รีวิว The Vast of Night หนังไซไฟที่ตั้งใจสร้างย้อนยุคให้ดูลึกลับมีเสน่ห์น่าพิศวง…
The Vast of Night
สรุป
หนังแนวไซไฟย้อนยุคไปช่วงปลายยุค 1950 ที่มีความติสในเรื่องสูงมากทั้งการถ่ายทำแบบตั้งใจให้ดูโบราณ มีความเป็นหนังซ้อนหนัง พร้อมกับบทพูดของคนในยุคนั้นถึงโลกปัจจุบันในยุคของเราแบบตื่นเต้นว่าจะเป็นจริงไหม ตัวเรื่องมีความระทึกน่าติดตามตลอดจนจบ แต่ว่าต้องผ่าน 30 นาทีแรกไปก่อนให้ได้เท่านั้น
Overall
6.5/10User Review
( votes)Pros
- แนวไซไฟย้อนยุคผ่านภาพฟิล์มเก่ามีเกรนเม็ดๆให้เห็นเหมือนภาพยนตร์ในยุคนั้น
- การทำงานสืบสวนของสื่อวิทยุในยุคที่มีแค่เครื่องบันทึกเสียงเป็นหลัก
- เรื่องเดินแบบระทึกต่อเนื่องคืนเดียวจบ
- ใช้ตัวแสดงจำกัดไม่กี่คน
Cons
- ความติสแบบตั้งใจย้อนยุคหลายอย่างในเรื่องอาจจะทำให้คนดูที่ไม่เข้าใจจนเลิกดู
- บทของเฟย์ นางเอกในเรื่องค่อนข้างล้นๆ จนน่ารำคาญหลายครั้ง
- 30 นาทีแรกของเรื่องใช้เวลาปูเรื่องของตัวเอกทั้งสองคนนานมากไป
The Vast of Night หนัง Original Amazon prime Video ช่วงปลายยุค 1950 ในคืนแห่งโชคชะตาคืนหนึ่งในนิวเม็กซิโก เฟย์ พนักงานสาวประจำตู้สลับสายโทรศัพท์และเอเวอเรตต์ ดีเจเจ้าเสน่ห์ ค้นพบคลื่นวิทยุแปลกประหลาดที่อาจเปลี่ยนเมืองเล็กเมืองนี้และอนาคตไปตลอดกาล
ตัวอย่าง The Vast of Night
บทความไม่มีสปอยล์เนื้อหาสำคัญในเรื่อง
หนังแนวไซไฟย้อนยุคพาคุณท่องไปในยุคสมัยปี 1950 ของอเมริกา กับเมืองชนบทเล็กๆ ในนิวเม็กซิโก ระหว่างที่ชาวเมืองกำลังรวมตัวดูแข่งบาสเก็ตบอลในสนามกีฬา แต่ภายนอกสนามกลับมีเรื่องลึกลับเกิดขึ้น ผ่านการค้นพบคลื่นประหลาดของสาววัยรุ่น เฟย์ กับ เอเวอเรตต์ ดีเจรายการคลื่นวิทยุประจำเมือง แล้วก็กลายเป็นการผจญภัยในค่ำคืนเพื่อค้นหาความลับของคลื่นประหลาดที่ติดเข้ามาในรายการของทั้งคู่
ตัวเรื่องนี้ถ่ายทำออกมาแบบตั้งใจสร้างให้ดูเหมือนตัวเองเป็นหนังซ้อนหนังในตัว ทั้งการใช้สีภาพแบบฟิล์มยุคเก่าที่มีเกรนเม็ดๆ บนฉากตลอดเวลา หรือมีฉากให้มีจอทีวีมาครอบซ้อนในฉากนั้นอีกที ตัวฉากทุกอย่างจำลองยุค 1950 ออกมาได้เนียนๆ แม้จะเป็นแค่เมืองเล็กๆ แห่งเดียว และก็ขุดเอาอุปกรณ์โบราณในยุคนั้นมาเล่นกับเรื่องอย่าง เครื่องบันทึกเสียงยุคเก่า ที่เป็นคีย์สำคัญของการเก็บบันทึกเรื่องราวในยุคนั้นส่วนใหญ่ มากกว่ากล้องวิดีโอที่คนปกติยังไม่ค่อยมีใช้กัน และก็นำเครื่องบันทึกเสียงนี้มาเป็นกุญแจสำคัญบันทึกเสียงสัมภาษณ์ผู้คนที่พบเจอสิ่งแปลกประหลาดในยามค่ำคืนนั้น จากการประกาศหาผ่านรายการวิทยุของตัวเอกในเรื่อง
