่างอาร์โนล ที่ลิขิตชะตาชีวิตตัวเองด้วยการมาทำอาชีพนี้ แม้จะไม่ได้เหยียดเกลียดชังคนดำมาก เนื่องจากครอบครัวอาร์โนลเองอยู่ร่วมกับคนดำที่เป็นไทแบบปกติ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ในยุคนั้นก็ยังมีคนที่เห็นคุณค่าของมนุษย์เท่าเทียมกันหลงเหลืออยู่

 

บทสรุปจุดจบของเรื่อง (ไม่มีสปอยล์)

เนื่องจากตัวเรื่องมีความแฟนตาซีผสมอยู่กับความจริงของยุคทาสในเวลานั้น ฉากจบของเรื่องนี้จึงไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงยุคทาส หรือมีคำตอบของเรื่องรถไฟใต้ดินโดยตรง หลังจากเฉลยความลับของแม่นางเอก เรื่องก็ตัดมาที่ตัวคอร่ากับมีต่ออีกนิดเดียวเท่านั้น เป็นการสิ้นสุดการเดินทางของเรื่องทั้งหมด ที่เรียบง่ายแบบปลายเปิด อาจจะไม่ตอบโจทย์คนที่ดูแล้วตั้งความหวังในสองเรื่องที่ว่าได้ แต่ก็เป็นฉากจบที่ดีลงตัวในตัวของมันเองครับ

อ่านรีวิวหนังซีรีส์ Amazon Prime VIDEO เพิ่มคลิกที่นี่

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!