หนังเรื่องนี้อาจจะดูเป็นแนวหนังอินดี้ก็ว่าได้ ตัวหนังมีความติสๆ ให้เห็นเยอะทั้งเรื่อง แต่ก็ไม่ถึงขนาดดูยากอะไร ตัวเรื่องออกแนวทริลเลอร์ลุ้นระทึกได้ตลอดเวลาเพราะเรื่องเกิดแบบต่อเนื่องในคืนเดียว แต่ว่าช่วง 30 นาทีแรกของเรื่องอาจจะน่าเบื่อหน่อยตรงที่เรื่องใช้เวลาปูตัวละครหลักทั้งสองคนนาน เฟย์ จะเป็นสาววัยรุ่นเนิร์ดๆ ที่มักอ่านเรื่องราวจากนิยายวิทยาศาสตร์ที่อิงมาจากยุคสมัยปัจจุบันที่เรารู้แล้วว่าสิ่งของไฮเทคพวกนี้มีจริง อย่างคอมพิวเตอร์ติดตัวโทรหาเห็นหน้ากันได้ (มือถือตอนนี้) มาเล่าให้เอเวอเรตต์ฟัง ตัวบทของเธออาจจะดูล้นๆ พูดเยอะน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่ตัวเอเวอเรตต์นี่มีเสน่ห์น่าติดตามเลย ตัวบทของเขาเป็นมืออาชีพด้านการทำสื่อวิทยุสัมภาษณ์เจาะลึกผู้คน ทั้งคู่จะพึ่งพากันไขปริศนาในค่ำคืนนี้ด้วยความกระหายว่าพวกเขาอาจจะค้นพบบางอย่างที่จะทำให้หลุดออกไปจากชีวิตที่เป็นอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ได้ ซึ่งตัวเรื่องจะเน้นไปที่บทสนทนาของทั้งสองคนกับการได้ฟังข้อมูลจากตัวละครอื่นๆ ในยุคนั้นมาปะติดปะต่อเรื่องเข้าด้วยกัน เราจะได้เห็นการทำงานเชิงสืบสวนพร้อมกับการใช้อุปกรณ์เก่าโบราณในยุคนั้นหลายอย่างมาประกอบเรื่อง ซึ่งคนในยุคหลังๆ น่าจะไม่เคยได้เห็นอะไรแบบนี้มาก่อนแน่นอน
ตัวเรื่องมีลูกเล่นการถ่ายทำที่แปลกหลายครั้ง ด้วยการให้กล้องบินเลียดพื้นไล่ตามสิ่งต่างๆ ในเมืองแบบลองเทค ที่ทำออกมาได้ดีเลย แต่กับพวก CG ในเรื่องอาจจะดูตั้งใจทำให้เหมือนหนังยุคเก่ามากจนคนดูยุคใหม่อาจจะรับไม่ได้ ถ้าไม่เข้าใจธีมของเรื่องที่เป็นเหมือน “หนังซ้อนหนัง” ซึ่งสมัยนั้นยังใช้พวกหุ่นจำลองย่อส่วน แต่ถ่ายทำใกล้ๆ ให้ดูใหญ่โต แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ดูเหมือนแบบนั้นเสียทีเดียวเพราะดูดีกว่า ซึ่งจุดนี้เป็นฉากไฮไลท์ท้ายเรื่องที่อาจจะไม่ได้เซอไพรส์อะไรเพราะเราเดาได้แน่ๆ แต่ก็ตรงตามธีมของหนังเรื่องที่วางไว้ย้อนยุคก่อนจะได้พบเจอกับเรื่องราวไซไฟแบบนี้ ที่เป็นเรื่องปกติในปัจจุบันไปซะแล้วครับ